บทที่ 142 นางอุ้มท้องโตมาหาเขา
แม่เฒ่าเหมยตะลึงอยู่กับที่ จ้องถ้วยบนพื้นอยู่เป็นนานก็ยังไม่ได้สติคืนมา
ไข่ไก่ฟองนี้นางตัดใจเอาให้ลูกชายตัวเองกินไม่ลงด้วยซ้ำ แต่ยอมกัดฟันเอามาทำน้ำแกงไข่เพื่อหลานในท้องของจางเยียนโดยเฉพาะ
มิเช่นนั้นมันก็สมควรอยู่ในโถกระเบื้อง เผื่อวันใดวันหนึ่งจะได้เอาไปแลกเงิน
จางเยียนถูกเสียงถ้วยกระเบื้องแตกทำให้ตกใจเช่นกัน แต่นางไม่ทันสังเกตสีหน้าของแม่เฒ่าเหมย ยังคงต่อว่าอีกฝ่ายต่อไปว่าไม่รู้จักระวัง แค่ถ้วยใบเดียวก็ถือไว้ไม่อยู่ มีชีวิตมาจนอายุปูนนี้ช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ
แม่เฒ่าเหมยราวกับถูกกระตุ้นโทสะ นางเงยหน้าขึ้นมาฉับพลัน สายตาที่มองจางเยียนเปี่ยมแววดุร้าย
ทว่าชั่วขณะที่จางเยียนมองมา นางก็ก้มศีรษะลงไปอีกครั้ง และเผยท่าทางยอมอ่อนข้อให้ทุกประการ
…
จูซานคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจางเยียนจะอุ้มท้องโตเช่นนั้นมาหาเขา
เมื่อเขาพบจางเยียนอีกครั้งหลังห่างเหินกันไปหลายเดือนก็เหมือนจะจำนางไม่ค่อยได้แล้ว
ในคราแรกพบ นางช่างอ่อนเยาว์มีชีวิตชีวาปานนั้น ใบหน้านั้นเชิดน้อย ๆ และประดับด้วยรอยยิ้มดั่งตะวันแรกแย้มอยู่เสมอ
จูซานเคยคิดว่าพวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันไปชั่วชีวิต น่าเสียดาย โชคชะตากลับกลั่นแกล้งเขาเสียได้
“โหยวโหย่ว…” ทันทีที่เห็นจูซาน จางเยียนพลันขอบตาแดงก่ำ ถลาเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางชอกช้ำใจ โผเข้าสู่อ้อมอกเขาดุจนกนางแอ่น
จูซานรีบคว้าไหล่นางเอาไว้ ไม่ให้เข้ามาประชิดตนเองได้ และพูดว่า “ต่อไปอย่าเรียกข้าแบบนี้อีก สามีของเจ้าจะเข้าใจผิดเอาได้”
ชื่อเต็มของจูซานคือจูซุ่นโหย่ว ‘โหยวโหย่ว’ เป็นคำที่จางเยียนเรียกเขาด้วยความสนิทสนม
ยามนั้นฟังแล้วหวานล้ำ แต่ยามนี้กลับกลายเป็นถ้อยคำเสียดแทงใจ
“สามีของข้าอะไรกัน? สามีข้าก็คือเจ้าไม่ใช่หรือ?” จางเยียนเงยหน้ามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
“เจ้าถูกข้าหย่าไปแล้ว” แค่คิดถึงเรื่องนี้ จูซานก็มีโทสะ
เขาไม่เข้าใจว่าเขาผิดต่อจางเยียนตรงไหน นางจึงกล้าไปหาชายอื่นลับหลังเขา
ครอบครัวของเขายากจนก็จริง แต่ก็ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกจนถึงขั้นต้องเอาภรรยาไปให้คนอื่น ‘เช่า’
“โหยวโหย่ว…” น้ำตาของจางเยียนพลันไหลพราก “เจ้าทำกับข้าแบบนี้ได้อย่างไร? เด็กในท้องข้าคือลูกของเจ้านะ”
นางกล่าวพลางคว้ามือของจูซานไปวางไว้บนหน้าท้องของตนเอง
“เจ้าลองสัมผัสดูให้ดี เขาดิ้นได้แล้ว” จางเยียนเอ่ยทั้งน้ำตา “เจ้าไม่ต้องการข้าแล้วก็ได้ แต่เจ้าจะไม่สนใจกระทั่งลูกของตัวเองด้วยหรือ?”
จูซานตกตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้เป็นลูกข้า? เจ้าเอาท้องตัวเองไปให้ผู้ชายคนอื่นเช่าแล้วนี่?”
“เขาเป็นแค่คนปัญญาอ่อน ยังจะทำอะไรข้าได้? ตอนที่ข้ารู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ ข้ากลัวว่าท่านแม่จะไม่ยินดีถ้าข้าคลอดลูกชายจึงไม่กล้าพูด ประจวบกับตอนนั้นมีคนมาบอกข้าว่าจะเช่าครรภ์ของข้าโดยให้หมูหนึ่งตัวเป็นค่าตอบแทน ข้าเลย…ข้าเลยอดใจไม่ไหว ข้าคิดว่าอย่างไรเสียท่านแม่ก็ไม่ชอบเด็กในท้องข้าอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ให้เขาไปอยู่กับคนที่ชอบเขาก็แล้วกัน พอดีเลย ข้าก็จะได้หมูตัวหนึ่งด้วย”
“เจ้าคงไม่ได้โกหกข้าหรอกนะ?”
“เปล่า ข้าไม่ได้โกหกเจ้าจริง ๆ ข้ากลับบ้านเดิมตอนเดือนหกก็ท้องได้เกือบสองเดือนแล้ว ช้ากว่าเมียเจ้าสี่ไปหน่อยเดียว…” จางเยียนชอกช้ำใจสุดแสน “ตอนนี้เจ็ดแปดเดือนเข้าไปแล้ว นับวันดูก็รู้ว่าเป็นลูกเจ้า”
จูซานมองท้องของนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หมายความว่าเด็กในท้องนางเป็นลูกของเขา?!
นางถึงกับเอาลูกของเขาไปให้คนอื่นโดยไม่ให้เขารู้?
“เจ้าไม่เชื่อข้าใช่หรือไม่?” ครั้นจูซานไม่พูดอะไร จางเยียนนึกว่าเขาไม่เชื่อจึงรีบพูดขึ้นมา “โหยวโหย่ว จริง ๆ นะ ข้าไม่ได้โกหกเจ้า ข้ากล้าสาบานว่าสิ่งที่ข้าพูดมาล้วนเป็นความจริง ถ้าข้าโกหกเจ้า ขอให้ข้าไม่ได้ตายดี”
“ในเมื่อเป็นลูกข้า ทำไมเจ้ายังเอาไปให้คนอื่นลับหลังข้า? เจ้าคิดว่าข้าไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกงั้นหรือ?”
“เปล่านะ ข้าแค่กลัวว่าท่านแม่จะไม่ชอบเขา จริง ๆ นะ ข้าไม่อยากให้ลูกเป็นเหมือนเด็กสองคนนั้นของพี่สะใภ้ใหญ่ที่ถูกท่านแม่ใช้ไม้กวาดตามหวดทั้งวัน ข้าแค่อยากให้เขาเกิดมาในครอบครัวธรรมดาทั่วไป สามารถได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในบ้านหลังนั้น ไม่ใช่ถูกตั้งแง่รังเกียจ” จางเยียนคิดเช่นนั้น
นางคิดว่าตนเองคงไม่โชคร้ายเหมือนมารดาที่คลอดลูกสาวออกมาตั้งแต่ครรภ์แรก ๆ
แต่แม่สามีกลับโปรดปรานเพียงเด็กผู้หญิง ทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก คิดว่าในเมื่อแม่สามีไม่ชอบ เช่นนั้นก็ยกให้คนอื่นที่เขาชอบก็แล้วกัน
จูซานมองจางเยียน ไม่รู้จะพูดอะไรโดยสิ้นเชิง “ท่านแม่เพียงแต่เจ้าอารมณ์ไปบ้าง แต่นางเคยใช้ไม้กวาดไล่ตีต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าตอนไหนกัน? ถ้าเป็นแบบนั้น ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าจะโตมาขนาดนี้ได้อย่างไร? ต้าเป่าเอ้อร์เป่ายังโตมาได้ แล้วลูกข้าจะเลี้ยงไม่โตเชียวหรือ?”
“ข้ากลัวนี่นา…โหยวโหย่ว ข้าผิดไปแล้ว เจ้ายกโทษให้ข้าเถอะนะ” จางเยียนกุมมือเขาพลางอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “ข้าไม่กล้าทำอีกแล้วจริง ๆ ที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพื่อวางแผนชีวิตที่ดีหน่อยให้ลูกของเรา ไม่อย่างนั้นข้าไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด”
“ตอนที่ข้าหย่าเจ้า ทำไมเจ้าไม่มาหาข้า?” จูซานไม่ได้โง่
ต่อให้สิ่งที่จางเยียนพูดเป็นความจริง ทำไมนางไม่มาหาเขาแต่แรก แต่รอให้ผ่านไปสักพักก่อนค่อยมาหาเขา?
นอกจากนี้ นางก็ตั้งครรภ์จนท้องใหญ่เพียงนี้แล้ว ทางนั้นยังกล้าปล่อยนางออกมาข้างนอกคนเดียว?
สีหน้าของจางเยียนประดักประเดิดขึ้นมาทันที “ข้าแอบออกมาเอง ทางนั้น…ทางนั้นจับตามองข้าเข้มงวดยิ่งนัก ข้าเข้าห้องน้ำยังมีคนเฝ้า กลัวว่าข้าจะพาเด็กหนีไป”
“เจ้าหนีออกมา?!” จูซานรีบมองไปรอบ ๆ “เจ้าหนีออกมาได้ก็ตรงมาหาข้าทันที?”
“อื้ม ข้าไม่มีที่อื่นให้ไปแล้วจึงมาหาเจ้า โหยวโหย่ว เจ้าคงไม่ได้ไม่ต้องการข้าอีกคนใช่ไหม? ต่อให้เจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว เจ้าคงไม่ทอดทิ้งเด็กในท้องข้าหรอกกระมัง?”
จูซานมองท้องอุ้ยอ้ายของนาง ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่นางพูดมาจริงหรือเท็จ แต่ถ้าเป็นลูกของเขาจริง ๆ เขาก็คงจะปล่อยไปไม่ได้
แต่ว่าเขาก็ไม่อาจพาจางเยียนกลับไปทั้งอย่างนี้
เขาคิดไม่ออกเลยว่ามารดาจะคิดอย่างไร มารดาของเขายอมแบกรับคำครหาทั้งหมดเพื่อคลี่คลายเรื่องที่เขาถูกคนสวมหมวกเขียว เขาไม่อาจเอาแต่พึ่งพามารดาอยู่ร่ำไป
“โหยวโหย่ว…”
“เจ้าตามข้ามา” จูซานกัดฟัน ตัดสินใจว่าจะหาเรือนร้างให้จางเยียนพักไปก่อน
ส่วนที่เหลือก็ค่อย ๆ คิดไปทีละก้าวก็แล้วกัน
จางเยียนตามเขาไปก็พบว่าเขาตรงไปยังทิศทางที่ห่างจากชุมชนออกไปเรื่อย ๆ นางจึงหวาดกลัวขึ้นมา “โหยวโหย่ว เจ้าจะพาข้าไปไหน?”
“พาเจ้าไปหาที่พักสักที่”
“แต่ว่า…แต่นี่ไม่เหมือนทางไปบ้านเจ้าเลย” จางเยียนถามเสียงสั่น
จูซานตอบโดยไม่หันกลับมา “เจ้าเองก็ถูกปลดไปแล้ว ถ้าข้าพาเจ้ากลับไปทั้งอย่างนี้ เจ้าคิดว่าด้วยนิสัยของแม่ข้าจะเกิดอะไรขึ้น?”
“อึก!” จางเยียนคอตก “คงจะเอาไม้กวาดมาไล่ตีข้ากระมัง”
นางเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า คว้ามือจูซานเอาไว้แล้วพูดว่า “โหยวโหย่ว ข้าไม่อยากถูกตี ตอนนี้ข้าตั้งท้องลูกของเจ้า ถ้าข้าถูกตีแล้ว ตัวข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ลูกจะทำอย่างไร?”
จางเยียนย่อมรู้ดีว่าไม่มีบุรุษคนใดยินดีสวมหมวกเขียว ถ้าคนที่เช่าครรภ์นางไปไม่ใช่คนปัญญาอ่อนผู้หนึ่ง นางคงไร้หนทางอธิบายได้ชัดเจนแล้ว
และเวลานี้นางคิดว่า เพื่อลูกในท้องของนางแล้ว จูซานคงไม่ดูดายนางหรอกกระมัง?
MANGA DISCUSSION