บทที่ 135 การหยั่งเชิงของจูเหล่าโถว
เย่อวี๋หรานมองเขาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากซื้อ แต่ตอนนั้นไม่ใช่ว่ามีเงื่อนไขหลายอย่างหรือ? ผ้าฝ้ายคุณภาพแย่ที่สุดยังราคาฉื่อนึงตั้งสิบหกเหรียญ บ้านเรามีกันตั้งหลายคนมีเงินซื้อพอที่ไหน?”
“ตอนนี้เจ้าพวกนี้โตกันหมดแล้วยิ่งต้องจ่ายค่าผ้ามากขึ้น ไม่ใช่ว่ายิ่งซื้อได้ยากขึ้นหรือ?” จูเหล่าโถวพูด
เย่อวี๋หรานรินน้ำชาให้เขา “อืม นั่นคือเหตุผลที่ข้าให้พวกเขาแต่ละคนออกเงินเอง ส่วนที่เหลือหากเงินไม่พอก็มาขอเงินล่วงหน้าไปใช้ก่อนได้ แต่เงินส่วนนี้ก็ไม่ได้ให้เปล่า ปีหน้าต้องเอามาใช้คืนด้วย”
“เจ้าพวกนั้นมีเงินที่ไหน?”
“ทำไมจะไม่มีเงิน?” เย่อวี๋หรานพูด “เจ้าลืมหรือว่าที่บ้านเจ้าสี่ก็ทำการค้าอยู่ทุกวัน คนอื่น ๆ ก็ล้วนช่วยกันทำ นอกจากส่วนที่ต้องส่งมอบให้ทางการ เงินนั่นก็เป็นพวกเขาที่แบ่งอย่างเท่า ๆ กัน”
“หา นี่เจ้าปล่อยให้พวกนางเอาเงินไปหรือ?!” จูเหล่าโถวยังคิดว่านางแค่พูดไม่อย่างนั้น คิดไม่ถึงว่าปีนี้นางเกิดเสียสติอย่างไรไม่ทราบถึงปล่อยให้พวกลูกสะใภ้เอาเงินไป?
เขาไม่อยากจะเชื่อ มีแม่สามีคนไหนบ้างจะมาแบ่งเงินให้พวกลูกสะใภ้?
“ไม่ให้พวกนางเอาเงินไปแล้วพวกนางจะขยันขันแข็งกับการทำงานหรือ? ดูสิว่าตอนนี้ดีแค่ไหน ข้าแค่มอบหมายงานให้เหมาะสม พวกนางก็รีบไปทำงานหาเงิน ไม่ว่าทำอะไรก็เอาการเอางาน ข้าไม่ต้องเข้าไปยุ่งแต่ทุกวันก็ล้วนได้รายได้ ไม่ใช่ว่านี่ดีมากเลยหรือ? เมื่อก่อนไม่ว่าข้าจะเข้าไปจัดการมากแค่ไหนก็ยังไม่เห็นเงินในมือเสียด้วยซ้ำ”
เย่อวี๋หรานยังไม่ชัดเจนตรงไหน พวกนางตอนนี้ ‘เอาใจ’ นาง ก็เป็นเพราะนางยอม ‘วางเงิน’ ไว้ที่พวกนาง
เมื่อมีเงินในมือ ในใจย่อมไม่ตื่นตระหนก
จูเหล่าโถวครั้งนี้ไม่ได้เถียงกลับไป การเปลี่ยนแปลงในบ้านในระยะหลังมานี้ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตเห็น เพียงแต่เขาไม่อาจยอมรับได้ในบางอย่าง
เดิมทีเขาเป็นเสาหลักของครอบครัว ทุกคนล้วนอยู่รอบตัวเขา แต่ราวกับว่าเพียงชั่วข้ามคืน พวกเขาทุกคนล้วนมี ‘เสาหลัก’ เป็นของตัวเอง ทั้งยังไม่ต้องการเขาอีกแล้ว
เขาตัวคนเดียวแล้ว นั่นรู้สึกราวกับถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง เกิดช่องว่างขนาดใหญ่มากเกินไป
“ถ้าต้องจัดการทุกอย่าง คนคนเดียวจะมีกำลังมากสักเท่าไรกันเชียว? ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการพวกนางแล้ว พวกนางอยากจะทำอะไรก็ทำ ตราบใดที่ทำเรื่องที่ข้ามอบหมายให้ดีก็พอ” เย่อวี๋หรานพูดอย่างตรงไปตรงมา “ทุกคนล้วนต้องเป็นพ่อแม่ในไม่ช้า ถ้าไม่ว่าเรื่องใดก็ยังต้องมาถามข้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ข้าจะคลอดพวกเขาออกมาทำไม? คลอดพวกเขาออกมาไม่ใช่เพื่อให้มีความสุขหรือ? ตอนนี้ก็โตกันหมดแล้วก็ควรจะปล่อยให้พวกเขากลับไปจัดการเรื่องของตัวเอง ให้หาเลี้ยงครอบครัวด้วยตัวเอง ถ้าตอนนี้ไม่ให้พวกเขากลับไปจัดการเรื่องของตัวเองรอจนพวกเราหมดแรงทำอะไรไม่ได้อีก พอพวกเขาต้องกลับไปจัดการเรื่องของตัวเองจริง ๆ ถึงตอนนั้นคงคิดอะไรไม่ออกและคงสายเกินไป”
“พอแล้ว ๆ ทำไมต้องพูดเช่นนี้ด้วย” เห็นได้ชัดว่าจูเหล่าโถวไม่ได้ใจเปิดกว้างเท่าเย่อวี๋หราน เขายังไม่คิดจะ ‘ปลดเกษียณ’
สำหรับคนที่เป็น ‘โรคกลัวการปลดเกษียณ’ เย่อวี๋หรานก็ยังไม่มีวิธีจัดการ นี่เป็นสิ่งที่ต้องคิดได้ด้วยตัวเอง
“ทำไมจะพูดไม่ได้เล่า? พวกเราล้วนเป็นปู่ย่าคนแล้ว ให้กำเนิดลูกชายมาตั้งหลายคน ไม่ให้พวกเขาเลี้ยงดูพวกเราแล้วจะให้กำเนิดพวกเขามาทำไม? เจ้าก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้วแต่ก็ยังเอาแต่ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย ทุกวันเจ้าทำงานเหนื่อยแทบตาย พวกเขาอยู่อย่างสบาย เจ้าคิดจะเลี้ยงดูลูกชายลูกสาวไปจนกว่าพวกเขาจะแก่ตายเลยหรือ?”
“คำพูดนี้เจ้าพูดเกินไปแล้ว อะไรคือการเลี้ยงดูจนแก่ตาย ที่พูดคำนี้ออกมาความหมายว่าอย่างไรกัน?” จูเหล่าโถวมีสีหน้าขุ่นเคือง
เย่อวี๋หรานกลอกตา
นางรู้ว่าคนโบราณมีข้อห้ามนั่นนี่ ราวกับว่าห้ามไปแล้วจะไม่ตาย
“ถ้าเจ้าคิดว่าข้าพูดเกินไปก็อย่ามาพูดเรื่องนี้กับข้า ทุกครั้งที่เจ้าพูด ข้าก็โกรธจนแทบทนไม่ไหว”
“เจ้าโกรธจนทนไม่ไหว? นี่ข้ายังต้องมาถูกเจ้าโกรธอีกแล้ว” จูเหล่าโถวบ่น “ที่เจ้าโกรธแบบนั้นใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ คำพูดเช่นนั้นที่เจ้าบ่นออกมาแต่ละคำแต่ละประโยคล้วนแทบทำให้คนทนฟังไม่ได้จนตาย”
“นั่นเพราะข้าพูดถูก แต่เจ้าไม่ยอมฟังข้า ข้าจะไม่โกรธได้อย่างไร?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่เจ้าพูดมามันถูกต้อง? ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าก็พูดถูก เจ้าไม่เคยผิดเลยสักนิดงั้นสิ?”
คาดไม่ถึงว่าจูเหล่าโถวยังมีความจริงอยู่ไม่น้อย นางอารมณ์ร้ายและอารมณ์รุนแรงอยู่ตลอด เอะอะก็ด่า หลายคนจึงเรียกนางลับหลังว่า ‘หญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์’ เมื่ออยู่นอกบ้านนางล้วนไม่ไว้หน้าเขา ตอนนี้คนล้วนพูดกันว่าเขาเป็น ‘คนขี้ขลาด’
“…” หน้าตาทางสังคมสำคัญตรงไหน?
อีกฝ่ายรีบพูดออกมามากมายขนาดนั้นว่า “ไม่พอใจ” แน่นอนว่าไม่ได้บ่นเรื่องในใจแค่หนึ่งวัน
ไม่รู้ว่าตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้ เจ้าของร่างเดิมสะสมเรื่องไว้มากน้อยแค่ไหน
จะว่าไปแล้วปัญหาเรื่อง “หน้าตาทางสังคมของผู้ชาย” เย่อวี๋หรานก็ไม่รู้ควรจะปลอบใจเขาอย่างไร ประการแรกคือนางไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม ไม่ได้มีความรู้สึกต่อเขาเหมือนเจ้าของร่างเดิม อีกประการนางก็รู้สึกว่าจูเหล่าโถวเป็นเช่นนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ พูดไปก็ไม่ฟังสักนิด ทำตัวเรียกร้องความสนใจ
แม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะไม่ดีแต่ก็ทนอยู่กินกับเขามาทั้งชีวิต ให้กำเนิดลูกชายตั้งหลายคน ยุ่งอยู่ตลอด ไม่มีความสุขแม้กระทั่งวันที่ตายไป เขายังต้องการอะไรอีก?
ชีวิตแย่ ๆ ของเขาทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมหรือ?
“เจ้าไม่พอใจที่ข้าร้ายกาจเกินไปจึงอยากจะมาคิดบัญชีกับข้าหรือ?” เย่อวี๋หรานรอจนเขาพูดจบก็เลิกคิ้วและพูดต่ออีกว่า “งั้นก็ได้ ถ้าเจ้าอยากคิดบัญชี พวกเราก็มาคิดกันอย่างถี่ถ้วนเถอะ”
จูเหล่าโถวดูเหมือนจะกลัวอยู่บ้าง จึงหดคอลงเล็กน้อย “ไม่ ๆ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่อยากจะถามว่า…ถามว่าเมื่อไหร่เจ้าจะกลับมา? เจ้าดูสิพวกเรานอนแยกห้องกันนานมากแล้ว”
“เจ้าเจ็ดที่หัวกระแทกหายดีแล้วหรือ? เจ้านอนในห้องลูกชายแล้วเตียงเขากว้างไม่พอหรือ? หรือห้องใหญ่ไม่พอ? เขานอนได้ทำไมเจ้านอนไม่ได้?” เย่อวี๋หรานได้ยินแบบนี้ก็ปฏิเสธกลับไปทันที
ล้อกันเล่นหรือ นางหวังจะนอนแยกห้องกับเขาไปตลอด ถ้าเขาอยากกลับมา นางยังจะนอนอย่างสงบใจได้หรือ?
“นานขนาดนี้แล้วเจ้าเจ็ดก็ไม่ต้องการการดูแลแล้ว…พูดก็พูดเถอะ นานแล้วที่พวกเราไม่ได้…”
เย่อวี๋หรานไม่ให้เขาพูดต่อ “อายุก็ตั้งเท่าไหร่แล้ว เจ้าคิดเรื่องอื่นไม่เป็นหรือ? เจ้าลองคิดดูว่าบ้านเรามีที่ดินกี่หมู่ ลูกชายเจ้าแบ่งกันหมดไหม? แล้วยังมีลูกเจ้าสี่ที่กำลังจะคลอดอีก ถึงตอนนั้นแต่ละห้องก็จะมีเด็กอีกสองสามคน เพิ่มมารวมแล้วก็เป็นสิบคน เจ้าคิดว่าบ้านเราตอนนี้เลี้ยงไหวหรือ?”
“ทำไมจะเลี้ยงไม่ไหว?” จูเหล่าโถวไม่เชื่อ “พวกเจ้าสามมีกันกี่คน ไม่ใช่ว่าเริ่มจับปลาแล้วหรือ? พวกลูกสะใภ้ก็เริ่มมีเงินในมือแล้ว ถ้าพวกนางคลอดเด็กออกมาจะเลี้ยงไม่ไหวเชียวหรือ? ตอนข้าเกิดขึ้นมาข้าก็หาเลี้ยงตัวเอง”
“แต่ที่ดินนี่เป็นพ่อสามีแม่สามีให้มา และเป็นสินเดิมของข้าที่ซื้อมา” ในฐานะสาวรับใช้ในห้องของคุณชาย เจ้าของร่างเดิมจะไม่มีของติดตัวเลยหรือ?
ตอนที่เจ้าของร่างเดิมถูก ‘ส่งไปขาย’ นางไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปเก็บของของตัวเอง จึงแอบซ่อนเครื่องประดับและเงินไว้กับตัว
ถ้าไม่ใช่เพราะของเหล่านี้ จูเหล่าโถวที่ทำไร่ไถนาคนเดียวจะสามารถเลี้ยงดูลูกชายตั้งหลายคนได้อย่างไร?
“แต่ที่ดินนี่เป็นของข้า ถ้าข้าไม่ทำการเพาะปลูกที่นี่ ต่อให้เจ้าซื้อที่ดินไปก็ไร้ประโยชน์”
“ข้าก็ไม่ได้พูดว่าเจ้าไม่ได้มาเพาะปลูก ตอนนี้ที่ข้าจะพูดคือที่ดินของพวกเราไม่พอที่จะเพาะปลูก ในบ้านมีปากท้องตั้งเท่าไหร่ที่ต้องเลี้ยง วิธีเพาะปลูกแบบเก่าไม่พอเลี้ยงชีพหรอก ดังนั้นพวกเราต้อง ‘เปลี่ยนสภาพความเป็นอยู่ที่ยากจน’ ถ้ายังไม่ ‘เปลี่ยน’ ทั้งครอบครัวคงได้อดตาย” เย่อวี๋หรานเน้นย้ำกับเขาว่าชีวิตในบ้านยังลำบากมาก อย่ามาคิดเรื่องพวกนี้ เวลานี้ไม่สู้มาคิดหาวิธีหารายได้มาจุนเจือครอบครัวจะดีกว่าหรือ
MANGA DISCUSSION