บทที่ 137 วิ่งหนีพระได้แต่วิ่งหนีวัดไม่ได้[1]
ไม่ใช่ว่าจูปาเม่ยขี้งกไม่บอกส่วนผสมอย่างเจาะจง แต่แม่ของนางบอกว่า “ส่วนประกอบ” พวกนี้ล้วนต้องเก็บเป็นความลับ
ถ้าทุกคนรู้กันหมด ทุกคนก็ทำได้
ดังนั้น ‘ส่วนประกอบ’ ที่เขียนในหนังสือจึงเรียบง่ายที่สุด ส่วนของสำคัญจริง ๆ ก็ต้อง ‘เก็บไว้กับตัว’
เจ้าของร้านยังคงลองแป้งผัดหน้า ฟังคำอธิบายของจูปาเม่ยที่บอกว่าของสิ่งนี้มีคุณสมบัติลบรอยแผลเป็นและฟื้นฟูผิว ทันใดนั้นเขาก็ชอบมันทันที
แต่เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ทั้งยังกลัวจะตัดสินใจพลาด จึงรีบเรียกให้เสี่ยวเอ้อในร้านให้ไปเรียกเพื่อนเก่าของเขาที่อยู่ร้านข้าง ๆ มา
ในขณะนั้น ข้าง ๆ กันยังเผยให้เห็นเถ้าแก่อวี๋กำลังถอนหายใจอยู่ที่ร้านขายเครื่องประทินผิวอย่างเศร้าหมอง
ที่แท้หลานชายของเขาเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่าร้านที่จัดหาเครื่องประทินผิวให้พวกเขาถูกคนจากเมืองข้าง ๆ ซื้อกิจการไปแล้ว จึงไม่สามารถขายเครื่องประทินผิวให้พวกเขาได้อีก
ไม่ใช่ว่าคนไม่อยากจัดหาสินค้าให้ แต่ฝั่งนั้นก็มีคนของฝั่งนั้น พวกเขาก็ไม่มีวิธีแล้ว
ฝั่งนั้นยังใจดีส่งของส่วนสุดท้ายที่สั่งไปมาให้มากกว่าปกติ และยังแอบให้ลูกชายส่งข่าวมา อย่าให้คนฝั่งนี้พูดออกไป
เถ้าแก่อวี๋ได้ฟังอย่างนี้ก็เข้าใจ แน่นอนว่าร้านขายเครื่องประทินผิวในเมืองถัดไปต้องการควบรวมกิจการกับเขา แต่เขาไม่ยอมจึงทำให้คนอื่นขุ่นเคืองเอา
“ถอนหายใจไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ไม่ใช่ว่าพูดไปแล้วหรือว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว ทำไมเจ้าไม่เขียนจดหมายไปหาพี่น้องเจ้าที่เป็นข้าราชการให้เขามาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ล่ะ?” ภรรยาของเขาสอนเขาอย่างเสียใจ รู้สึกว่าเขาดื้อรั้นเกินไป แค่เขียนจดหมายไปปัญหาก็คลี่คลาย ทำไมเขาต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนั้นด้วย?
เถ้าแก่อวี๋ไม่อยากให้เรื่องวุ่นวายแต่ก็ไม่มีทางเลือก ปีนั้นมีเรื่องแตกหักกับคนฝั่งนั้นจนเขา ‘หนีออกจากบ้าน’
ตอนนี้เขายังไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จะกล้ากลับไปขอความช่วยเหลือจากพี่น้องได้อย่างไร?
หน้าไม่อายหรือไม่
ในตอนนั้นเองเสี่ยวเอ้อของร้านผ้าจากร้านข้าง ๆ ก็วิ่งเข้ามา “เถ้าแก่อวี๋ขอรับ เถ้าแก่ร้านข้าบอกให้ท่านไปที่ร้านเพื่อจะบอกเรื่องดี ๆ ขอรับ”
“พี่หลี่เรียกข้า ข้าจะไปดูสักหน่อย” เถ้าแก่อวี๋ราวกับได้รับอิสรภาพ รีบหันไปบอกภรรยาและวิ่งออกไปทันที
“วิ่งหนีพระได้แต่วิ่งหนีวัดไม่ได้ รอเจ้ากลับมาก่อนเถอะ” ภรรยาอวี๋มองท่าทีของเขาก็รู้สึกอึดอัดจนต้องสะบัดผ้าเช็ดหน้า
เถ้าแก่อวี๋เข้าไปในร้านขายผ้าก็จับมือเถ้าแก่หลี่ขอบคุณเขาครั้งหนึ่งที่ ‘ช่วยชีวิต’ ตนไว้
“เป็นอะไรอีกล่ะ เจ้าทะเลาะกับเมียอีกแล้วหรือ?” เถ้าแก่หลี่รู้ว่าภรรยาของเพื่อนเก่าคนนี้ค่อนข้างโหด จึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่เข้าไปยุ่ง
เหมือนกับที่คนทำการค้าอย่างพวกเขา ตอนที่พูดคุยเรื่องการค้ามีหรือจะไม่ดื่มเหล้าเคล้านารี?
แต่เพื่อนเก่าของเขาไม่เป็นเช่นนั้น
“อย่าพูดถึงเลย พวกเราค่อยพูดกันทีหลังเถอะ” เถ้าแก่อวี๋สังเกตเห็นว่ามีลูกค้าในร้านจึงไม่คิดจะพูดที่นี่
“ก็ได้ ข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้าพอดี” เถ้าแก่หลี่หันกลับไปแนะนำเย่อวี๋หราน บอกว่าครอบครัวของนางสามารถทำชาดและแป้งผัดหน้าได้ ซึ่งให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากในร้านของเขา ดังนั้นจึงให้เขามาดูเองกับตา
“สามารถทำชาดกับแป้งผัดหน้าได้?!” เถ้าแก่อวี๋ประหลาดใจ ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งได้รับข่าวร้าย แต่ปรากฏว่าเพื่อนเก่าของเขาก็นำข่าวดีมาให้ เขาเป็นผู้มีพระคุณที่มาช่วยชีวิตจริง ๆ
คิดได้ดังนั้นก็รีบเดินตามเถ้าแก่หลี่ไป และเชิญเย่อวี๋หรานกับคนของนางมาที่สวนหลังบ้าน แล้วพูดคุยกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ต่างจากเถ้าแก่หลี่ที่รู้เพียงผิวเผินไม่ได้รู้เกี่ยวกับกับสินค้ามากนัก เถ้าแก่อวี๋มองชาดและแป้งผัดหน้าของเย่อวี๋หรานก็พบว่านี่คือ ‘ของแท้’ และยังเป็นสินค้าคุณภาพสูงอีกด้วย
เย่อวี๋หรานพูดไร้สาระแล้ว ของที่หยิบออกมาตรงหน้าเธอสามารถบอกว่าเป็นของไม่ดีได้หรือ?
เถ้าแก่อวี๋ตื่นเต้นมาก ถามเย่อวี๋หรานว่าทางเขาสามารถซื้อสินค้านี่ได้มากเท่าไร เขาต้องการทั้งหมดเลย
“นี่เป็นเพียงของที่บ้านข้าทำเล่น ๆ ถ้าเจ้าต้องการจำนวนมากเกรงว่าจะยาก แต่ถ้าแค่สิบกว่ากล่องก็ไม่มีปัญหา” เย่อวี๋หรานนับตามจำนวนขนมเปี๊ยะดอกไม้ที่จูปาเม่ยเก็บไว้ และคาดคะเนจำนวนออกมา
ขนมเปี๊ยะดอกไม้ไม่เหมือนดอกไม้สด หยิบจับง่ายกว่า แต่มันยังต้องเอาไปผ่านการตากในร่มให้แห้ง ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง
และนอกจากนี้หลังจากทำขนมเปี๊ยะดอกไม้แน่นอกว่ามีบางส่วนที่ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งชาดและแป้งผัดหน้า จูปาเม่ยคนเดียวแน่นอนว่าทำออกมาได้ไม่มากนัก
“นี่…น้อยเกินไป ทำมากกว่านี้อีกสักหน่อยได้หรือไม่?” เถ้าแก่อวี๋แน่นอนว่าเดือนหนึ่งไม่สามารถขายเพียงสิบกว่ากล่อง อย่างน้อยต้องมากเป็นสองเท่า จากนั้นเขาค่อยเพิ่มสินค้าอื่น ๆ มาขาย กิจการก็จะได้กำไร
ไม่เช่นนั้นร้านขายเครื่องประทินผิวก็ไม่อาจเปิดต่อไปได้
เย่อวี๋หรานยิ้มเล็กน้อย “เถ้าแก่ ที่ข้าพูดไม่ใช่หนึ่งเดือน ข้าหมายถึงทุก ๆ สิบวันทำได้สิบกว่ากล่อง เพียงแต่ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าชาดจะมีกลิ่นดอกไม้ชนิดเดิมทุกครั้ง เจ้าก็รู้ว่าพวกเราเป็นแค่ชาวไร่ธรรมดา เดิมทีก็ทำใช้เองเล่น ๆ ตอนนี้ก็ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อีกเดี๋ยวก็จะถึงฤดูหนาว เราจะทำจากดอกไม้อะไรก็ได้ที่เก็บได้ ถ้าเก็บรวบรวมไม่ได้พวกเราก็ไม่มีวิธีแล้ว”
เถ้าแก่อวี๋แสดงท่าทีเข้าใจ ตราบใดที่พวกเธอสามารถรับรองปริมาณ และคุณภาพของชาดกับแป้งผัดหน้าได้ แม้ว่าจะไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ชนิดเดิม พวกเขาก็ยังต้องการอยู่ดี
เย่อวี๋หรานตกลงทำสัญญากับเขาทันที
จูปาเม่ย หลี่ซื่อ หลิ่วซื่อ หลิวซื่อ และหลินซื่อที่รอคนอยู่นั้นต่างมึนงง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเราไม่ได้มาซื้อผ้ากันหรือ? แล้วทำไมแม่ถึงออกไปข้างนอกแล้วยังแก้ปัญหาเรียบร้อยอย่างง่าย ๆ?
“ครั้งนี้ต้องทำเครื่องประทินผิวอย่างจริงจัง กลับไปพวกเจ้าต้องทำให้ดี ๆ ยังใช้กฎเดิม นอกจากส่วนที่ต้องส่งให้ทางการ ส่วนที่เหลือเป็นของพวกเจ้าเอง”
หลายคนตื่นตระหนกระคนดีใจ รีบรับปากกับเย่อวี๋หรานว่าพวกนางจะทำให้ดี
ในหนึ่งเดือน ชาดสี่สิบห้ากล่อง และแป้งผัดหน้าสี่สิบห้ากล่องถูกขายให้กับชาวบ้าน หนึ่งเดือนนั้นขายได้ไม่ถึงครึ่ง และพวกเขาขายในหมู่บ้านด้วยราคาที่ถูก กล่องเปลือกหอยที่ใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือ ถ้าไม่ใส่ถุงตาข่ายก็ราคาเพียงสองสามอีแปะต่อกล่องเท่านั้น
สิ่งที่เหมือนเปลือกหอยนี้ คนที่ตัวผอมหน่อยสามารถใช้ได้นานกว่าครึ่งปี
แต่ในเมืองนั้นต่างออกไป จูปาเม่ยนำกล่องขนาดเท่านี้มา หนึ่งกล่องอย่างน้อยสิบหกอีแปะ หลายกล่องขนาดนี้หนึ่งเดือนจะมีรายได้มากขึ้นเท่าไหร่กัน?
หนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบเหรียญ
หนึ่งร้อยเหรียญคือหนึ่งตำลึงเงิน งั้นก็ได้เป็นสิบสี่ตำลึงเงิน
ลูกสะใภ้สกุลจูแสดงออกว่าในชีวิตนี้ล้วนไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนี้มาก่อน
เพราะอารมณ์ดีพวกนางจึงใจกว้างมากขึ้นซื้อผ้าเพิ่มอีกผืน
เถ้าแก่หลี่ก็อารมณ์ดีเช่นกัน มอบปลายผ้าให้พวกนางห่อหนึ่ง
จูปาเม่ยมองปลายผ้าแพรที่งดงามก็มีความสุข “ท่านแม่ ท่านแม่ ดูสิเจ้าคะ ปลายผ้าที่งดงามขนาดนี้ถ้าเป็นปกติต้องราคาแพงมากเลยทีเดียว”
“เป็นเพราะหน้าตาทางสังคมของเถ้าแก่อวี๋พวกเราถึงได้ของถูก ต้องรู้จักแสดงความขอบคุณรู้หรือไม่?” เย่อวี๋หรานพูด
“แหะ ๆ ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะท่านแม่ข้าจะแสดงความขอบคุณแน่นอนเจ้าค่ะ พอถึงเวลาข้าจะทำชาดและแป้งผัดหน้าสวย ๆ รับรองว่าจะไม่ทำให้เขาเสียหน้าเจ้าค่ะ”
“เฮอะ ๆ …” หลี่ซื่ออดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้รู้สึกปวดหัวกับสาวน้อยไร้เดียงสาคนนี้ “น้องเล็ก ความหมายของท่านแม่ไม่ใช่ให้เจ้าทำเครื่องประทินผิวให้ดีขึ้นอีกหน่อย นี่คือสิ่งที่พวกเราควรทำอยู่แล้ว ท่านแม่หมายความว่าครั้งหน้าตอนที่ส่งสินค้าให้เจ้าทำของเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่งไปให้เถ้าแก่หลี่ด้วย แน่นอนว่าเจ้าที่เป็นแค่สาวน้อยคงไม่ค่อยสะดวกส่งให้เถ้าแก่ แต่เจ้าสามารถส่งไปให้ภรรยาของเขาได้”
ต่อมายังเตือนจูปาเม่ยอีกครั้ง
แม้ว่าตอนนี้จูปาเม่ยจะยังเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง แต่อายุสิบขวบก็พูดเรื่องแต่งงานขึ้นมาแล้ว ดังนั้นจูปาเม่ยไม่คิดจะสร้างปัญหาใด และจะเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ให้อะไรเถ้าแก่หลี่ที่อาจทำให้คนเข้าใจผิด
แต่ถ้าเป็นภรรยาของเถ้าแก่หลี่หรือลูกของเขามันก็จะต่างออกไป เพราะนั่นเป็นเพียงการ “ดีมาดีตอบ[2]” เท่านั้น
[1] วิ่งหนีพระได้แต่วิ่งหนีวัดไม่ได้ หมายถึง ถึงจะหลบซ่อนจากปัญหาได้ชั่วคราวแต่ปัญหายังคงอยู่ และสุดท้ายก็หนีปัญหาไม่พ้นอยู่ดี
[2]ดีมาดีตอบ หมายถึง ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
MANGA DISCUSSION