บทที่ 12 ไม่พอใจก็เก็บเอาไว้
หลินซื่อคิดไม่ถึงเลยว่า ‘เพิ่มคาบพิเศษ’ จะหมายความว่าอย่างนี้เอง นางตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก สีหน้าขาวเผือดไร้สีเลือด
เย่อวี๋หรานกระแอมเบา ๆ สองที
หลี่ซื่อตอบสนองรวดเร็ว เก็บมือฉับไว ถอยกลับมาอยู่ข้างหลังนางด้วยท่าทางฉอเลาะ “ท่านแม่ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”
“พูดเก่งจริงนะเจ้าน่ะ?” เย่อวี๋หรานเหล่มองนาง
“แหะ ๆ! นี่ไม่ใช่เพราะมีคนใส่ร้ายข้าหรอกหรือ?”
เย่อวี๋หรานไม่ต่อความยาวกับหลี่ซื่อ หันไปพูดกับหลินซื่อตรง ๆ ว่า “เมียเจ้าห้า ยังมีอะไรไม่พอใจอีกหรือไม่?”
หลินซื่อหดคอ ไม่กล้าพูดสักแอะ
“ข้าพูดกับเจ้าอยู่ เสียงหายไปไหนเสียล่ะ? เมื่อครู่พูดจาฉะฉานนักไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เป็นใบ้เสียแล้ว?”
“ไม่มี ไม่มีเจ้าค่ะ”
“เฮอะ!” เย่อวี๋หรานเค้นเสียงเย็นชา “พี่สะใภ้สี่ของเจ้าพูดเกินไปบ้าง แต่มีประโยคหนึ่งที่นางพูดได้ถูกต้อง พฤติกรรมแย่ ๆ อย่างการแอบฟังไม่ควรเก็บไว้ ไม่อย่างนั้นครอบครัวของพวกเราจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน? เจ้าแอบฟัง เขาแอบฟัง คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าเรือนของเรามีโจรร้าย มีอะไรก็พูดกันต่อหน้า ไปซุบซิบนินทาลับหลังมันใช้ได้หรือ?”
หลินซื่อตัวสั่นระริก
“ข้ารู้ พวกเจ้าคงคิดว่าตัวข้าเมื่อก่อนพูดจาไม่มีเหตุผล อะไรก็เอาตามข้าว่า ในใจคงไม่ยินดี เช่นนั้นก็ได้ ต่อไปข้าจะยกเหตุผลมาพูดกับพวกเจ้า แต่เฉพาะในกรณีที่เจ้ากล้ายืนหยัดเพื่อตัวเองเท่านั้น” สายตาของเย่อวี๋หรานกวาดมองสะใภ้ตรงหน้าราวกับมีดคมกริบ
นางใช้โอกาสนี้สร้างบารมีของตนเองขึ้นมา ไม่ให้คิดว่าตัวนางในตอนนี้พูดง่ายกว่าเจ้าของร่างเดิมแล้วจะเหยียบขึ้นมาบนศีรษะของนางได้
“คนอื่น ๆ ฟังให้ดี ต่อไปถ้าพวกเจ้าไม่พอใจ รู้สึกว่าข้าไม่ยุติธรรม ไม่ต้องไปพูดนั่นพูดนี่อยู่ข้างหลัง หากมีความกล้าก็ลุกขึ้นมาพูด แต่หากไม่กล้าก็สงบปากสงบคำก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ผู้ใดกล้าทำท่ายึก ๆ ยัก ๆ ไม่พอใจ ข้าก็จะอัญเชิญกลับบ้านเดิมไปเสีย สกุลจูของข้าไม่ขาดแคลนลูกสะใภ้!”
ชั่วขณะนั้น ไม่มีใครกล้าส่งเสียง
เอะอะก็จะส่งกลับบ้านเดิม ใครจะกล้าต่อต้านแม่สามี?
“เรื่องเรียนหนังสือยังไม่ต้องรีบร้อน อีกไม่นานก็จะถึงช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ถึงตอนนั้นจะยุ่งมาก ข้าก็จะไม่เพิ่มภาระให้พวกเจ้า ช่วงนี้พวกเจ้าก็พักผ่อนกันให้ดี รอจนสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยวค่อยยกเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมาพูดกันใหม่” หลังใช้ไม้เรียวแล้ว เย่อวี๋หรานก็ไม่ลืมให้พุทราหวาน “พวกเจ้าสบายใจได้ เรื่องให้รางวัลที่ข้าพูดกับหลี่ซื่อ พวกเจ้าทุกคนล้วนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน มีไข่ไก่ให้วันละฟอง ส่วนใครจะได้กินไข่ก็ต้องดูที่ความสามารถของแต่ละคนแล้ว”
หลี่ซื่อกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านแม่ ท่านวางใจได้ ข้าจะต้องได้ไข่มาครองแน่เจ้าค่ะ”
หลิ่วซื่อ หลิวซื่อ และหลินซื่อล้วนไม่พูดอะไร พวกนางก้มศีรษะลงต่ำ ส่วนว่าในใจคิดอะไรอยู่นั้นก็คงไม่มีใครรู้ได้
เย่อวี๋หรานไม่ได้สนใจ ก่อนจะเรียกชื่อหนึ่งขึ้นมา “หลินซื่อ”
หลินซื่อยืดตัวขึ้นทันใด
“ในเมื่อเจ้ามีความเห็นยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ข้าก็จะให้ตัวเลือกเจ้าสองข้อ ข้อแรก อะไรก็ไม่ต้องทำ กลับไปอยู่ห้องของเจ้า อาหารเย็นเจ้าก็ไม่ต้องกินแล้ว อดหนึ่งวัน ส่วนว่าเจ้ายังเป็นสะใภ้สกุลจูอยู่หรือไม่นั้น คอยดูความประพฤติหลังจากนี้ของเจ้า ข้อสอง พี่สะใภ้รองกับพี่สะใภ้สี่ของเจ้าไม่ต้องทำงานแล้ว ให้อาหารหมู ล้างจาน เก็บโต๊ะ ทำความสะอาดห้องน้ำ ซักเสื้อผ้า เจ้าทำทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังยินดีเชื่อฟังข้าอยู่ ข้าก็จะยอมรับว่าเจ้าเป็นลูกสะใภ้สกุลจู เจ้าเลือกเองเถอะ” เย่อวี๋หรานจ้องนางไปด้วยขณะพูด
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” คราวนี้หลินซื่อไม่กล้าแสดงความเห็นแม้แต่น้อย
ต่อให้นางบุ่มบ่ามกว่านี้ แต่นั่นก็เป็นในกรณีที่มีเหตุผล เมื่อไม่มีเหตุผลแล้วนางจะกล้าหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องไล่กลับบ้านเดิมพรรค์นี้ ถ้าต้องกลับไปจริง ๆ พี่สาวน้องสาวของนางจะไปพบหน้าผู้คนได้อย่างไร?
“หมายความว่าอย่างไร? ข้าถามเจ้าแน่ะ เลือกข้อแรกหรือข้อสอง” เย่อวี๋หรานถาม
ส่วนหลี่ซื่อก็ย่ามอกย่ามใจ “ใช่แล้ว ท่านแม่ให้เจ้าเลือก เจ้าพูดแค่ เจ้าค่ะ แบบนี้ผู้ใดจะไปรู้ว่าเจ้าเลือกข้อไหน? คนไม่รู้คงคิดว่าเจ้าไม่อยากเป็นลูกสะใภ้สกุลจูแล้ว”
หลินซื่อตวัดสายตามองหลี่ซื่ออย่างโกรธแค้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแม่สามี นางก็ไม่กล้าทำอะไร ได้แต่กล่าวอย่างอัดอั้นว่า “ท่านแม่ ข้าเลือกข้อสองเจ้าค่ะ”
“นี่ก็เรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือ? แสดงว่าเจ้ายังอยากเป็นสะใภ้สกุลจูอยู่” เย่อวี๋หรานใช้สายตาปรามหลี่ซื่อที่ยังคิดจะหาเรื่อง และหันไปกล่าวกับหลินซื่อว่า “ในเมื่ออยากเป็นสะใภ้สกุลจูก็ตั้งใจทำให้ดี ไปเถอะ ควรทำอะไรก็ไปทำ”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” หลินซื่อรับคำ
ส่วนหลิ่วซื่อกับหลิวซื่อก็ขานรับอย่างเชื่อฟัง “เจ้าค่ะ ท่านแม่”
แม้ว่างานของพวกนางจะถูกหลินซื่อเหมาไปหมดแล้ว แต่ว่าอยู่ต่อหน้าแม่สามีช่างกดดันเกินไป พวกนางยินดีกลับไปอยู่ในห้องของตัวเองมากกว่า
หลี่ซื่อเห็นว่าไม่มีคนแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาทันที “ท่านแม่ เรื่องคาบพิเศษยังจะทำอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”
สำหรับคนที่มองสีหน้าคนไม่เป็น สนใจแต่จะทำหน้าหนา เย่อวี๋หรานเองก็ยอมใจแล้ว “ทำไมจะไม่ทำ? เจ้าเต็มใจเรียน ข้าไม่สอนได้หรือ? กลับไปจัดการตัวเองสักหน่อย ประเดี๋ยวเจ้าออกไปข้างนอกกับข้า”
“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ท่านดียิ่งนัก! ข้ากลับห้องไม่นานก็เสร็จแล้ว”
“ข้าจะขึ้นเขา เจ้าเลือกชุดที่คล่องตัวหน่อยล่ะ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่” หลี่ซื่อกลับห้องของตัวเองไปอย่างดีอกดีใจ
เย่อวี๋หรานเห็นแล้วก็ส่ายศีรษะ
หลี่ซื่อผู้นี้หนอ ดูแล้วฉลาดทีเดียว!
แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางครั้งคนที่ดูฉลาดแบบนี้ก็รับมือง่ายกว่า อย่างไรเสียคงไม่มีใครชอบพวกที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมลับหลังเหล่านั้น เจ้าคิดอย่างไรก็พูดออกมาต่อหน้า เจ้าและข้าต่างได้ประโยชน์ แบบนี้ก็ตัดปัญหาไปได้มากไม่ใช่หรือ?
ระหว่างที่หลินซื่อทำงาน นางเห็นแม่สามียังยืนอยู่ในเรือนก็เคร่งเครียดขึ้นมา
เย่อวี๋หรานไม่สนใจนาง กลับไปที่ห้อง
นางเห็นจูปาเม่ยยังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างที่คิดไว้ ดูไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด
เย่อวี๋หรานเลิกคิ้ว นางคงไม่ได้รอให้ตนเองไปงอนง้อถึงจะลุกขึ้นจากเตียงกระมัง?
เมื่อค้นเสื้อผ้าเก่า ๆ ของเจ้าของร่างเดิมออกมา ทั้งยังเปลี่ยนไปใส่รองเท้าโทรม ๆ คู่หนึ่ง เย่อวี๋หรานก็เดินออกจากห้อง ก่อนจะจัดการใส่กลอนประตูห้องไว้จากด้านนอก
หลินซื่อกำลังเก็บกวาดเรือน เมื่อเห็นนางเดินออกมาก็เคร่งเครียดขึ้นมาอีกรอบ
เย่อวี๋หรานมองนางแวบหนึ่งแล้วสั่งว่า “อีกหน่อยจูปาเม่ยตื่นขึ้นมาก็ให้บอกว่าข้าทำเอง ถ้าข้าไม่อนุญาต ไม่ว่าใครก็ห้ามสนใจนาง”
ถึงแม้หลินซื่อจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังผงกศีรษะอย่างเชื่อฟัง “เจ้าค่ะ ท่านแม่”
วันนี้เพิ่งจะถูกจัดการมาหยก ๆ นางไม่อยากจะโดนจัดการอีกรอบหรอกนะ
“ส่วนข้าวเที่ยงรอข้ากลับมาก่อนค่อยทำ”
“เจ้าค่ะ”
ตอนที่เย่อวี๋หรานหาตะกร้าสะพายหลังมาได้ใบหนึ่ง หลี่ซื่อก็เปลี่ยนไปใส่ชุดเก่ากับรองเท้าเก่าเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากห้อง ยังไม่ลืมที่จะหาถุงผ้าใบหนึ่งมาด้วย อีกทั้งยังเข้าไปเอาตะกร้าในห้องครัวออกมาด้วยตนเอง
“ท่านแม่ ไหน ๆ พวกเราก็จะขึ้นเขากันแล้วก็เก็บผักป่ามาด้วยเลย ถ้าโชคดีเก็บผลไม้ป่าได้ก็ยิ่งดี ข้าเห็นว่าต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าดูเหมือนจะชอบกินน้ำเชื่อมผลไม้ข้นที่ท่านแม่ทำตอนนั้นมากทีเดียว”
เย่อวี๋หรานมองใบหน้าที่มีรอยยิ้มประจบประแจงของนาง และกล่าวว่า “เจ้าก็ชอบเหมือนกันสินะ?”
อย่าคิดนะว่านางไม่เห็น เมื่อวานตอนที่กินแป้งกรอบกันอยู่ ใครบางคนยังแอบแย่งลูกชายผู้อื่นกินอยู่เลย
หลี่ซื่อหัวเราะแห้ง “รสเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ อร่อยจริง ๆ นั่นแหละเจ้าค่ะ ข้าว่าคงเป็นหลานสาวของท่านแม่มากกว่าที่ชอบกิน นางถึงได้ยืมปากของข้า คิดแต่จะกินอยู่ตลอด”
เย่อวี๋หรานจะพูดอะไรได้? “ได้ ถ้าพวกเราโชคดีเก็บผลไม้ป่าได้ก็ค่อยทำ”
“ท่านแม่ ท่านดีจริง ๆ เจ้าค่ะ!”
“ข้าเคยไม่ดีด้วยหรือ?”
“ไม่เคย ไม่ว่าอะไรท่านแม่ก็ยอดเยี่ยมที่สุด ข้ารู้หรอกว่าท่านแม่เอ็นดูข้าที่สุดแล้ว”
ปากของหลี่ซื่อราวกับเคลือบน้ำหวานเอาไว้ พูดแต่ถ้อยคำน่าฟังตลอดทาง แถมยังไม่ซ้ำกันอีกต่างหาก
แม้เย่อวี๋หรานจะไม่ได้ถูกนางกล่อมจนเคลิบเคลิ้มได้ง่ายดายนัก แต่ก็ยังอดคิดในใจไม่ได้ว่า สาเหตุที่เจ้าของร่างเดิมชมชอบหลี่ซื่อก็ดูไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว!
MANGA DISCUSSION