บทที่ 117 ไม่มีโม่หิน จะทำอย่างไรดี?
ในช่วงแรกนางจะสอนด้วยตัวเอง ตั้งกฎระเบียบขึ้นมาเสียก่อน
รอจนเวลาผ่านไปสักพักก็จะให้พวกเขาร่ำเรียนกับจูชี เพราะความจำของเขาดีมาก ไม่ว่าการฟังหรือการเขียน โดยทั่วไปแล้วรอบเดียวก็จำได้ ดังนั้นพวกเขาเรียนกับจูชีก็เพียงพอแล้ว
นอกจากจูซาน จูปาเม่ย ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าที่รู้เรื่องแล้ว หลายคนก็เบิกตาค้าง “เจ้าเจ็ด?”
“ไม่หรอกมั้ง ท่านแม่ ท่านล้อเล่นหรือเปล่า เจ้าเจ็ดเป็นคนทึ่มนะ”
“สวรรค์?!”
……
จูชีซึ่งนั่งประจำที่และถูกพาดพิงถึงเพียงยิ้มซื่อ ๆ ให้ทุกคน
เย่อวี๋หรานถลึงตามองพวกเขา “คนทึ่มยังสอนความรู้ให้พวกเจ้าได้ หมายความว่าพวกเจ้าสู้ไม่ได้แม้แต่คนทึ่มอย่างนั้นสิ?”
จูเหล่าโถวพูด “ข้าแก่ปูนนี้แล้วก็ช่างเถอะ เจ้าไปวุ่นวายกับพวกเด็ก ๆ ก็แล้วกัน”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าอยู่แล้ว ไข่ไก่นั่นเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์กิน” เย่อวี๋หรานกล่าว “ในเมื่อเอามาใช้เป็นรางวัลก็ต้องเก็บไว้ให้คนที่เรียนได้ดีที่สุดกินอยู่แล้ว”
“ช้าก่อน” จูซื่อสมแล้วที่เป็นสามีของหลี่ซื่อ ขอเพียงเป็นเรื่อง ‘ของกิน’ สมองก็จะทำงานรวดเร็วกันทั้งสามีภรรยา เขาพูดขึ้นทันทีว่า “ท่านแม่ ไม่ยุติธรรมนี่นา ท่านบอกว่าน้องเจ็ดผ่านหูไม่ลืมเลือน ต่อไปยังจะให้เขามาสอนพวกเราอีก แบบนั้นเขาจะต้องเรียนได้ดีกว่าพวกเราแน่นอน ถ้ารวมเขาด้วย ไข่ไก่ก็เป็นของเขาตลอดไปเลยน่ะสิขอรับ?”
คนไม่น้อยคิดตามแล้วมองไปทางจูชีอย่างแคลงใจ
จูชียังยิ้มโง่งมให้ทุกคนต่อไป ท่าทางเซ่อซ่าเช่นนั้นมองไม่เห็นความเฉลียวฉลาดของบัณฑิตเลยสักนิด ช่างบาดตาจริง ๆ
เย่อวี๋หราน “เฮอะเฮอะ” สองครั้งแล้วก็เมินไม่สนใจ “พวกเจ้ารังเกียจว่าเจ้าเจ็ดเป็นคนสมองทึ่มนักไม่ใช่รึ? พอดีเลย ให้คนทึ่มตบพวกเจ้าให้หน้าหงาย พวกเจ้าจะได้รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเป็นอย่างไร”
คนทั้งกลุ่มหน้าม่อยคอตก ชั่วขณะนั้นพลันสูญเสียความกระตือรือร้นในการเรียนไปจนหมด
“เอาล่ะ ดูพวกเจ้าแต่ละคนซิ ก็แค่ไข่ฟองเดียวไม่ใช่หรือไร? ต้องเป็นถึงขนาดนี้รึ? ถ้ามีความสามารถจริง ทำไมไม่ขอให้ข้าเพิ่มไข่ไก่สักฟองแทนเสียล่ะ?”
มีความหวังแล้ว? ทุกคนดวงตาเปล่งประกายวาบ มองมาทางนี้ตาไม่กะพริบ
เย่อวี๋หรานรู้สึกเหมือนพวกเขาถูกหลี่ซื่อสิงร่างอย่างไรอย่างนั้น และกล่าวอย่างจนใจว่า “อย่าเอาแต่บ่นว่าเจ้าเจ็ดเอาเปรียบพวกเจ้า ตัดเขาออกไป พวกเจ้าก็ช่วงชิงไข่ไก่ฟองเดียว คงได้แล้วกระมัง?”
ทุกคนเกือบจะพยักหน้าแล้ว แต่หลี่ซื่อกลับโพล่งขึ้นมาว่า “ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ ต้าเป่า เอ้อร์เป่ารวมถึงพวกเสี่ยวเม่ยเรียนกับท่านมาตลอด พวกเราจะสู้พวกเขาได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“ฮ่า! เจ้าหมายความว่าต้องตัดพวกเขาออกไปด้วย? วันเดียวเรียนแค่ห้าตัวอักษร ล้วนเป็นคำใหม่ทั้งหมด ก่อนหน้านี้พวกเขาก็แค่ท่องตำรา ยังไม่ได้เรียนรู้ตัวอักษรเสียหน่อย เท่ากับว่าได้เรียนไปพร้อมกับพวกเจ้า พวกเจ้ายังกล้ามาตั้งแง่กับเด็กน้อยที่ตัวยังไม่เท่าเอวพวกเจ้าอีกเนี่ยนะ?”
คนไม่เอาไหนทั้งกลุ่มมองไปทางต้าเป่ากับเอ้อร์เป่า
เด็กน้อยทั้งสองมีสีหน้าไร้เดียงสา
พวกผู้ใหญ่ทั้งหลายส่ายหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน “ท่านแม่ ไม่อาจพูดเช่นนี้ ความจำของเด็ก ๆ ดียิ่งนัก พวกข้าสู้พวกเขาไม่ได้แน่นอน”
เย่อวี๋หรานโมโหจนต้องตบโต๊ะ “พวกเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่? พวกเจ้าแย่งชิงไข่ฟองเดียวสู้คนทึ่มคนหนึ่งไม่ได้ ตอนนี้แม้แต่เด็กก็ยังกลัว พวกเจ้ากินข้าวกันมากขนาดนั้นไปเพื่ออะไร ทำไมไม่ซื้อเต้าหู้มาคนละก้อนแล้วฟาดหัวตัวเองให้ตายไปเสียเลย”
ทุกคนเงียบกริบ
หลี่ซื่อถามเสียงเบาหวิว “ท่านแม่ เต้าหู้คืออะไรหรือเจ้าคะ? อร่อยไหม?”
เย่อวี๋หราน “…”
นางโมโหจนร้องขึ้นมาว่า “เย็นนี้ค่อยทำ” คิดไม่ถึงว่าประโยคนี้กลับทำให้หลี่ซื่อยินดียิ่งนัก รีบถามว่าอร่อยหรือไม่
เย่อวี๋หรานเห็นแววตาคนอื่นก็พลอยเปล่งประกายไปด้วย นางอยากจะตีพวกเขาสักทีจริง ๆ เชียว
สมองของพวกเจ้านอกจากเรื่องกินแล้วไม่มีเรื่องอื่นเลยรึ?
นางทำเต้าหู้ก็ได้ แต่เรื่องแผนการเรียนหนังสือไม่อาจล่าช้า ทั้งยังไม่สนว่าพวกเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ นอกจากตัดจูชีออกไปแล้ว ทุกคนล้วนร่วม ‘ช่วงชิง’ ไข่ไก่ด้วยกันทั้งหมด
มีใครจะแย้งหรือไม่?
ได้ ถ้าเช่นนั้นเต้าหู้ก็ไม่ทำแล้ว
ทุกคนได้แต่ครุ่นคิด ท่านแม่ดูเหมือนจะโมโหจนเลอะเลือนแล้ว
หลี่สือเจิน [1] กล่าวไว้ว่าฮว๋ายหนานอ๋องนามว่า หลิวอัน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นเป็นผู้คิดค้นวิธีการทำเต้าหู้ โดยสามารถใช้ได้ทั้งถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วขาว ถั่วลิสง ถั่วลันเตาและถั่วเขียว วิธีทำเริ่มจากนำถั่วไปแช่น้ำ กรองเอากากออก นำน้ำที่ได้ไปต้ม แล้วผสมน้ำดีเกลือ หรือใบซานฝาน หรือซวนเจียง หรือน้ำส้มสายชูลงไปในหม้อ จากนั้นใส่ผงสือเกา [2] ลงในหม้อเพื่อขึ้นรูป ส่วนใหญ่นำไปปรุงอาหารที่มีรสเค็ม ขม เปรี้ยวหรือเผ็ดร้อน เมื่อผิวเต้าหู้จับตัวแข็งแล้วนำออกไปผึ่งให้แห้ง เรียกว่า แผ่นเต้าหู้ นำไปปรุงอาหารนั้นดีนักแล
เย่อวี๋หรานรู้จักตำราว่าด้วยสมุนไพรจีน ‘เปิ๋นเฉ่ากังมู่’ แต่ไม่ได้อ่านอย่างจริงจัง นางจึงไม่รู้ว่าไม่ได้มีเพียงถั่วเหลืองที่สามารถนำมาทำเต้าหู้ได้ แต่ยังสามารถใช้ถั่วชนิดอื่น เช่น ถั่วดำ ถั่วขาว ถั่วลิสง และถั่วเขียวมาทำเต้าหู้ได้ด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งเห็นถั่วเหลือง นางจึงคิดขึ้นมาได้ว่า อ้อ นางก็ทำเต้าหู้ได้นี่นา
โดยทั่วไปแล้วมีวิธีทำเต้าหู้อยู่สองวิธี คือ ใช้ดีเกลือหรือใช้ผงสือเกา (นางไม่รู้วิธีที่สาม) นางถนัดการใช้ผงสือเกามาทำเต้าหู้อ่อนมากที่สุด ดังนั้นนางจึงเลือกใช้วิธีนี้
“ทำเต้าหู้ต้องแช่ถั่วเอาไว้ก่อน ถั่วเหลืองที่ให้พวกเจ้าเอาไปผึ่งก่อนหน้านี้ ไปตักมาสักหน่อย ล้างให้สะอาดแล้วแช่ทิ้งไว้ในน้ำ รอสักพักค่อยว่ากันอีกที”
เมื่อได้ยินว่าต้องแช่ถั่ว หลินซื่อทำมาจนช่ำชองแล้วจึงรีบแย่งงานนี้มาทำทันที
หลังทำเสร็จแล้ว ยังให้เย่อวี๋หรานช่วยดูว่าเช่นนี้ได้หรือไม่
การแช่ถั่วจะไปยากอะไร เพียงล้างให้สะอาด เติมน้ำให้ท่วมถั่วก็พอแล้ว เย่อวี๋หรานแลดูแวบหนึ่งก็เอ่ยว่า “อืม ได้ แช่เอาไว้ พวกเราไปทำอย่างอื่นกันก่อนแล้วค่อยกลับมาทำอันนี้ต่อ”
การทำเต้าหู้ต้องใช้โม่หินบดถั่วเหลืองเพื่อคั้นเอาน้ำนมถั่วเหลือง เย่อวี๋หรานนึกจะทำเต้าหู้ก็ลงมือทำทันที ลืมไปว่าที่เรือนไม่มีโม่หิน?!
มารดามันเถอะ! ไม่มีโม่หินแล้วจะทำอย่างไร?
คงไม่อาจใช้ครกโขลกกระเทียมมาแทนกันได้กระมัง? นั่นก็บ้าเกินไปแล้ว
นึกถึงรูปร่างของโม่หินจากในความทรงจำ เย่อวี๋หรานคิดว่าที่เรือนจำเป็นต้องทำไว้ใช้สักอันจริง ๆ ต่อให้เป็นโม่อันเล็กก็ตาม อย่างไรก็ดีกว่าไม่มีใช้เลย
“ถ้าทำโม่หินออกมาไม่ได้ พวกเจ้าก็อย่าฝันว่าจะได้กินเต้าหู้”
เย่อวี๋หรานกล่าวอย่างจริงจัง ด้วยหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจความสำคัญของ ‘อุปกรณ์’ ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรอยู่ก็ตาม
หลักการของโม่หินนั้นง่ายมาก โดยทั่วไปทำจากก้อนหินรูปร่างกลม ๆ สองอัน
ก้อนหินกลม ๆ สองอันนั้นก็เหมือนกับขนมเปี๊ยะที่มีขนาดเท่ากันสองอัน เพียงแต่หินก้อนล่างจะมีฐานที่เป็นร่องรองไว้อยู่ก็เท่านั้น
แต่ด้านที่หินสองก้อนมาประกบกัน พื้นผิวจะต้องแนบกันได้สนิทและมีลวดลายเริ่มต้นจากรูตรงกลางกระจายไปทั่วพื้นผิว
เย่อวี๋หรานอธิบายลักษณะที่ตนเองต้องการ ในไม่ช้าจูซาน จูซื่อ และจูอู่สามพี่น้องก็หาก้อนหินที่สอดคล้องกับลักษณะดังกล่าวมาได้
“ท่านแม่ ท่านดูว่าใช่แบบนี้ไหมขอรับ?”
เย่อวี๋หรานมองดูแล้ว ถึงจะมีขนาดเล็กกว่าที่นางคิดเอาไว้เท่าตัว แต่ก็เพียงพอสำหรับใช้งานกันเองภายในเรือนแล้ว “ใช้อันนี้ก่อนก็แล้วกัน พอทำเสร็จแล้วพวกเจ้าก็จะจำได้ คราวหน้าค่อยทำอันที่ใหญ่กว่านี้”
จูซาน จูซื่อ และจูอู่ต่างก็อึ้ง “นี่ยังไม่ใหญ่พอหรือขอรับ?!”
พวกเขาต้องยืมเกวียนเทียมวัวของผู้อื่นเพื่อขนหินสองก้อนนี้กลับมาเลยนะ!
“หาวิธีมาเจาะรูตรงกลางนี้สักรู เวลาใช้งานจะได้เทของลงไปในนี้”
“ส่วนตรงนี้ พื้นผิวที่ประกบเข้าหากันสองด้านให้แกะลวดลาย โดยเริ่มจากข้างในออกไปข้างนอก ทำทีละแถวไล่ออกไป”
“ด้านนี้ต้องมีมือจับ เพราะเดี๋ยวต้องใช้ในการหมุน ถ้าไม่มีมือจับก็จะขยับไม่ได้”
……
เย่อวี๋หรานพูดพลางทำไม้ทำมือให้ดูเพื่อให้พวกเขาเข้าใจ
จูซาน จูซื่อ และจูอู่พยักหน้า จากนั้นก็ไปยืมเครื่องมือมาจากคนในหมู่บ้าน แล้วกลับเรือนมาลงมือทำตามรูปแบบที่เย่อวี๋หรานอธิบายเอาไว้
[1] หลี่สือเจิน 李时珍(ค.ศ.1518 – ค.ศ.1593)เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรจีนในสมัยราชวงศ์หมิง เขาเป็นผู้เขียนตำรา “เปิ๋นเฉ่ากังมู่”《本草纲目》ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรจีนจำนวนมหาศาลไว้อย่างเป็นระบบ เป็นตำราที่มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อการพัฒนาการแพทย์จีน
[2] ผงสือเกา 石膏 หรือ ผงเจี๊ยะกอ (เเป้งหิน) เป็นส่วนผสมสำคัญในการทำเต้าหู้อ่อน มีคุณสมบัติช่วยให้โปรตีนในน้ำนมถั่วเหลืองตกตะกอน
MANGA DISCUSSION