บทที่ 123 น้ำมันดอกกุ้ย
เย่อวี๋หรานแสดงออกว่าชื่นชมคำตอบของจูปาเม่ย “ไม่เลว วิธีแรกใช้น้ำมันดอกกุ้ยเปลืองจริง ๆ นั่นแหละ แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ต่างจากวิธีที่สอง ถ้าเจ้ามีเวลาก็ลองดูสักหน่อยจะได้รู้ว่ามันต่างกันตรงไหน ส่วนวิธีที่สอง นอกจากใช้ดอกหงฮวาแห้งแล้ว ยังสามารถไปเก็บดอกเยียนจือ ดอกกุหลาบ ดอกจือจื่อหรือดอกไม้สีแดงอะไรก็ได้ที่เจ้าสามารถหาได้ นำมาบดให้ละเอียด ใช้ผ้าขาวบางกรองเอากากออก หลังจากผึ่งลมจนแห้งแล้วค่อยหยดน้ำมันดอกกุ้ยผสมลงไป เท่านี้เจ้าก็สามารถทำชาดได้หลากหลายชนิดแล้ว สีสันหรือกลิ่นล้วนต่างกัน”
จูปาเม่ยเบิกตาโต อัศจรรย์ใจยิ่งนัก “ท่านแม่พูดเช่นนี้หมายความว่า ถ้าข้าสามารถทำสีที่ไม่ซ้ำกันออกมาได้เหมือนกับสร้อยข้อมือ ก็จะได้ชาดออกมาหลากสีสันเลยใช่ไหมเจ้าคะ?”
นางนับไม่หวาดไม่ไหวเลยว่าจะทำออกมาได้กี่สีกันแน่
“เจ้าจะลองทำตามฤดูกาลก็ได้นี่นา ปกติก็เก็บดอกไม้กลับมาผึ่งลมให้แห้ง ทำดอกไม้แห้งเก็บไว้สำหรับใช้งานให้มากหน่อย ถึงตอนนั้นเจ้าก็ลองปรุงสีเองได้ตามใจชอบแล้ว”
จูปาเม่ยนับว่าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดมารดาจึงให้นางเก็บดอกไม้นานาชนิดกลับมาทำดอกไม้แห้งเอาไว้ ที่แท้ก็เพราะเหตุผลนี้เอง
นางนึกดีใจที่ตอนนั้นตนเองไม่ได้แอบอู้ แต่ทำตามที่มารดาบอกโดยไม่บิดพลิ้ว ไม่อย่างนั้นตอนนี้ต้องสูญเสียชาดไปกี่แบบแล้ว?
“น่าเสียดายที่น้ำมันดอกกุ้ยแพงไปหน่อย ไม่อย่างนั้นข้าก็จะลองทำทั้งหมดเลย” จูปาเม่ยยังไม่วายเสียดาย
เย่อวี๋หรานได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มมุมปาก กล่าวเสียงเนิบนาบ “ข้ารู้วิธีทำน้ำมันดอกกุ้ย”
“ท่านแม่ ข้าอยากเรียนเจ้าค่ะ ท่านรีบบอกข้ามาเร็ว ๆ ข้าจะทำน้ำมันดอกกุ้ย” จูปาเม่ยดีใจยิ่งนัก กระโดดเข้ามากอดแขนออดอ้อนมารดาทันที
นางคิดว่าตนเองโชคดีเกินไปแล้ว มารดาของนางราวกับกล่องสมบัติสารพัดนึกอย่างไรอย่างนั้น ขอเพียงนางอยากได้ มารดาของนางก็มี ‘สูตรลับ’ มาบอกอยู่ร่ำไป
ไฉนมารดาของนางจึงสุดยอดเช่นนี้นะ?
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดน้ำมันดอกกุ้ยจึงต้องมีคำว่าน้ำมัน?” เย่อวี๋หรานไม่รีบร้อนบอกวิธีทำ แต่ถามคำถามหนึ่งขึ้นมาก่อน
จูปาเม่ยส่ายหน้า “ไม่รู้เจ้าค่ะ ทำไมหรือเจ้าคะ?”
“เพราะต้องได้ใช้น้ำมันน่ะสิ” มาถึงตรงนี้ เย่อวี๋หรานก็อธิบายอย่างใจเย็น “ข้าเคยอ่านเจอสูตรหนึ่งจากตำราเครื่องหอม ‘เซียงผู่’[1] ในนั้นกล่าวไว้ว่า ก่อนรุ่งสางเก็บมู่ซีหอมบานครึ่งดอก เด็ดก้านออกล้างให้สะอาด ปริมาณหนึ่งโต่วผสมน้ำมันงาหนึ่งจิน คนให้เข้ากันอย่างเบามือแล้วเทใส่ในภาชนะเคลือบ ใช้กระดาษชุบน้ำมันปิดผนึก นำไปนึ่งสักพัก แล้วยกขึ้นมาตากไว้ในที่แห้ง หลังจากนั้นสิบวัน เทออกมารีดของเหลวด้วยมือเปล่า บรรจุไว้ในภาชนะปิดผนึกให้แน่นสนิท ยิ่งเก็บไว้นานก็ยิ่งหอมเข้มข้น นำน้ำมันที่ได้ไปผสมขี้ผึ้ง สามารถใช้ทำได้ทั้งเครื่องประทินผิวและเครื่องหอม”
จูปาเม่ยคิดไม่ถึงว่ามารดาของนางพูดสูตรลับอยู่ดี ๆ กลับร่ายเนื้อความในตำราออกมาเสียยาว ทำเอานางมึนงงไปหมด “ท่านแม่ ท่านอธิบายง่าย ๆ หน่อยไม่ได้หรือเจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าข้าเพิ่งจะท่องตำรา ส่วนใหญ่แล้วฟังไม่เข้าใจหรอก”
นางอยากจะร้องไห้ ท่อนแรกที่บอกว่าก่อนรุ่งสางเก็บมู่ซีหอม นางเพียงเข้าใจว่าให้ไปเก็บอะไรสักอย่างที่เรียกว่ามู่ซีหอมในตอนเช้า แต่สวรรค์เท่านั้นจึงจะทราบว่าอะไรคือมู่ซีหอม?
ท่อนท้าย ๆ ที่ว่า ‘รีดของเหลวด้วยมือเปล่า’ นางไม่เข้าใจเลยสักนิด
เย่อวี๋หรานมองนางเป็นเชิงดูถูก “ให้เจ้าเอาใจใส่เรื่องการเรียน ตอนนี้เป็นอย่างไร ฟังไม่เข้าใจล่ะสิ? ไม่ใช่แค่ตำราเครื่องหอม ‘เซียงผู่’ แต่ในตำรา ‘จิ่งเยวี่ยฉวนชูกู่ฟางปาเจิ้น’ [2] ก็กล่าวไว้ว่า ให้นำดอกกุ้ยบานครึ่งดอกสองเซิง [3] และน้ำมันงาหนึ่งจิน มาผสมกันในภาชนะเครื่องเคลือบ แล้วใช้กระดาษชุบน้ำมันปิดผนึกเอาไว้ นำไปนึ่งเป็นเวลาพอสมควร แล้วยกขึ้นมาเก็บไว้ในที่แห้งสิบวัน จากนั้นนำมากรองเก็บไว้สำหรับใช้งานภายนอก”
จูปาเม่ยแทบไม่อยากเชื่อ “ท่านแม่ จริงหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงมีสูตรทำน้ำมันดอกกุ้ยอยู่ในตำราหลายเล่มขนาดนั้น? ถ้าเป็นเหมือนที่ท่านบอก คนที่อ่านออกก็ต้องทำของพวกนี้เป็นกันหมดสินะเจ้าคะ? แล้วพวกเขายังจำเป็นต้องซื้ออยู่หรือ? เสียเปรียบจริง ๆ มิน่าเล่าท่านแม่จึงบังคับให้พวกข้าท่องตำราเรียนรู้อักษร ถ้าพวกข้าอ่านไม่ออกไปทั้งชีวิตก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักของดีพวกนี้แล้วน่ะสิ?”
“ไม่อย่างนั้นข้าจะบังคับพวกเจ้าท่องตำราเรียนรู้อักษรไปทำไมกัน? คิดว่าข้าทำเช่นนั้นเพื่อจะเอามาพูดให้ดูดีเท่านั้นหรือ? ถ้าเจ้าอ่านไม่ออก ต่อให้ข้ายัดตำราใส่มือเจ้า เจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” เย่อวี๋หรานกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม
แน่นอน นางไม่มีทางบอกจูปาเม่ยหรอกว่าตำราที่นางกล่าวถึงทั้งสองเล่มนั้นไม่มีอยู่ในยุคสมัยนี้ เพราะมันเป็นตำราที่นางเคยอ่านเมื่อชาติที่แล้ว
นางเพียงต้องการหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปในจิตใจของจูปาเม่ย ทำให้จูปาเม่ยเข้าใจถ่องแท้ว่าการรู้หนังสือมีประโยชน์อย่างไร ลูกสาวคนนี้จึงจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่ใช่ต้องให้นางมาเคี่ยวเข็ญอยู่เรื่อยไป
ใครว่าการเรียนมีประโยชน์แค่สำหรับบุรุษที่จะเข้าร่วมการสอบเคอจวี่กันเล่า?
ลองดูเอาเถอะ ถ้าสตรีอ่านออกแล้วยังจะหาสูตรเหล่านี้จากในตำราไม่ได้อีกหรือ?
ใช่แล้ว จะต้องหาเจอแน่นอน แต่ก่อนอื่นต้องมีตำราเล่มนั้นเสียก่อน
จูปาเม่ยกำหมัดแน่น กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านวางใจ ต่อไปข้าจะตั้งใจเรียนแน่นอน ข้าจะทุ่มสุดตัวเพื่อสูตรลับในตำราพวกนี้”
จูปาเม่ยเรียนไปเพื่ออะไร เย่อวี๋หรานไม่สนใจ ขอเพียงนางยอมเรียนก็พอแล้ว
ส่วนว่าในอนาคตจูปาเม่ยจะมาตัดพ้อนางว่าเหตุใดจึงไม่พบตำรา ‘เซียงผู่’ หรือ ‘จิ่งเยวี่ยฉวนชูกู่ฟางปาเจิ้น’ ที่นางเคยพูดถึงหรือไม่ นางไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย อย่างมากนางก็ตอบกลับไปว่า “อ้อ ตำราที่ข้าพูดถึงสองเล่มนั้นน่ะหรือ ข้าจำไม่ได้แล้วเหมือนกัน ข้าเคยเห็นจากในบ้านสกุลใหญ่สมัยที่ข้าไปเป็นสาวใช้เมื่อตอนสาว ๆ น่ะ”
ประโยคเดียวก็จบแล้ว
“ที่จริงแล้วน้ำมันดอกกุ้ยทำไม่ยาก แต่จุกจิกอยู่บ้าง จำเป็นต้องไปเก็บดอกกุ้ยตั้งแต่ตอนที่ฟ้ายังไม่สว่าง เนื่องจากในช่วงเวลานี้ดอกกุ้ยจะยังไม่บานเต็มที่ และส่งกลิ่นหอมหวนพอดี ดอกกุ้ยที่เก็บมาเวลานี้หอมที่สุดแล้ว”
“หลังจากเก็บมาแล้วก็คัดเอาแต่ดอกที่สะอาด เด็ดฐานดอกทิ้ง เก็บไว้เพียงตัวดอกไม้ นำไปผสมกับน้ำมันหอม ปกติแล้วดอกกุ้ยหนึ่งโต่วใช้น้ำมันหนึ่งจิน”
“หลังผสมเสร็จแล้วก็บรรจุใส่ภาชนะเคลือบ กดให้แน่น แล้วใช้กระดาษชุบน้ำมันปิดผนึกเอาไว้”
“หลังปิดผนึกแล้วก็นำภาชนะนั้นไปนึ่งโดยใช้ไฟแรง ใช้เวลาเท่ากับตอนกินข้าวหนึ่งมื้อ”
“นึ่งเสร็จแล้ว นำไปเก็บไว้ในบริเวณที่แห้งสนิทสิบวัน เพื่อให้ดอกกุ้ยซึมซับน้ำมันได้อย่างเต็มที่”
“เมื่อสิบวันผ่านไปก็เสร็จเรียบร้อย เทดอกกุ้ยและน้ำมันจากในภาชนะเคลือบออกมา แล้วใช้มือรีดน้ำมันออกมาจากดอกกุ้ย ถึงตอนนี้น้ำมันที่รีดออกมาจากดอกกุ้ยก็คือน้ำมันดอกกุ้ยที่หอมกรุ่นนั่นเอง”
……
จูปาเม่ยลืมตาโต “ที่แท้น้ำมันดอกกุ้ยก็ทำแบบนี้เองหรือเจ้าคะ มิน่าเล่าจึงได้หอมเพียงนั้น ที่แท้ก็เป็นกลิ่นหอมของดอกกุ้ยจริง ๆ”
“ใช่สิ ก็เพราะว่าดอกกุ้ยค่อนข้างหอมถึงได้ใช้ดอกกุ้ย ถ้าเจ้าอยากได้กลิ่นหอมแบบอื่นก็ใช้ดอกไม้ชนิดอื่นได้ ส่วนว่าดอกไม้แบบไหนเหมาะ แบบไหนไม่เหมาะ จำเป็นต้องทดลองทำก่อนจึงจะรู้ได้”
จูปาเม่ยตกตะลึง “น้ำมันงาก็ไม่ใช่ถูก ๆ ท่านแม่ เรื่องนี้พวกเราค่อยว่ากันทีหลังดีกว่าเจ้าค่ะ”
เย่อวี๋หรานยิ้มน้อย ๆ “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าก็รู้จักประหยัดเงินด้วย ทำงานฝีมือมานานขนาดนี้ สามารถตระหนักถึงจุดนี้ได้ก็ไม่เลว”
จูปาเม่ยขัดเขินเล็กน้อย “ทำสร้อยข้อมือเพื่อเอามาขายนี่เจ้าคะ ใช้ต้นทุนไปเท่าไหร่ ต้องขายราคาไหนจึงจะทำกำไรได้ พี่สะใภ้สี่มักคำนวณไปพร้อมกันกับข้าบ่อย ๆ ต่อให้ข้าโง่แค่ไหนก็ยังเข้าใจจุดนี้อยู่นะเจ้าคะ”
ตอนแรกจูปาเม่ยก็ไม่ค่อยเข้าใจจริง ๆ นั่นแหละ คิดว่าแค่ขายออกไปได้ก็พอแล้วนี่นา แต่หลี่ซื่อค่อนข้าง ‘หัวใส’ จะต้องคำนวณต้นทุนออกมาให้ได้ จากนั้นจึงคำนวณราคาที่จะขายเพื่อหาส่วนต่าง ดูว่าจะสามารถทำเงินได้หรือไม่
ตอนนั้นหลี่ซื่อยังคำนวณไม่เก่ง แต่ว่าต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าคิดเลขเก่ง จึงเรียกเด็กสองคนนั้นมาช่วย บอกว่าจะให้ของกินเป็นการแลกเปลี่ยน ก็มั่นใจได้เลยว่าต้องคำนวณออกมาได้อย่างชัดเจนไม่ตกสักอีแปะเดียว
[1] เซียงผู่《香谱》เป็นตำราว่าด้วยเครื่องหอมที่ค่อนข้างสมบูรณ์ในสมัยราชวงศ์ซ่ง
[2] จิ่งเยวี่ยฉวนชูกู่ฟางปาเจิ้น《景岳全书古方八阵》คือตำราแพทย์แผนจีนที่เขียนขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง โดย จางจิ่งเยวี่ย (หรือ จางเจี้ยปิน)
[3] 1 เซิง 升 เท่ากับประมาณ 1.5 กิโลกรัม
MANGA DISCUSSION