บทที่ 13 หลี่ซื่อถูกนางถามจนงงงวย
หมู่บ้านสกุลจูไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมากนัก จากหน้าหมู่บ้านไปถึงท้ายหมู่บ้านมีอยู่ราวยี่สิบถึงสามสิบครัวเรือน สร้างขึ้นล้อมรอบเชิงเขาไท่ตัง
นอกจากหมู่บ้านสกุลจูแล้ว ใกล้เคียงกันยังมีหมู่บ้านขนาดใหญ่อีกหลายหมู่บ้าน ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้แซ่จู หลี่ หลิว สามแซ่นี้เป็นหลัก เนื่องจากไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน จึงไม่ได้ห้ามคนแซ่เดียวกันแต่งงานกันเอง แต่ตอนที่ดูตัวกันจำเป็นต้องสอบถามสักเล็กน้อย จะได้ไม่ไปแต่งกับคนที่เป็นเครือญาติเดียวกันเข้า
ภูเขาไท่ตังใหญ่โตอย่างมาก ทอดยาวไปสิบกว่าหมู่บ้าน นอกจากทำการเกษตรแล้ว โดยพื้นฐานก็ดำรงชีวิตอยู่โดยพึ่งพาภูเขาลูกนี้
ทว่าเนื่องจากภูเขาใหญ่โตมากนัก บนเขาสามารถพบสัตว์ดุร้ายได้ง่าย ทุกคนจึงเคลื่อนไหวอยู่เพียงบริเวณเชิงเขา ไม่กล้ารุกล้ำไปไกลกว่านั้น
เว้นเสียแต่เป็นปีที่เกิดภัยพิบัติ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอาชีวิตไปเสี่ยง
เย่อวี๋หรานก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปผจญอันตราย นางอาศัยความทรงจำเจ้าของร่างเดิมในการลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่คุ้นเคย
“ท่านแม่ ท่านดู ตรงนั้นมีผลไม้ป่าด้วย” หลี่ซื่อตาไว ไม่ทันไรก็พบกับสิ่งที่ต้องการ
เย่อวี๋หรานมองตามนิ้วมือของนางก็เห็นบางอย่างอยู่หลังพุ่มไม้ ซึ่งปกติมีกิ่งไม้ใบหญ้าบังอยู่จึงมองไม่เห็น
คราวนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดถึงได้เกิดลมหอบหนึ่งกวาดผ่านมา ต้นไม้ใบหญ้าสั่นไหวน้อย ๆ จึงเผยร่องรอยออกมา
เย่อวี๋หรานสงสัยว่าคงไม่ใช่เพราะนิ้วทองคำของนางกำลังแสดงอานุภาพอยู่หรอกนะ?
หลี่ซื่อเก็บกิ่งไม้ที่ค่อนข้างหนากิ่งหนึ่งขึ้นมาแหวกพุ่มไม้ออก เห็นว่าข้างในนั้นมีต้นไม้เล็ก ๆ เตี้ย ๆ อยู่ต้นหนึ่ง บนนั้นเต็มไปด้วยผลไม้ป่าสีแดงลูกเท่านิ้วโป้ง
นางเด็ดลูกหนึ่งลงมา ยื่นมาตรงหน้าเย่อวี๋หรานอย่างดีอกดีใจ “ท่านแม่ ดูสิเจ้าคะ คราวที่แล้วท่านทำน้ำเชื่อมผลไม้ก็ใช้ผลไม้ป่าชนิดนี้ใช่หรือไม่?”
“อืม เป็นอันนี้แหละ” เย่อวี๋หรานค้นในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็ไม่พบชื่อผลไม้ชนิดนี้ “ไม่รู้เหมือนกันว่าผลไม้นี้เรียกว่าอะไร เอามาทำน้ำเชื่อมรสชาติดีทีเดียว”
“อืม ๆ อันนี้คือผลแดงน้อย ที่หมู่บ้านของข้าเรียกกันอย่างนี้เจ้าค่ะ แต่ได้ยินพี่สะใภ้รองพูดว่าที่บ้านเกิดนางเรียกผลนิ้วโป้ง ส่วนหมู่บ้านสกุลจูกลับไม่เคยได้ยินคนเรียกชื่อผลไม้ชนิดนี้มาก่อน เรียกกันแต่ว่าผลไม้ป่า ส่วนใหญ่ก็เรียกกันส่ง ๆ ไปอย่างนั้น…” หลี่ซื่อพูดพลางเด็ดผลไม้ป่าใส่ถุงผ้าอย่างร่าเริง “โชคดีที่วันนี้ข้าเอาถุงผ้ามาด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าเอาใส่ในตะกร้าสะพายหลังก็คงจะเละกันพอดี”
ถุงผ้าของหลี่ซื่อแลดูคล้าย ‘ย่าม’ อยู่บ้าง มันใช้แถบผ้ายาว ๆ ชิ้นหนึ่งมาเย็บหน้าหลังทำเป็นช่อง ใช้สะพายไหล่หรือคล้องคอไว้
สตรีของที่นี่เวลาออกไปข้างนอกนั้นดูเหมือนจะชอบสะพายย่ามแบบนี้ โดยทั่วไปแล้วทำมาจากผ้ากระสอบเนื้อหยาบ
เนื่องจากเจ้าของร่างเดิมเป็นสะใภ้ที่ถูกซื้อตัวมาจากข้างนอกจึงทำอะไรแบบนี้ไม่เป็น หลังจากลูกสะใภ้หลายคนแต่งเข้ามาแล้ว ที่บ้านจึงมีย่ามแบบนี้ใช้ แต่ว่าเจ้าของร่างเดิมใช้ไม่ถนัด ในห้องของนางจึงไม่มีย่าม
ในเวลาไม่นาน ช่องหน้าหลังของถุงผ้าทั้งสองช่องก็ใส่ผลไม้ป่าได้สองถ้วยใหญ่ หลี่ซื่อดีอกดีใจยิ่ง
“ท่านแม่ ถ้าพวกเราโชคดีหาเจออีกสักหลายต้นก็ใส่ได้เต็มถุงแล้ว กลับไปทำได้หม้อใหญ่แน่”
“ของแบบนี้เก็บไว้นานไม่ได้ เสียง่าย ทำเยอะไปก็ไม่มีประโยชน์” แม้จะไม่อยากทำลายความกระตือรือร้นของนาง แต่เย่อวี๋หรานก็ยังคงพูดออกมาในที่สุด
หลี่ซื่อลอบชำเลืองมองนาง “ท่านแม่ ไหน ๆ ก็เก็บมาแล้ว กลับไปแล้วพวกเราก็ทำเยอะหน่อยดีไหมเจ้าคะ? ถึงตอนนั้นถ้าต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ากินไม่หมด เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“ได้ ถ้าเจ้าไม่รังเกียจว่ายุ่งยาก เจ้าก็ทำเอง เดี๋ยวข้าสอนให้”
หลี่ซื่อยิ้มร่าทันใด “ท่านแม่ ท่านดีจริง ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านแม่เอ็นดูข้าที่สุด ท่านสบายใจได้ กลับไปให้ข้าลงมือทำเอง ท่านแม่คอยสอนข้าอยู่ข้าง ๆ ก็พอ”
ครั้นพวกนางตระเตรียมที่จะจากไป เย่อวี๋หรานก็เห็นว่าตรงจุดที่ไกลออกไปเล็กน้อยเหมือนจะมีรังนกอยู่รังหนึ่ง นางไม่ค่อยแน่ใจนัก
“เจ้ารอก่อน ข้าไปดูหน่อย”
“หา ท่านแม่ ท่านไปทำอะไร? อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปเชียวนะเจ้าคะ ป่านี้กว้างยิ่งนัก ไม่ระวังทางจะหลงเอาได้ง่ายๆ…”
เย่อวี๋หรานเดินเข้าไปใกล้ก็เขย่งปลายเท้า กิ่งไม้เหนือศีรษะของนางโน้มลงมาต่ำ จนเห็นเงาตะคุ่มของไข่นกในนั้น มันมีทั้งหมดหกฟอง
แต่ว่าขนาดเล็กไปหน่อย ใหญ่กว่านิ้วโป้งนิดเดียว คนในเรือนมีกันตั้งเยอะ กินกันคนละคำยังไม่พอ
“ท่านแม่ เมื่อครู่ท่านคุ้ยหาอะไรหรือเจ้าคะ?”
เย่อวี๋หรานผายมือออกให้นางเห็น
“ไข่นก?!” หลี่ซื่อตื่นเต้นยินดี “ท่านแม่ ท่านร้ายกาจยิ่งนัก ไม่ทันไรก็เจอไข่นกแล้ว ข้าบอกท่านเลยว่าข้าเคยขึ้นเขามาตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย”
เย่อวี๋หรานให้นางเก็บไว้ในถุงผ้า ระวังอย่าให้ไข่แตก
“ท่านแม่ ท่านวางใจได้ ไม่เป็นไรแน่เจ้าค่ะ” หลี่ซื่อน้ำลายไหลพลางถาม “ท่านแม่ ตอนเย็นขอไข่ให้ข้าสักฟองได้ไหมเจ้าคะ?”
“ตอนเย็นทำแกงไข่นกกินด้วยกันทุกคน” เย่อวี๋หรานพูด
“จริงหรือเจ้าคะ?! ยอดเยี่ยมไปเลย ท่านแม่ ข้ายังนึกว่าท่านจะต้มให้น้องแปดกินหมด พวกข้าคงไม่ได้กินแล้ว แฮะๆๆ…น้ำแกงไข่ก็ได้ ขอแค่ข้าได้กินก็พอแล้ว”
แค่ให้เจ้ากินคำเดียวก็สามารถเอาเจ้าไปขายได้แล้วใช่ไหม? เย่อวี๋หรานอยากถามนางแบบนี้ยิ่งนัก แต่คิดถึงภาพลักษณ์เจ้าของร่างเดิมแล้วก็ได้แต่สงบปาก
“ท่านแม่ ตรงนี้มีผักป่าเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อเจอผักป่าที่ถูกคนมองข้ามไปอีกครั้ง
ผักจี้ไช่ขึ้นค่อนข้างกระจัดกระจาย แต่ว่าแต่ละต้นมีขนาดใหญ่มาก พวกมันก็เหมือนกับแถบผ้า กระจายจากริมทางเข้าไปในส่วนลึกของป่า
เดินไปพลางถอนไปพลาง เย่อวี๋หรานเห็นนางอุ้มท้องโตเก็บผักป่าลำบากขนาดนั้นก็พูดว่า “เจ้ายืนเอาเถอะ ลองดูรอบ ๆ ว่ามีผลไม้ป่าให้เก็บหรือไม่ อุ้มท้องโตขนาดนั้นจะขุดก็ลำบากเปล่า ๆ”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านแม่ คนอื่นอุ้มท้องโตกว่าข้าไปทำงานในนาก็มี อย่างข้านี่สู้ไม่ได้เลย นาน ๆ ทีถึงจะออกมาเคลื่อนไหวร่างกายสักครั้ง” หลี่ซื่อไม่ได้โง่ ปกติแอบเกียจคร้านก็แล้วไปเถอะ ตอนนี้แม่สามีอยู่ตรงหน้ายังไม่ทำงานขันแข็งหน่อย จะวอนหาไม้เรียวรึ?
“ถ้าเจ้ารู้สึกไม่สบายตัวก็ลุกขึ้นมาเดินสักหน่อย อย่าเอาแต่นั่งยอง”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” หลี่ซื่อรู้สึกว่าวันนี้แม่สามีใจดีผิดธรรมดา อย่าบอกนะว่าล้มไปคราวนั้น แม่สามีได้ล้มจนเปลี่ยนเป็นคนจิตใจดีขึ้นมาแล้ว?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นางก็น่าจะผลักแม่สามีล้มตั้งนานแล้ว
เย่อวี๋หรานเงยหน้าขึ้น พบว่าตรงพุ่มไม้ไกล ๆ เหมือนจะมีพืชที่คุ้นตาอยู่ นางไม่แน่ใจแต่ก็เดินเข้าไปดู
หลี่ซื่อเห็นแม่สามีกำลังขุดอะไรอยู่ก็นึกสงสัย “ท่านแม่ ท่านขุดอะไรอยู่หรือ?”
ในมือไม่มีอุปกรณ์ เย่อวี๋หรานได้แต่หาท่อนไม้มาท่อนหนึ่ง ออกแรงฮึดงัดดินขึ้นมา
ถึงจะกินแรงอยู่บ้าง แต่ว่าด้านในก็มีเงาเปลือกสีแดง ๆ โผล่ออกมาให้เห็น ลักษณะกลม ๆ นั้นถึงจะไม่ได้เห็นรูปร่างเต็ม ๆ ของมัน แต่เย่อวี๋หรานก็มองออกแล้ว นั่นมันเทศไม่ใช่หรอกหรือ?
แม้ว่าจะไม่ค่อยเหมือนกับที่เคยซื้อตามห้างสรรพสินค้า แต่นางเคยเห็นมันเทศเปื้อนโคลนในชนบทก็หน้าตาแบบนี้ เพียงแต่เทียบกับอันนี้แล้วมีขนาดใหญ่กว่าหน่อยก็เท่านั้น
“คราวก่อนข้าเหมือนจะเห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ กำลังแทะเจ้านี่อยู่ ข้าคิดว่าในเมื่อสัตว์ยังกินได้ พวกเราก็น่าจะกินได้กระมัง?”
หลี่ซื่ออึ้งไป “ท่านแม่ ท่านหิวจนเลอะเลือนแล้วหรือ? ของที่สัตว์กิน พวกเราจะกินได้อย่างไร? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พวกเราก็กินหญ้าเลี้ยงหมูได้ด้วยสิเจ้าคะ?”
“อาหารเลี้ยงหมูบางอย่างพวกเราก็กินได้ไม่ใช่รึ?” เย่อวี๋หรานแย้งกลับ
“แต่ว่านั่นเป็นเพราะหมูมันกินของที่พวกเรากินได้ต่างหาก”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราที่เป็นมนุษย์ไม่สามารถกินของที่หมูกินได้?”
หลี่ซื่อถูกนางถามจนงงงวย
MANGA DISCUSSION