บทที่ 113 พี่สี่ ท่านถูกปลดแล้ว
ตอนนั้นเขาน่าจะสังหรณ์ใจแล้ว แต่เขาบังคับให้ตัวเองมองข้ามไป
ขณะที่เย่อวี๋หรานพาจูซานกลับไป อีกด้านหนึ่ง ท่านย่าจางร้องไห้จนตาแดงก่ำ ถามพ่อเฒ่าจางว่าทำเช่นนั้นได้อย่างไร? นั่นเป็นครอบครัวสามีของลูกสาวนางเชียวนะ เหตุใดไม่ถามไถ่สักคำก็ตัดสินใจแทนลูกสาว จัดการเรื่องหย่าร้างให้เสียแล้ว?
“ฮือ ๆๆ…เจ้าทำแบบนี้เท่ากับทำลายทั้งชีวิตของเยียนเอ๋อร์ ทั้งชีวิตเลยนะ…”
พ่อเฒ่าจางปิดปากเงียบพลางสูบปล้องยา
หลังจากที่ภรรยาของจางต้าจัดการสภาพตัวเองเรียบร้อยแล้ว นางทุบจอกลงบนโต๊ะเสียงดัง ตวาดด้วยท่าทางดุดัน “ร้อง ๆๆ รู้จักแต่ร้องไห้ ตอนที่ข้าถูกหญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นจับตัวเอาไว้ ท่านทำอะไรอยู่? นอกจากร้องไห้แล้ว ท่านทำอะไรเป็นอีก?”
“ฮือ ๆๆ…ตอนที่พวกเจ้าให้เยียนเอ๋อร์ไปกับผู้ชายคนนั้น ข้าก็ไม่เห็นด้วยแล้ว ข้าบอกแล้วว่าเยียนเอ๋อร์แต่งให้คนอื่นไปแล้ว ทำไม่ได้…”
“เฮอะ เฮอะ! เด็กก็จะคลอดออกมาแล้ว ท่านพูดอะไรก็สายเกิน หยุดร้องได้แล้ว รีบจัดโต๊ะกินข้าว ทุกคนยุ่งกันมาทั้งวัน ท่านจะปล่อยให้ทุกคนหิวตายกันหรืออย่างไร?”
“ฮือ ๆๆ…เรื่องหนังสือหย่า พวกเจ้าไม่คิดจะส่งคนไปบอกเยียนเอ๋อร์เลยหรือ? นี่เป็นเรื่องของนางนะ” ท่านย่าจางหวังว่าในครอบครัวนี้ยังมีคนที่มีมโนธรรมหลงเหลืออยู่บ้าง
แต่ที่น่าเสียดายก็คือพ่อเฒ่าจางทำเป็นไม่ได้ยิน ส่วนจางต้ากับจางเอ้อร์ยิ่งไม่สนใจน้องสาวที่มารดาคนนี้ให้กำเนิดออกมาแม้แต่น้อย
สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองย่อมยืนอยู่ฝั่งสามีของพวกนาง รีบจัดโต๊ะกินข้าวเย็นกันมือไม้คล่องแคล่ว แสดงออกชัดเจนว่าไม่มีใครสนใจจางเยียน
ท่านย่าจางดูจะสิ้นหวัง “ต้านิว[1] ถูกพวกเจ้าแต่งออกไปให้ผู้ชายแบบนั้น ก็เพราะเยียนเอ๋อร์ไม่ฟังคำของพวกเจ้า เลือกสามีแต่งออกไปด้วยตนเอง พวกเจ้าเลยทำกับนางแบบนี้?”
ไม่มีใครสังเกตเห็นจางอู่ที่กำหมัดแน่นด้วยความโกรธอยู่ข้างนอก
ตอนนี้เขายังเป็นหนุ่มน้อยอายุราวสิบกว่าขวบเท่านั้น หน้าละอ่อนไม่ประสีประสา เพราะว่าอายุยังน้อย เขาจึงยังทำงานที่ใช้แรงงานหนักมากไม่ได้ ได้แต่ช่วยเกี่ยวข้าวเล็กน้อย
ตอนที่จางต้ารีบกลับมา พ่อเฒ่าจางให้เขาเกี่ยวข้าวต่อไป ภายหลังแม้แต่พ่อเฒ่าจางก็รุดมาแล้ว เขาจึงเผ่นออกไปเล่นเพื่อ ‘แอบอู้’ ตั้งใจว่าเมื่อถึงเวลาอาหารเย็นจึงจะกลับเรือน
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อกลับมาถึงเรือนตอนเย็น สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นเรื่องนี้
จางอู่เป็นคนใจกล้าผู้หนึ่ง ไม่พูดพร่ำก็หมุนกายจากไปทันที วิ่งออกไปยังหมู่บ้านที่พี่สี่ของเขาอาศัยอยู่ด้วยแววตาว่างเปล่า
จางเยียนนั้นตอนที่ถูกบังคับพาตัวจากไป นางก็คิดเผื่อไว้แล้ว จึงบอกจางอู่ไว้ว่านางพักอยู่ที่ไหน ถ้าในเรือนเกิดอะไรขึ้นจะต้องไปแจ้งให้นางทราบ
“ได้ยินหรือไม่ น้องห้า เจ้าต้องฉลาดหน่อย อย่าปล่อยให้พี่ใหญ่กับพี่รองรังแกท่านแม่ พวกเขาไม่ได้มีแม่คนเดียวกันกับพวกเรา ไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับพวกเรา”
จางอู่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ทราบแล้ว พี่สี่”
กลางดึกกลางดื่นพลันมีคนมาทุบประตูเสียงดัง ทำเอาครอบครัวของเหมยกั๋วซิ่งตกใจกันทั้งบ้าน
“พี่สี่ พี่สี่…” จางอู่ตะโกนเข้าไปข้างใน
จางเยียนรีบลุกขึ้นมาจากเตียง “นั่นน้องห้าของข้าเอง”
“ทำไมน้องห้าของเจ้าถึงมาเอาดึกดื่นป่านนี้?” แม่เฒ่าเหมยลุกตามมาด้วย
จางเยียนสวมชุดเรียบร้อยก็ไปเปิดประตู “น้องห้า มีอะไรหรือ?”
“พี่สี่…ท่าน ท่านถูกสกุลจูปลดแล้ว” จางอู่ไม่สนใจแล้วว่าจะมีคนได้ยินหรือไม่ จึงกล่าวขึ้นมาตรง ๆ
จางเยียนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น “อะไรนะ?! เกิดอะไรขึ้น? ไม่ได้บอกว่าปิดบังทางนั้นไว้ดีแล้วหรือ ท่านแม่ก็จะช่วยกลบเกลื่อนให้ข้า ไม่ปล่อยให้ทางนั้นรู้เรื่อง…”
นางสับสนว้าวุ่นใจยิ่งนัก
“ข้าไม่รู้ วันนี้ตอนข้ากลับเรือนก็ได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่พูดว่าท่านถูกปลดแล้ว ท่านแม่ยังถามว่าจะส่งข่าวให้ท่านหรือไม่ แต่พี่สะใภ้ใหญ่ไม่สน”
จางเยียนรู้สึกราวกับฟ้าถล่มดินทลาย “เจ้าฟังผิดหรือเปล่า? น้องห้า นางอาจพูดถึงคนอื่นก็ได้…”
“เป็นไปไม่ได้ ข้าได้ยินชัดเจนยิ่งนัก นอกจากนี้ ข้าเหมือนได้ยินว่าเจ้าหน้าที่ทางการกับผู้อาวุโสประจำหมู่บ้านมาที่เรือนพวกเราด้วย แต่ตอนนั้นข้ากลัวพวกเขาจะจับข้ากลับไปทำงานอีกจึงวิ่งออกไปเล่นข้างนอก ดังนั้น…ดังนั้นจึงไม่รู้รายละเอียด” กล่าวถึงตอนท้าย จางอู่ก็พลันร้อนตัว
เรื่องสำคัญแบบนี้ กลับถูกเขามองข้ามไปเพราะห่วงเล่น?
พี่สี่คงไม่ตำหนิเขาหรอกนะ?
และเป็นไปตามคาด เมื่อพูดเช่นนั้นจางเยียนก็ตำหนิเขายกใหญ่ทันที “เด็กโง่ เรื่องสำคัญแบบนี้ เจ้าไม่รู้จักกลับเรือน ไปวิ่งเล่นข้างนอกนั่นทำไม? เจ้าไม่รู้หรือว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องใหญ่ชั่วชีวิตข้าเชียวนะ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าพี่สี่ของเจ้าถูกคนเขาปลดจริง ๆ ครึ่งชีวิตที่เหลือจะกลายเป็นอย่างไร?”
แม่เฒ่าเหมยกล่าวเสียงเบาอยู่ข้างหลัง “ไม่เป็นไร ข้ายอมรับเจ้า”
จางเยียนหันไปถลึงตาใส่นาง “เพื่อลูกชายหน้าโง่ของท่านน่ะหรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะบ้านพวกท่านอยากยืมครรภ์ให้กำเนิดบุตร บอกว่าถ้าคลอดลูกชายให้คนหนึ่งก็จะให้หมูหนึ่งตัว ท่านคิดว่าด้วยลูกชายโง่ทึ่มของท่านแบบนั้น ข้าจะเต็มใจงั้นหรือ? ฝันไปเถอะ”
แม่เฒ่าเหมยไม่กล้าปริปาก
จางเยียนโมโหยิ่งนัก เตะเท้าไปบนพื้นทีหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเตะไปถูกก้อนหินเข้า ทำตัวเองเจ็บปวดแทบตาย
แม่เฒ่าเหมยแตกตื่น รีบถามนางว่าเป็นอย่างไรบ้าง สะเทือนถึงครรภ์หรือไม่
จางเยียนผลักนาง “ไปให้พ้น! อยู่ให้ห่างจากข้า ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน และเพราะลูกชายหน้าโง่ของท่าน ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ ข้าจะถูกปลดงั้นหรือ? ล้วนเป็นพวกท่านทำร้ายข้า…”
แม่เฒ่าเหมยถูกผลักล้มลงบนพื้น มือข้างหนึ่งไม่รู้ว่ากดไปถูกอะไรเข้า เลือดไหลเสียแล้ว
เพียงแต่ตอนนั้นมืดเกินไป ไม่มีใครสังเกต
นางรู้สึกเจ็บ แต่ก็ทราบว่าไม่มีใครสนใจนาง เหมือนกับตอนนั้นที่นางอุ้มท้องโตขึ้นเขาไปเก็บผักป่าก็ไม่มีใครสนใจนางเช่นกัน
สุดท้ายนางคลอดลูกอยู่กลางป่ากลางเขา ลูกชายดี ๆ คนหนึ่งกลับกลายเป็นคนปัญญาอ่อน
นางทราบว่าคนสกุลเหมยรังเกียจนาง แต่ใครใช้ให้สามีของนางตายไปแล้ว และยังมีเพียงลูกโง่คนนี้เป็นสายเลือดหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่กันเล่า? พวกเขาจึงละเว้นนาง โดยคิดเสียว่าเหลือคนสืบทอดสกุลเหมยก็เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเสนอแนะนางว่า ถึงลูกชายจะเป็นคนปัญญาอ่อน หาสะใภ้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ ‘เช่าภรรยา’ เสียสิ นางจึงจำใส่ใจเอาไว้
นางเอาเงินสำหรับต่อโลงศพของตนเองที่เก็บสะสมครึ่งค่อนชีวิตมาไหว้วานคนกลางให้ช่วยหาภรรยาเช่า จนกระทั่ง ‘เช่า’ จางเยียนมาได้
แม้ว่าภรรยาที่เช่ามาผู้นี้จะนิสัยแย่ไปหน่อย แต่หน้าตางดงาม หลับนอนกับลูกชายนางคืนเดียวก็ท้องแล้ว นางจึงไม่มีอะไรให้บ่น ได้แต่กล้ำกลืนเอาไว้
แม่เฒ่าเหมยกดแผลบนมือตัวเองทำให้ความเจ็บนั้นรุนแรงกว่าเดิม นางว่า “รอจนเด็กคลอดออกมาแล้ว เจ้าก็ไปได้”
เพียงแต่ไม่รู้ว่าวาจานี้พูดให้จางเยียนฟัง หรือพูดให้ตัวเองฟังกันแน่
“คลอด ๆๆ เจ้าก็รู้จักแต่ให้คลอดเด็ก นอกจากคลอดลูกแล้ว เจ้ายังรู้อะไรอีก? ไม่แปลกเลยที่เจ้าคลอดลูกชายปัญญาอ่อนออกมา เจ้าสมควรได้รับโทษไปชั่วชีวิต สมควร…” จางเยียนเดิมก็มีไฟโทสะสุมอยู่เต็มท้อง เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาได้ก็ราวกับจุดปะทัด โพล่งด่าออกมาไม่หยุด
หลังจากนางมาอยู่บ้านหลังนี้ก็ไม่เคยอารมณ์ดีแม้แต่วันเดียว ทว่าแม่เฒ่าเหมยก็เอาแต่ปรนนิบัตินางราวกับปรนนิบัติบรรพบุรุษ นางจึงไม่กลัวแม่เฒ่าเหมยสักนิด
นี่ก็คือคนน่าเวทนาที่โกรธไม่เป็นคนหนึ่งแท้ ๆ!
จางเยียนยิ่งด่าก็ยิ่งไม่น่าฟัง แผลที่แม่เฒ่าเหมยกดเอาไว้ก็เจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าการทำเช่นนี้จึงจะสามารถมองข้ามคำด่าทอสาปแช่งของสตรีผู้นี้ได้
นางพร่ำเตือนตนเองในใจไม่หยุดว่า หลานชาย หลานชาย คิดถึงหลานชายเข้าไว้…
[1] ต้านิว 大妞 หมายถึง ลูกสาวคนโต (ในที่นี้หมายถึงพี่สาวร่วมมารดาของจางเยียน ซึ่งเป็นลูกคนที่สามของครอบครัวสกุลจาง)
MANGA DISCUSSION