บทที่ 115 เจ้าเจ็ดเป็นแค่คนสมองทึ่ม
ในไม่ช้าบรรดาสตรีในครอบครัวสกุลจูก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ถึงเวลากินข้าวแล้ว แม่สามีที่บอกว่าจะไปรับคนก็โผล่หน้าออกมานานแล้ว แต่สะใภ้สามกลับไม่ปรากฏกายออกมาเสียที นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เย่อวี๋หรานนั่งที่ตำแหน่งประธานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ประกาศต่อทุกคนว่าเมื่อวานนางปลดภรรยาของจูซานไปแล้วด้วยความโมโห ทั้งยังกล่าวอย่างชัดเจนว่า “พวกเจ้าจะกลับบ้านเดิมก็ได้ แต่ต้องมาบอกกล่าวกับข้าสักคำ นาน ๆ ทีกลับไปสักสองสามวัน ข้าไม่ว่าอะไรแม้แต่น้อย แต่เหมือนจางเยียนที่กลับไปตั้งแต่เดือนหกก็ไม่เจอตัวอีก แบบนั้นก็เกินไปหน่อย นี่ยังใช่การกลับไปเยี่ยมบ้านมารดาอยู่หรือ นี่เจตนาจะปักหลักอยู่บ้านแม่ตัวเองชัด ๆ”
“สะใภ้แบบนี้ไม่มีเสียเลยดีกว่า”
หลิ่วซื่อ หลิวซื่อ และหลินซื่อล้วนไม่กล้าปริปาก
ในยุคสมัยนี้ไม่มีสตรีคนใดเต็มใจถูก ‘ปลด’ เพราะทันทีที่ถูกปลดก็หมายความว่าชั่วชีวิตนี้จบสิ้นแล้ว
มีเพียงหลี่ซื่อที่ล่วงรู้ความจริง นางก้มหน้าก้มตาปิดปากเงียบสนิท
ล้อเล่นหรือไร แม่สามีเตือนนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางไม่กล้าแพร่งพราย ‘ความจริง’ ออกมาหรอกนะ
ครั้นเงยหน้ามองไปทางจูซานที่สีหน้าเป็นปกติก็อดเห็นใจไม่ได้ น่าสงสารจริง ๆ ถูกคนสวมหมวกเขียวเสียได้!
จูซานความรู้สึกเฉียบไวยิ่งนักจึงมองตอบมาทันที
หลี่ซื่อกินปูนร้อนท้อง รีบเบนสายตาไปทางอื่น
จูซานได้แต่ครุ่นคิด เหตุใดเขารู้สึกเหมือนได้รับความเห็นใจจากน้องสะใภ้สี่เลยล่ะ?
ส่วนจูเหล่าโถวคิดไม่ถึงเลยว่าเพียงนอนหลับตื่นขึ้นมา ภรรยาที่ไปรับลูกสะใภ้ไม่ได้พาคนกลับมาด้วยก็แล้วไปเถอะ แต่นี่ยังเสียลูกสะใภ้ไปคนหนึ่ง?
เขามีสีหน้าตื่นตะลึง “ปลดไปทั้งอย่างนี้? ทางนั้นก็ตกลง? เมียข้า เจ้า…”
“ข้าจะทำไม? ข้าตัดสินใจเองไม่ได้รึ? เจ้าคิดดูเอาเถอะว่ามีลูกสะใภ้ที่ไหนกลับบ้านเดิมก็ไปอยู่เสียหลายเดือน? บ้านเดิมของนางบิดาพิการหรือมารดาเสียแล้วงั้นหรือ จึงต้องการคนไปปรนนิบัติ?” เย่อวี๋หรานมองตอบกลับไปอย่างเย็นชา
“แต่ว่าเจ้าสามจะทำอย่างไร?” จูเหล่าโถวมองไปทางจูซาน หวังว่าลูกชายคนนี้จะหัวดื้อสักหน่อย แสดงความไม่เห็นด้วยออกมา “เจ้าปลดเมียของเขาไปแล้ว เขาก็ไม่มีเมียแล้วน่ะสิ”
ใครจะคาดว่าจูซานกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน ก้มหน้ามองชามข้าวของตัวเอง
จูเหล่าโถวโมโหยิ่งนัก เจ้าเด็กนี่ เมียก็ไม่มีแล้ว เจ้ายังไม่รู้จักพูดอะไรหน่อยรึ? ช่วยแสดงท่าทีหน่อยได้ไหม?
จูซาน…
“ไม่มีแล้วก็หาใหม่ได้นี่นา? สกุลจูของข้าเคยขาดแคลนลูกสะใภ้ด้วยหรือ?” เย่อวี๋หรานพูด “ลูกสะใภ้ที่จิตใจไม่อยู่บ้านแม่สามีจะเอามาทำไม? ให้นางมาจุนเจือบ้านเดิมเรอะ? มีใจจุนเจือบ้านเดิมแบบนั้นยังไม่สู้หาสะใภ้ที่ดีกว่าสักคน”
จากนั้นก็ปลอบใจจูซานต่อหน้าทุกคน บอกว่าต่อไปความเป็นอยู่ของครอบครัวจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ และหาภรรยาใหม่ได้แน่นอน
“ทำใจให้สงบดีกว่า ข้าคิดไว้แล้วว่าหลังช่วงปีใหม่ ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะให้จูซานออกเดินทางไกลสักครั้ง รอจนเขากลับมา ทุกประการก็เรียบร้อยแล้ว”
“เจ้าจะให้เจ้าสามไปที่ไหน?” จูเหล่าโถวถาม “ไม่ได้บอกว่าจะให้เขาอยู่ช่วยข้าทำนาหรอกหรือ?”
แม้จะไม่อยากเตือนความจำภรรยาเรื่อง ‘เดิมพัน’ แค่ไหน แต่ถ้าเจ้าสามไปแล้ว ทางเขาก็ขาดคนไปหนึ่งคนน่ะสิ?
เย่อวี๋หรานกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “ก็แค่ที่ดินไม่กี่หมู่ ขาดไปคนเดียวจะตายหรือไร? เจ้าคิดว่าลูก ๆ ของเจ้ากินน้ำแกงถ้วยเดียวแล้วอิ่มท้องเหมือนเมื่อตอนเป็นเด็กงั้นเรอะ? เจ้าไม่เห็นรึว่าเมียเจ้าสี่ตั้งครรภ์อยู่ เมียเจ้ารองกับเมียเจ้าห้าก็รอให้ตั้งครรภ์ เจ้าไม่รีบคิดหาทางอื่นเผื่อเอาไว้แต่เนิ่น ๆ รอจนหลานเจ้าวิ่งไปทั่วเรือนแล้ว ที่ดินไม่กี่หมู่นั้นยังจะพอเลี้ยงคนในครอบครัวไหม?”
“ข้าก็ใช่ว่าจะงอมืองอเท้าเสียหน่อย เจ้าลองเข้าไปถามในหมู่บ้านดูเอาเถอะว่าที่ดินข้าไม่กี่หมู่แค่นั้น แต่บ้านไหนเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากที่สุดในหมู่บ้าน? ก็ต้องเป็นนาที่ข้าปลูกเองกับมืออยู่แล้ว เจ้าคิดว่าทำนาจะเหมือนกับการทำอาหารอย่างนั้นเรอะ ขอแค่มีวัตถุดิบครบก็ทำได้แล้ว? นี่เป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ คนที่ทำนาเป็นกับคนที่ทำนาไม่เป็นจะปลูกออกมาได้ผลเหมือนกันหรือ?” จูเหล่าโถวโต้แย้ง
“จะเหมือนหรือต่างกัน รอให้ปลูกออกมาได้ก่อนก็รู้เอง เจ้าอย่าเอาแต่พร่ำเรื่องทำนา ตอนนี้ที่ข้าจะพูดก็คือวางแผนเผื่อไว้ให้ลูกชาย เจ้าลองเอานิ้วขึ้นมานับดู ด้วยที่ดินไม่กี่หมู่ของเจ้า ในอนาคตเจ้าจะแบ่งให้ลูกชายคนละหมู่งั้นหรือ? มันพอให้แบ่งหรือไม่? ข้าถามเจ้าหน่อย บ้านหนึ่งมีที่นาหนึ่งหมู่พอเลี้ยงคนในครอบครัวหรือเปล่า? เจ้าลองไปถามในหมู่บ้านดู มีครอบครัวไหนบ้างที่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวด้วยที่นาหนึ่งหมู่?”
“ข้า…ข้าก็กำลังคิดเรื่องบุกเบิกที่ดินอยู่ แต่ข้ายังไม่ได้ดูละเอียดว่าจะเลือกที่ดินผืนไหน”
“เช่นนั้นเจ้าก็คิดไป ข้าจะหาทางอื่นให้ลูกชายเอง ลองมันทั้งหมดนี่แหละ ถ้าสามารถหาทางอื่นได้ อย่างไรก็ดีกว่านั่งรออย่างเปล่าดายในเรือนกระมัง”
“ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย” จูเหล่าโถวเห็นว่าตนเองเถียงสู้ไม่ได้จึงจำต้องยอมแพ้
“ไม่ว่าอะไรก็กินข้าว เรื่องนี้ก็จัดการตามนี้ก็แล้วกัน” เย่อวี๋หรานหันไปทางจูซาน บอกเขาว่าหลังกินข้าวเสร็จแล้วให้มาหานางเพราะมีเรื่องจะคุยด้วย
จูซานขานรับ
เขาย่อมรู้ดีว่าท่านแม่ให้เขาไปหาทำไม จะต้องเป็นเพราะกลัวว่าเขาจะทุกข์ใจที่ถูกสวมหมวกเขียว จึงคิดจะปลอบโยนเขาเป็นแน่
เฮ้อ…ชอบมีคนมาย้ำเตือนเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เรื่อย ความรู้สึกนี้มันช่างแสลงใจเสียจริง!
จูซานอยากหนีไปให้พ้น ๆ แต่เมื่อเขาได้ยินเรื่องที่เย่อวี๋หรานพูดก็ต้องตะลึงไป “ที่ท่านแม่จะพูดกับข้าก็คือเรื่องนี้?”
“ไม่ใช่เรื่องนี้ยังจะเป็นเรื่องไหน?” เย่อวี๋หรานกลอกตาใส่เขาอย่างรำคาญ “ทั้งบ้านก็มีแต่เจ้าที่ใจกล้าหน่อย เจ้าคงไม่คิดจะพาน้องสี่กับน้องห้าของเจ้าขายปลาไปชั่วชีวิตหรอกนะ? ถ้าทำแบบนั้น พวกเจ้าก็เป็นพ่อค้าแล้ว เรื่องทำการค้า พวกเจ้าพี่น้องย่อมไม่อาจไปทำได้ ถ้าจะทำจริง ๆ ก็ควรให้พวกผู้หญิงเป็นคนออกหน้า ผู้หญิงค้าขายต่อให้ลือกันออกไปก็แค่บอกว่าหาเงินค่าแป้งชาด เจ้าเข้าใจไหม?”
“ท่านแม่คิดว่าต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าจะเรียนหนังสือได้จริง ๆ หรือขอรับ?” ส่วนน้องเจ็ดที่มารดากล่าวถึงถูกเขามองข้ามไปอย่างสิ้นเชิง
เขาคิดว่ามารดาคิดจะส่งสามคนนั้นไปร่ำเรียนในตำบลอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจะต้องเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบแน่นอน ท่านแม่ไม่รู้หรือว่าเข้าเรียนในสำนักศึกษาต้องใช้เงินเท่าไหร่? คนละสิบหกตำลึงเชียวนะ นั่นพอให้ซื้อที่นาราคาต่ำได้ตั้งแปดหมู่เลยทีเดียว ถ้าเป็นที่นาที่ดีหน่อยก็ซื้อได้สองสามหมู่ เพียงพอให้เลี้ยงได้ทั้งครอบครัว
ค่าเล่าเรียนสำหรับสามคนต้องใช้เงินเท่าไหร่?
แม้เขาจะคำนวณไม่เป็น แต่ก็พอรู้ว่าถ้านำเงินจำนวนนี้ไปซื้อที่ดินทำนา ครอบครัวพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะต้องหิวโหยอีกแล้ว
“จะร่ำเรียนได้ถึงไหนข้าไม่รู้ แต่เจ้าเจ็ดจะต้องสอบเป็นถงเซิง[1] ได้แน่นอน” เย่อวี๋หรานมั่นใจเต็มเปี่ยม
เคอจวี่สอบอะไรบ้าง?
สิ่งที่ต้องสอบประกอบด้วยสอบข้อเขียน สอบปากเปล่า เติมข้อความจากคัมภีร์ ตอบคำถามเชิงกลยุทธ์และสอบความรู้เกี่ยวกับบทกวี ถ้าเป็นซิ่วไฉ[2] จะต้องสอบวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อกำหนดกลยุทธ์ เย่อวี๋หรานไม่มีความมั่นใจ แต่ถ้าเป็นการสอบถงซื่อ[3] นางยังพอมีความเชื่อมั่นอยู่บ้าง
จากในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม นายน้อยที่เจ้าของร่างคนเก่าเคยรับใช้ก็เคยเข้าร่วมการสอบถงซื่อมาก่อน
การสอบถงซื่อยากตรงที่เนื้อหาที่สอบค่อนข้างกว้างขวาง เพื่อจะได้แน่ใจว่าสามารถทดสอบความรู้จากสี่ตำราห้าคัมภีร์[4] ได้อย่างครอบคลุม แต่ง่ายตรงที่เน้นการเขียนตอบคำถามและเติมข้อความจากคัมภีร์เป็นหลัก การสอบเน้นที่ ‘ท่องจำ’ ยังไม่มีการสอบวิเคราะห์สถานการณ์
“อะไรนะ?!” จูซานเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่านแม่ ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ถ้าท่านหมายถึงต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าก็ยังพอทำเนา แต่นี่ท่านพูดถึงน้องเล็ก…เจ้าเจ็ดเป็นแค่คนสมองทึ่มเองนะขอรับ”
[1] ถงเซิง 童生 เป็นคำเรียกบัณฑิตที่สอบผ่านสองสนามแรก (เสี้ยนซื่อและฝู่ซื่อ) ของการสอบถงซื่อ 童试
[2] ซิ่วไฉ 秀才 เป็นคำเรียกบัณฑิตที่สอบผ่านสนามสุดท้าย (เยวี่ยนซื่อ) ของการสอบถงซื่อ 童试
[3] ถงซื่อ 童试 หรือ ถงเซิงซื่อ 童生试 เป็นการสอบวัดความรู้พื้นฐานของบัณฑิตเพื่อให้มีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบรับราชการหรือการสอบเคอจวี่ 科举 โดยถงซื่อมี 3 สนาม ได้แก่ เสี้ยนซื่อ ฝู่ซื่อและเยวี่ยนซื่อ ตามลำดับ
[4] สี่ตำราห้าคัมภีร์ 四书五经 หมายถึง ตำราเรียนพื้นฐานสำหรับคนจีนในสมัยโบราณ โดย สี่ตำรา ได้แก่ ต้าเสวีย จงยง หลุนอวี่ และเมิ่งจื่อ ส่วนห้าคัมภีร์ ได้แก่ ซือจิง ช่างชู หลี่จี้ อี้จิง และชุนชิว
MANGA DISCUSSION