บทที่ 128 แม่ม่ายฉิน
ไม่ใช่แค่พลิกหน้าดิน เย่อวี๋หรานยังให้พวกเขาก่อดินรอบ ๆ ที่นาด้วย โดยเรียกมันว่า “คันนา”
“ท่านแม่ ทำไมต้องทำของแบบนี้ด้วยขอรับ?” จูอู่กลับมาจากเรือนของไฉหงก็เริ่มทำงานจนเหงื่อไหลอาบหน้า เขาไม่เข้าใจสิ่งที่มารดากำลังทำอยู่เลยสักนิด
“ให้เจ้าทำก็ทำ จะพูดมากทำไม? ข้าเคยทำเรื่องไร้ประโยชน์ด้วยรึ?” เย่อวี๋หรานย่อมลงไปทำนาด้วยไม่ได้อยู่แล้ว นางอายุปูนนี้จึงได้แต่คอยดู
จูชีสมองไม่ค่อยดี แต่ทำงานกลับยังได้เรื่องอยู่บ้าง แต่เขาก็อายุยังน้อย แค่สิบขวบต้น ๆ ทำงานหนักไม่ไหว ได้แต่ช่วยอะไรเล็กน้อยอยู่ข้าง ๆ
แรงงานหลักก็คือจูต้าและจูอู่ที่อายุเต็มสิบหกแล้ว
นอกจากนี้ เย่อวี๋หรานยังให้พวกเขาขุดหลุมที่ไม่ได้ลึกมากหลุมหนึ่งขึ้นบริเวณท้ายเรือนของตัวเอง เก็บใบไม้ทั้งเปียกและแห้งจำนวนไม่น้อยมาจากบนเขา เอามาผสมกับพวกฟางข้าว เครือเถาวัลย์ มูลสัตว์ปีก แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน เอาฟางข้าวมาคลุมแล้วก็ไม่ให้พวกเขาแตะต้องอีก
อืม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้แตะต้องเลยเสียทีเดียว บางครั้งเย่อวี๋หรานก็จะไปแหวกช่องสอดมือเข้าไปสัมผัสดูเล็กน้อย
“ท่านแม่ ท่านทำอะไรหรือขอรับ?” จูอู่ถูกสั่งให้ทำนั่นทำนี่ทั้งวัน แม้จะรู้ตัวว่าต้องถูกด่าแต่ก็อดถามไม่ได้
“อีกหลายวันเจ้าก็รู้เอง” เย่อวี๋หรานพูด
จูอู่ “…” หลายวันอีกแล้ว?
ทางนี้ยังไม่มีผลลัพธ์ แต่กลับได้ข่าวจากทางฝั่งช่างไม้ไฉหงแล้ว เขาให้คนมาแจ้งให้เย่อวี๋หรานกับจูอู่ไปดูของ
“เจ้าไปสั่งของที่เรือนช่างไม้?” จูเหล่าโถวรู้ว่าพักนี้เย่อวี๋หรานยุ่งกับงานในนามาตลอด จึงแอบถามกับจูต้าอย่างลับ ๆ ฟังจนหัวสมองมึนงงไปหมด ไม่รู้ว่าภรรยาของตนเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
แต่เขาคร้านจะสนใจ อย่างไรเสียคนที่ถูกสั่งงานก็ไม่ใช่เขาเสียหน่อย
แค่ใช้งานลูกชายก็แล้วไปเถอะ แต่ถ้าจะใช้เงินของครอบครัว เขาก็จำเป็นต้องถามหน่อยแล้ว เงินในมือนางไม่ใช่ของนางคนเดียวเสียหน่อย แต่เป็นเงินของครอบครัวเชียวนะ
อย่าเห็นว่าจูเหล่าโถวไม่ถามไถ่แล้วจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ผู้คนที่เข้าออกเรือนเขาอยู่ทุกวัน คนซื้อเต้าหู้เอย ซื้อลูกชิ้นกากเต้าหู้ที่มีรสชาติของเนื้อสัตว์ เขาดูก็รู้ว่าในเรือนมีรายรับเข้ามา แต่เขาไม่รู้ว่าเท่าไหร่กันแน่
“อืม” เย่อวี๋หรานไม่ได้อธิบาย นางเรียกจูอู่มาได้ก็ออกไปข้างนอก
“เจ้าอย่าใช้เงินมั่วซั่วเชียวนะ ไม่ว่าอย่างไร…” จูเหล่าโถวยังพูดไม่จบ คนก็ลับตาไปเสียแล้ว
เขายืนอยู่ในลานเรือน ออกจะโมโหอยู่บ้าง
ภรรยาผู้นี้นับวันก็ยิ่งไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
จิตใจหงุดหงิดคับข้อง จูเหล่าโถวร้องฮึเดินออกจากเรือนไปเตร่ในหมู่บ้าน
“เอ๊ะ นั่นจูเหล่าโถวไม่ใช่หรอกหรือ?” แม่ม่ายฉินในหมู่บ้านเห็นเขาเข้าก็กลอกตาครุ่นคิดคราหนึ่งแล้วกระแซะเข้ามาหา
จูเหล่าโถวหันไปมอง “เจ้าเองหรือ จะไปไหน?”
“ข้าจะไปไหนได้? ในเรือนไม่มีผู้ชายสักคน ไม่เหมือนเมียเจ้าที่ได้เสพสุข อะไรก็ไม่ต้องทำ อยู่ว่างไปวัน ๆ ในเรือนก็ได้ ส่วนข้ากลับต้องทำเองไปเสียทุกอย่าง” แม่ม่ายฉินยิ้มถาม “ช่วงนี้พวกเจ้ารวยเลยสิท่า? ข้าเห็นว่ามีคนไปซื้อของที่เรือนพวกเจ้าบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ซื้อเต้าหู้ เดี๋ยวก็ซื้อลูกชิ้นกากเต้าหู้ทอด”
“ไม่ได้มากอะไรหรอก บ้านพวกข้าที่ดินน้อยแต่คนมาก พวกลูกสะใภ้ออกมาหาเงินค่าแป้งชาดเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง” จูเหล่าโถวกลับนับว่าพอมีสมองอยู่บ้าง พูดไปในทางเดียวกับคนอื่นในครอบครัว พวกข้าไม่ได้ค้าขายนะ แต่กำลังหาเงินค่าแป้งชาดเล็ก ๆ น้อย ๆ กันต่างหาก
แน่นอน ส่วนว่าหาได้มากน้อยเท่าไหร่ เขาก็ไม่รู้แน่ชัด
“อุ๊บ…เงินค่าแป้งชาด? เดี๋ยวนี้มีหญิงชาวนาสักกี่คนที่มีกำลังซื้อแป้งชาดมาใช้? ก็มีแต่บ้านเจ้านั่นแหละ” แม่ม่ายฉินฟังแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าพลันกว้างกว่าเดิม
ถึงนางจะเข้าสู่วัยสามสิบต้น ๆ แล้ว บนดวงหน้าก็ทิ้งร่องรอยของกาลเวลาเอาไว้ แต่ปกติดูแลตัวเองดีมาก จึงมีเสน่ห์แบบที่คนอื่นไม่มี
อย่างน้อยในสายตาจูเหล่าโถวก็เป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงกดดันในชีวิตครอบครัวหนักหน่วงเกินไป หรือว่าภรรยาของเขายุ่งเกินไป ทั้งวันสีหน้าแข็งกระด้าง แม้แต่ยิ้มก็ยังไม่ยอมยิ้มให้เขา มิหนำซ้ำยังจะมาแยกห้องนอนกันอีก เขาไม่รู้สึกว่าภรรยาผู้นั้นจะมีความเป็นกุลสตรีอยู่เลยสักนิด
ลักษณะของแม่ม่ายฉินทำให้จูเหล่าโถวที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วอดจะครุ่นคิดไม่ได้ว่า สามีของแม่หม้ายฉินก็ตายไปนานหลายปีแล้ว ที่ดินแห้งแล้งของนางผืนนั้นก็คงใกล้จะแห้งตายอยู่รอมร่อ แล้วท่าทางพราวเสน่ห์เช่นนี้มาจากไหนกัน?
แต่ว่านี่เป็นเรื่องของผู้อื่น เขาไม่ได้ถามออกมา เพียงแต่พูดว่า “แป้งชาดนี่ก็ต้องว่ากันอีกที ที่เรือนพวกข้าไม่ได้ซื้อ แต่ทำขึ้นมาสำหรับใช้งานในเรือนกันเอง ในหมู่บ้านสกุลจูแห่งนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าเมียข้าเคยอยู่บ้านสกุลใหญ่มาก่อน? เคล็ดลับเหล่านั้นของนางเพียงถ่ายทอดให้ลูกสาวไม่ถ่ายทอดให้ลูกชาย จะสอนให้เสี่ยวเม่ยสักหน่อยก็ไม่แปลกอะไร เสี่ยวเม่ยยังเด็กไม่ประสา ทำออกมาเยอะเกินไปก็ส่งให้พวกพี่สะใภ้ของนางคนละเล็กละน้อย พวกนางตัดใจใช้กันไม่ลง จึงเอาไปแลกกับของที่ได้ใช้ประโยชน์กับเมียเจ้าสี่ เอามาใช้กันในเรือนก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ใครให้พวกข้ามีที่นิดเดียว แต่กลับต้องเลี้ยงคนมากขนาดนั้นกันเล่า”
แม่ม่ายฉินไม่ได้ตอบเขา แต่จับจุดหนึ่งเอาไว้อย่างกระตือรือร้น “เสี่ยวเม่ยบ้านเจ้าทำเองจริง ๆ หรือ? เสี่ยวเม่ยบ้านเจ้ายังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย ตัวก็เล็กเท่านี้ แต่กลับทำของแบบนั้นออกมาได้?”
นางยังเทียบส่วนสูงของจูปาเม่ย เด็กอายุสิบขวบคนหนึ่งตัวจะสูงสักเท่าไหร่เชียว?
แม่ม่ายฉินตัวสูง จูปาเม่ยก็สูงเพียงอกของนางเท่านั้นเอง
“นี่มันเรื่องของพวกผู้หญิง ข้าจะไปเข้าใจได้อย่างไร? อย่างไรเสียพวกนางอยู่ว่างในเรือนก็วุ่นวายกันไม่เว้นวัน เสี่ยวเม่ยนั่นแม่ของนางเอ็นดูนางนัก พลอยให้พวกพี่สะใภ้ทำนั่นทำนี่ไปกับนางด้วย” จูเหล่าโถวไม่รู้เรื่องพวกนี้จริง ๆ ช่วงเก็บเกี่ยวเขาไม่ได้อยู่ที่เรือน เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าแค่ชั่วพริบตาเดียว ในเรือนกลับมีข้าวของแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นมาเต็มไปหมด?
แม่ม่ายฉินตะล่อมถามอยู่นานก็ไม่ได้เรื่องอะไร และเริ่มไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
แต่นางก็พอจะรู้ว่าหญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์บ้านสกุลจูผู้นั้นร้ายกาจ ลูกสะใภ้ทั้งหลายไม่มีใครกล้าไม่ฟังนางสักคน
ภรรยาของลูกชายคนที่สามก็แค่กลับบ้านมารดานานไปหน่อยไม่ใช่หรือไร แต่นางก็ยังบุกไปถึงเรือน ไม่สนว่าลูกสาวผู้อื่นจะเป็นตายอย่างไร ไม่พูดพร่ำก็ปลดเสียแล้ว นับว่าโหดร้ายยิ่งนัก
“เจ้าหมายถึงเรื่องนี้น่ะหรือ?” จูเหล่าโถวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง “ข้าก็ไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ นางไม่ได้มาคุยกับข้า ตอนที่ข้ารู้ข่าวก็ปลดเมียเจ้าสามไปแล้ว”
ที่จริงแล้วเรื่องอื่นยังพอทำเนา มีเพียงเรื่องนี้ที่จูเหล่าโถวไม่พอใจมาก การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ แต่ภรรยาผู้นั้นไม่พูดอะไรสักคำก็ปลดสะใภ้สามเสียแล้ว
นางไม่รู้หรือไรว่าถ้าปลดคนเก่าแล้วก็ต้องหาคนใหม่ให้เจ้าสามด้วย?
หาคนใหม่มาก็ต้องจัดงานมงคล ต้องใช้เงินอีกน่ะสิ?
“เจ้าไม่รู้?!” แม่ม่ายฉินตะลึงพรึงเพริด “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เมียเจ้ากลับไม่มาพูดกับเจ้าเลย?”
นางมองจูเหล่าโถวตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับไม่อยากเชื่อสายตา
จูเหล่าโถวมีท่าทางลำบากใจ “นางบอกว่าจะไปรับลูกสะใภ้ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าแค่ชั่วเวลาช่วงบ่ายนางก็ปลดลูกสะใภ้ไปแล้ว? นางเป็นคนอย่างไร คนในหมู่บ้านสกุลจูยังไม่เคยได้ยินอีกเรอะ?”
“ก็ใช่” แม่ม่ายฉินมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจพลางกล่าวว่า “นางร้ายกาจจริง ๆ นั่นแหละ ทั้งยังทำให้เจ้าลำบากมาหลายปี แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็คลอดลูกชายให้เจ้าหลายคนปานนั้น เจ้ายอมให้นางสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร พวกเราทุกคนล้วนเข้าใจดี”
แม่ม่ายฉินเปลี่ยนจากศัตรูฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพันธมิตรฝ่ายเดียวกันกับจูเหล่าโถวในชั่วขณะ ทั้งยังกล่าวถ้อยคำเข้าอกเข้าใจออกมามากมาย
MANGA DISCUSSION