บทที่ 116 แผนการในอนาคตของท่านแม่
เย่อวี๋หรานถลึงตาใส่จูซาน “ใครบอกว่าน้องเล็กน้องของเจ้าเป็นคนสมองทึ่ม? เจ้าคิดว่าคนทึ่มที่ไหนเพียงได้ยินผ่านหูก็ไม่ลืมเลือน? เจ้าไม่เคยสังเกตเลยหรือ ปกติเวลาข้าสอนต้าเป่าเอ้อร์เป่ากับพวกเด็กสาวหลายคนนั้น แต่ไหนมาก็จะสอนเจ้าเจ็ดก่อนตลอด แล้วให้เขาไปสอนคนอื่นต่อ?”
จูซานย้อนนึกเล็กน้อย “เหมือนจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ”
เมื่อก่อนไม่เคยสังเกต แต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เวลาต้าเป่า เอ้อร์เป่า และเสี่ยวเม่ยจำอะไรไม่ได้ก็มักจะไปถามจูชี
“เขาแค่ตอบสนองช้า ไม่ทันต่อเรื่องราวทางโลก ไม่ได้ทึ่มจริง ๆ เสียหน่อย ขอเพียงสั่งสอนให้ดี เรื่องเรียนหนังสือเขาจะต้องไม่ด้อยไปกว่าพวกเจ้าแน่นอน” เย่อวี๋หรานพูด
“เจ้าคิดว่าการสอบถงซื่อสอบอะไรบ้าง? ก็คือสอบท่องจำ เป็นสิ่งที่เจ้าเจ็ดถนัดที่สุดพอดี ข้าไม่ได้หวังให้เขาประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไร แต่ในเมื่อมีสิ่งที่เขาถนัดทั้งที เหตุใดจึงไม่ให้เขาไปลองดูเล่า? เขาเป็นเสียแบบนี้ ถ้าไม่ให้เขาลองสู้ดูสักตั้ง แล้วครึ่งชีวิตที่เหลือของเขาจะทำอย่างไร? ข้าต้องแก่ลงสักวัน ส่วนพวกเจ้าพี่น้องถึงที่สุดแล้วก็ย่อมมีชีวิตครอบครัวของตัวเอง ถึงตอนนั้นเขาจะพึ่งพาใคร? แทนที่จะฝากความหวังไว้กับพวกเจ้า ไม่สู้ให้เขาลองไปสอบให้มีชื่อเป็นบัณฑิตที่ทางการรับรอง ต่อให้เป็นแค่ถงเซิงก็เพียงพอให้มีชีวิตที่มั่นคงอยู่ในชนบทได้แล้ว”
จูซานคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าในเรื่องการสอบรับราชการ มารดาของเขากลับมองว่าน้องชายคนเล็กมีโอกาสมากที่สุด
แต่เมื่อฟังมารดาวิเคราะห์เช่นนี้ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าเจ็ดที่มีความจำเป็นเลิศดูจะเหมาะสมมากจริง ๆ แต่เขาก็ต้องออกตัวสักหน่อย “ที่จริงแล้วพวกข้าพี่น้องก็มีความจำไม่เลวเหมือนกัน แต่อาจไม่ดีเท่าเจ้าเจ็ดเท่านั้นเอง”
ในใจมีรสชาติฝาดเปรี้ยว รู้สึกว่ามารดาเอาแต่คิดหาหนทางแทนน้องชายคนเล็ก แต่กลับไม่คิดเผื่อพวกเขาบ้าง
เย่อวี๋หรานถอนหายใจ “เฮ้อ…นั่นก็เพราะฐานะครอบครัวไม่อำนวย ถ้าครอบครัวมีความเป็นอยู่ดีกว่านี้ ข้ายังจะทำให้พวกเจ้าเสียเวลาไปทำไม? ตอนนี้ข้านับว่าคิดจนถ่องแท้แล้ว รอให้ความเป็นอยู่ของพวกเราดีขึ้นกว่านี้อะไรกัน ข้ารอมาทั้งชีวิตก็ไม่เห็นว่าฐานะครอบครัวเราจะดีขึ้นมาตรงไหน ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะมีโอกาสได้เห็นหรือเปล่า”
“ท่านแม่…” จูซานปวดใจ แต่ไม่ได้ปวดใจที่ท่านแม่อยากส่งน้องเจ็ดกับหลานชายทั้งสองไปเรียนในสำนักศึกษา สิ่งที่ทำให้เขาปวดใจก็คือ ที่แท้ท่านแม่ก็คิดถึงพวกเขาเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนั้นความเป็นอยู่ของพวกเขาไม่เอื้อก็เท่านั้นเอง
“ชีวิตนี้แม่ไม่หวังอะไรอีกแล้ว แม่เพียงคิดว่าอายุก็มาถึงวัยนี้แล้ว ถ้าได้ลองดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะทำได้สักแค่ไหน ข้ารู้ว่าคนละสิบหกตำลึงนั้นตึงมือพอสมควร ข้าก็ไม่ได้จะส่งสามคนนั้นไปเรียนด้วยกันในคราวเดียวเสียหน่อย แต่ข้าตั้งใจว่าจะให้เจ้าเจ็ดไปก่อน แล้วค่อยให้ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าตามไปทีหลัง ให้พวกเขาไปเรียนรู้จากจูชี”
“พวกเขาสามคนจะต้องดูแลตัวเองได้ไม่ดีแน่นอน ดังนั้นจึงอยากให้เจ้าไปด้วย เจ้าเป็นคนที่เฉลียวฉลาดที่สุดในครอบครัวนี้ เรื่องการคบค้าสมาคมกับคนอื่น มีเจ้าอยู่ก็คงจะไม่มีปัญหา เจ้าจะได้ใช้โอกาสนี้ไปหลบคำครหาข้างนอกสักระยะพอดี รอจนถึงปีหน้าหรือปีถัดไป น้องเล็กของเจ้าสอบได้เป็นถงเซิงแล้ว เจ้าก็ค่อยกลับมา…ถึงตอนนั้น ทุกคนรู้ว่าเจ้าไปทำอะไรแล้ว ในฐานะพี่ชายของถงเซิง ถ้าอยากจะหาภรรยาคนใหม่สักคนก็คงจะเลือกคนที่ดีหน่อยได้”
“ท่านแม่” จูซานคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ามารดาจะคิดแทนเขาไปไกลถึงเพียงนี้
“ถ้าเจ้าอยากสอบด้วยก็ได้เหมือนกัน อย่างไรเสียน้องชายของเจ้าก็ความจำดี เขาเรียนจากสำนักศึกษารอบหนึ่งกลับมาจะต้องจำได้แน่นอน เจ้าก็ให้เขาสอนอีกที ไม่ว่าเขาจะสอบได้หรือไม่ แต่เจ้าก็นับว่าได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของเขา ถ้าเจ้าอยากสอบ ถึงเวลาก็ลองไปสอบดูสักครั้ง”
ในยุคสมัยนี้การสอบเคอจวี่ไม่ง่ายเลย ต่อให้เป็นการสอบเล็ก ๆ อย่างการสอบถงซื่อก็มีถึงสามสนามด้วยกัน ได้แก่ เสี้ยนซื่อ ฝู่ซื่อ และเยวี่ยนซื่อ การสอบเสี้ยนซื่อมีนายอำเภอเป็นผู้คุมสอบ ถ้าต้องการจะเข้าร่วมการสอบถงซื่อจำเป็นต้องจับกลุ่มกับผู้เข้าสอบรอบเดียวกันห้าคน อีกทั้งจะต้องมีบัณฑิตในอำเภอเดียวกันเป็นผู้รับรองจึงจะสามารถเข้าร่วมการสอบได้
เจ้าคิดว่าคนเขาจะรับรองให้เปล่า ๆ หรือ?
ไม่ใช่เลย อย่างน้อยก็ต้องใช้เงินห้าตำลึง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ถ้าไม่มีสักแปดหรือสิบตำลึงก็ไม่ต้องฝันแล้ว
ดังนั้นแม้แต่เย่อวี๋หรานก็ไม่กล้ารับรองว่าจะมีเงินมากพอส่งทุกคนไปเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ได้แต่ให้ทยอยไปทีละคน ค่าเล่าเรียนสิบหกตำลึงบวกกับค่าใช้จ่ายในการสอบเคอจวี่อีกแปดตำลึงเป็นยี่สิบกว่าตำลึง นางคิดว่าตนเองยังพอหาเงินส่วนนี้มาได้
จูซานซาบซึ้งจนสะท้านสะเทือนใจ
“แต่นี่ก็เป็นเรื่องของต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าบอกเจ้าก่อน ให้เจ้าได้เตรียมใจเอาไว้ เจ้าอย่าเอาไปพูดส่งเดช รอให้ถึงปีหน้าก่อนค่อยพูด” เย่อวี๋หรานกล่าว
“ข้าทราบแล้วขอรับ ท่านแม่”
“อีกสักหน่อยข้าก็จะเริ่มสอนหนังสือให้ทุกคนแล้ว ท่องอย่างเดียวแต่ไม่รู้จักตัวอักษรนั้นยังไม่พอ เจ้าก็ตั้งใจหน่อย ถ้าเจ้าสามารถเรียนรู้ได้มากก็จะมีโอกาสเร็วขึ้นอีกนิด แม่ย่อมหวังให้พวกเจ้าได้มีโอกาสกันทุกคนอยู่แล้ว แต่เจ้าก็รู้ดี ครอบครัวเรามีคนมาก แหล่งรายได้กลับมีอยู่แค่นั้น สิ่งที่แม่สามารถทำได้มีจำกัด ถ้าแม่สามารถไขว่คว้ามาได้ก็ย่อมจะคว้าเอาไว้ แต่ถ้าคว้าไว้ไม่ได้ แม่เองก็จนปัญญา”
“ท่านแม่ ข้าเข้าใจขอรับ ข้าจะตั้งใจแน่นอน ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ถึงตอนนั้นข้าจะดูแลน้องเจ็ด ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าอย่างดี ให้พวกเขาตั้งใจเล่าเรียน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสอบเป็นซิ่วไฉให้ได้สักคน” จูซานคิดว่าในเมื่อเจ้าเจ็ดสามารถสอบเป็นถงเซิงได้ ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าจะต้องไม่ด้อยไปกว่าอาเจ็ดของพวกเขาแน่นอน
ตนเองโตแล้ว เริ่มเรียนช้า แต่พวกเขาเริ่มเรียนกันตั้งแต่ยังเล็ก ถ้าแม้แต่คนทึ่มอย่างอาเจ็ดยังสู้ไม่ได้ พวกเขาจะขายหน้าแค่ไหนกัน?
หลังจากการพูดจาครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าสภาพจิตใจของจูซานดีขึ้นมาก ดูจะไม่จมจ่อมอยู่กับเรื่อง ‘ปลดภรรยา’ อีกแล้ว แต่มีความหวังและเอาความคิดจิตใจไปทุ่มเทกับเรื่องทางอื่นแทน
จูซื่อกับจูอู่ไม่รู้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็รุดเข้ามาถามไถ่ ท่านแม่พูดอะไรกับเขากันแน่ จึงทำให้เขาเบิกบานเช่นนี้?
จูซานแสยะยิ้ม “ฮิ ๆ ถึงเวลาเดี๋ยวพวกเจ้าก็รู้เอง”
จูอู่ขนลุกซู่ “พี่สาม ท่านอย่าเลียนแบบพี่ใหญ่กับพี่รองสิ ท่าทางท่านแบบนี้ดูโง่ยิ่งนัก”
“ไปให้พ้น!” จูซานถลึงตาใส่เขา “เจ้าสิโง่ คนฉลาดไม่แสดงออก เจ้าไม่เข้าใจหรือ?”
ท่านแม่คิดว่าเขาแสดงความฉลาดออกมามากเกินไป ให้เขาเรียนรู้จากพี่ใหญ่พี่รองให้มากว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้คนลดความระแวดระวังลง เมื่อถึงคราวต้องไปอยู่ในตำบลจะได้ไม่ถูกคนเอาเปรียบได้ง่าย ๆ
จูซานใคร่ครวญดูแล้วก็พบว่าคำพูดของมารดามีเหตุผล
บางทีคนอื่นอาจไม่กล้ารังแกคนที่ฉลาดแล้วแสดงออก แต่คนที่ภายนอกดูโง่งม แต่แท้จริงแล้วฉลาด บางครั้งกลับสามารถ ‘เอาเปรียบ’ คนอื่นได้ง่ายกว่า
ถึงเขาไม่ได้คิดจะไปเอาเปรียบคนอื่น แต่เขาหวังว่าเวลาทำอะไรอยู่ข้างนอก คนอื่น ๆ จะอำนวยความสะดวกให้เขามากขึ้นสักนิด
“ไม่เข้าใจ” จูอู่ส่ายศีรษะ “ท่านแม่พูดอะไรกับท่านกันแน่ ท่านจึงได้ดีใจเช่นนี้?”
“ไม่บอกพวกเจ้า” จูซานยืนกรานไม่พูด
“พี่สาม อย่าทำแบบนี้เลยน่า พวกเราพี่น้องไม่ใช่คนอื่นคนไกล ทำไมท่านถึงไม่บอกพวกเรา? พูดมาเถอะ เรื่องดีก็ต้องแบ่งปันกันสิ”
“ข้าเพิ่งหย่าเมีย จะมีเรื่องดีอะไรได้? ไปกันเถอะ ๆ ไปจับปลา คราวที่แล้วท่านแม่ทำปลาอร่อยมาก เมียเจ้าสี่บอกว่าขายดีทีเดียว พวกเราจับมามากหน่อย ให้พวกผู้หญิงทำขายเยอะ ๆ”
“นี่ พี่สาม ท่านยังไม่ได้บอกเลยนะ”
……
สุดท้าย พวกเขาก็ไม่ได้รู้อะไรจากปากจูซาน แต่เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เย่อวี๋หรานก็ประกาศให้ทุกคนรู้ว่าแผนการสอนหนังสือได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
MANGA DISCUSSION