บทที่ 104 นางท้อง
“นางพูดเรื่องนี้แล้วก็ไม่ได้พูดอย่างอื่นอีกเลยหรือ? เช่นนางอิจฉาลูกพี่ลูกน้องของนางคนนั้นมากปานนั้นเชียว เพียงเพื่อให้ได้หมูตัวเดียวมาเลี้ยงในบ้าน?” ยามเมื่อเย่อวี๋หรานพูดออกไป ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ยังคลุมเครือไม่พอ แล้วยังเป็นการพูดตรง ๆ ว่านางจะทำเรื่องแบบเดียวกับลูกพี่ลูกน้องของนางหรือไม่
โง่มาก! นางใจร้อนถามออกไปเช่นนั้นได้อย่างไร?!
และเป็นไปตามคาด ดวงตาของจูซานเบิกกว้าง “ท่านแม่ ความหมายของท่าน ไม่ใช่ว่าข้าไม่…ไม่เคยคิด! นางบ้าไปแล้วหรือ?! เอาชีวิตดี ๆ ของตัวเองไปทิ้งเพียงเพื่อหมูตัวเดียว…”
เขาเพียงแต่จนปัญญา
เขาทะเลาะกับนางเพราะเรื่องนี้ นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟก่อนจะกลับไปบ้านพ่อแม่นาง
ในตอนนั้นเขายังเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้นาง บอกเพียงว่าการที่ต้องดื่มโจ๊กในบ้านทุกวันเป็นเรื่องที่ยากลำบาก กลับบ้านไปเยี่ยมบ้านพ่อแม่เพื่อชีวิตที่มีความสุขเถอะ
เย่อวี๋หรานเกรงว่าเขาจะเป็นบ้าไปเสียก่อนจึงรีบกระชับมือและพูดว่า “อย่าพูดอะไรไร้สาระ ท้ายที่สุดแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ก็ยังไม่ชัดเจน เพียงแค่มีคนบอกว่าเห็นนางที่หมู่บ้านนั้น บางทีนางอาจจะแค่ไปเยี่ยมเพื่อน หรือไม่ก็มีคนมองผิดไป”
“เหอะ! เยี่ยมบ้านเพื่อน? ท่านแม่อย่ามาหลอกข้าเลย ข้าไม่ใช่คนโง่นะขอรับ!” จูซานสูดหายใจเข้าลึกหลายครา “มิน่าล่ะท่านแม่ถึงได้มาถามข้าว่าจะไปรับนางกลับมาเมื่อใด ข้ายังคิดว่าท่านแม่คิดอยากเรียกนางกลับมาทำงาน ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
มุมปากของเย่อวี๋หรานกระตุกครู่หนึ่ง ข้าจะเรียกนางกลับมาทำไม เพราะเรื่องเป็นแบบนี้ ทำให้ก่อนหน้านี้เขาจึงไม่อยากยกเรื่องนี้มาพูด?
“เจ้าอย่าหุนหันพลันแล่น พิจารณาเรื่องนี้ให้แน่ชัดว่าต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร”
“ท่านแม่โปรดวางใจ ข้าใจเย็นมากแล้วขอรับ ข้าไม่ได้โง่เหมือนพี่ใหญ่ และพี่รองที่มีนิสัยบุ่มบ่ามนะขอรับ ท่านแม่ ท่านบอกข้ามาเถอะขอรับว่าที่ท่านมาพูดกับข้าเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร? อยากให้ข้าจัดการเรื่องนี้เช่นไรขอรับ?”
ถูกสวมหมวกเขียวเช่นนี้ย่อมต้องรู้สึกไม่ดี
ในตอนนี้ที่เรื่องราวชัดเจนและจูซานก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับอะไร
เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดที่เสียจางเยียนไป แต่ก่อนอื่นเขาต้องแก้ไขเรื่องที่เขาอาจจะต้องเผชิญในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง
“ข้ามาพูดเรื่องนี้กับเจ้าเพียงแค่อยากมาดูเสียหน่อยว่าเจ้าคิดจะจัดการเช่นไร” เย่อวี๋หรานพูด “เจ้าเป็นผู้ชาย ถึงจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นผู้หญิงที่เสียเปรียบ คนอื่นก็เพียงแต่เห็นใจเจ้าเท่านั้น แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนประเภทที่ชอบให้ผู้ใดมาเห็นอกเห็นใจ หากเจ้าไม่อยากสนใจเช่นนั้นพวกเราก็แค่ตรงไปตรงมา ต่อให้ต้องเกิดเรื่องพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน[1]ก็ไม่เป็นไร แต่หากเจ้ายังใส่ใจเรื่องนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต ยิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี ถึงอย่างไรสะใภ้สามจะไม่อยู่บ้านสักสองสามเดือน ทุกคนในบ้านก็ไม่รู้สึกว่าแปลกเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”
นางคิดไปถึงขั้นเรื่องที่ว่าต้องคิดหาวิธีให้จูซานไปส่งซอสถั่วเหลืองในช่วงสองสามปีนี้หรือไม่ แต่รอให้สถานการณ์สงบเสียก่อนค่อยพูดเรื่องนี้อีกครั้ง
“พูดเช่นนั้นท่านแม่ยืนยันแล้วใช่ไหมขอรับว่าจางเยียนทรยศข้า?” ดวงตาของจูซานจ้องมองนางอย่างแน่วแน่
เย่อวี๋หรานในเวลานี้รู้สึกราวกับถูก ‘ทิ่มแทง’ “ข้าไม่แน่ใจนัก แต่…นางอาจจะท้อง และเด็กในท้องนางอาจจะเป็นลูกของเจ้า…”
“เฮ้อ ท่านแม่คิดว่ามันเป็นไปได้หรือขอรับ?” จูซานยิ้มเยาะ บรรยากาศรอบตัวของเขาเย็นยะเยือกขึ้นมาทันใด
“หากนางกำลังตั้งท้องลูกของข้า เมื่อไม่นานมานี้ครอบครัวของนางจะส่งคนมาบอกข้าหรือขอรับว่าตอนนี้นางใช้ชีวิตมีความสุขดี นางไม่กลับบ้านมาเดือนสองเดือนแล้ว นานเช่นนี้แน่นอนว่าท้องของนางคงใหญ่ขึ้นมากแล้ว เช่นนี้นางยังจะปิดบังข้า มันจะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ?”
เย่อวี๋หรานถอนหายใจ “เจ้าพูดมาเถอะว่าเจ้าอยากจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”
“ข้าอยากจะจัดการอย่างไรหรือขอรับ? ข้าอยากสับนางกับผู้ชายคนนั้นเป็นชิ้น ๆ”
“การฆ่าคนมันผิดกฎหมาย ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาติดคุกเพราะเรื่องแบบนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ การทำเรื่องนี้เพราะคนแบบนั้นก็ไม่คุ้มเอาเสียเลย”
เย่อวี๋หรานเกรงว่าเขาจะใจร้อนจึงรีบพูดโน้มน้าวต่อ “เจ้ายังมีข้า ยังมีพี่น้อง ยังมีครอบครัวใหญ่ของพวกเรา พวกข้าเป็นครอบครัวของเจ้า พวกข้าเป็นห่วงและรักเจ้า ไม่อยากให้มีเรื่องใดเกิดขึ้นกับเจ้า”
ใบหน้าของจูซานแดงขึ้นมา “ท่านแม่พูดอะไรเช่นนั้นขอรับ?”
คาดไม่ถึงจริง ๆ ทั้งที่ปกตินางมักจะมีท่าทีดุดัน แต่นางกลับพูดว่า ‘รัก’ เขา?
แม้ว่านางจะเป็นแม่ของเขา แต่คำพวกนี้ไม่ใช่ว่าน่าอายเกินกว่าจะพูดออกมาได้หรือ?
เย่อวี๋หรานคาดไม่ถึงว่าเพียงแค่นางแสดง ‘ความรู้สึกของผู้เป็นแม่’ ออกมาจะทำให้จูซานมีการตอบสนองเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีโกรธก็โล่งใจ
“ข้าพูดอะไร? ข้าพูดอะไรผิดรึ? เจ้าไม่ใช่ครอบครัวของเรารึ? ข้ากับพี่น้องของเจ้าใส่ใจเจ้าไม่มากพอหรือ? ใช่ ข้ายอมรับว่าตอนที่พวกเจ้ายังเด็กข้าอาจมองข้ามพวกเจ้าไป แต่ครอบครัวของเรามีปัจจัยหลายอย่างใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ พวกเรามีกันหลายคน เป็นเรื่องธรรมดาที่ในทุกวันจะมีเรื่องมากมายมาคอยทำให้ข้ากลุ้มใจ…แต่เป็นข้าที่ทำให้พวกเจ้ากลุ้มใจ พวกเจ้าก็เป็นลูกของข้า ความรู้สึกที่ข้ามีต่อพวกเจ้าล้วนเป็นของจริง ข้าหวังเพียงว่าพวกเจ้าทุกคนจะเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงและปลอดภัย”
“ท่านแม่หยุดพูดเถอะขอรับ มันน่าอายเกินไป” จูซานยิ่งรู้สึกอายมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ถึงจะรู้สึกเขินอายอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้จากแม่ของเขา ในใจก็รู้สึกอิ่มสุขอย่างอธิบายไม่ถูก รู้สึกอบอุ่นราวกับว่าในที่สุดเขาก็รู้ว่าเดิมทีแม่ก็รักพวกเขาจริง ๆ
ถึงแม้บางทีเรื่องเล็กน้อยในชีวิตก็ทำให้แม่รู้สึก ‘ฉุนเฉียว’ ได้ และในบางครั้งก็ยังไร้เหตุผลก็เถอะ…
“ทำไมต้องอาย? ข้าพูดคำพูดที่ออกมาจากใจกับลูกชายของตัวเองก็ไม่ได้รึ?” เย่อวี๋หรานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
แท้จริงแล้วลูกชายคนที่สามที่ดูฉลาดและมีไหวพริบก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ ‘ขาดความรัก’ ดูสิ นางเพียงแค่ ‘สารภาพ’ ไม่กี่ประโยค เด็กคนนี้ก็เขินอายอย่างกับอะไรดี
หึ ๆๆ…นางรู้สึกราวกับตัวเองจับ ‘ชีพจร’ ของเด็กคนนี้ได้
“ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ เพียงแต่…มันแปลกนิดหน่อยทั้งยังน่าอายมาก…” จูซานพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่เย่อวี๋หรานก็ยังคงได้ยิน
นางพูดด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรน่าอาย เมื่อก่อนข้ายุ่งมากเกินไปจนไม่มีทั้งเวลาและแรงจะพูดด้วยซ้ำ ตอนนี้พวกเจ้าเติบใหญ่กันหมดจนแต่งงานมีครอบครัว ข้าก็มีเวลาว่าง และอยากใช้แรงที่เหลืออยู่ทำให้พวกเจ้าได้รับความรักของผู้เป็นแม่ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น หลายปีมานี้ชีวิตในบ้านเคยไม่ค่อยดีมาก่อน และข้าก็ติดหนี้พวกเจ้าอยู่มากเกินไป”
“ท่านแม่…ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ที่จริงพวกข้าก็รู้ว่าท่านทำเพื่อพวกเรามาหลายปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านลำบากมากจริง ๆ…” จูซานพยายามเมินเฉยต่อความรู้สึกเขินอาย “ถึงแม้จะมีบางครั้งที่พวกข้ามีเรื่องที่ไม่เข้าใจ แต่พวกข้าก็ไม่คิดตำหนิท่านแม่หรอกขอรับ จริง ๆ แล้วท่านแม่ทุ่มเทอะไรเพื่อพวกข้าบ้าง พวกข้าต่างก็รู้มาโดยตลอด ท่านโปรดวางใจ ยามที่ท่านแก่ตัวลง พวกข้าจะกตัญญูต่อท่านอย่างแน่นอนขอรับ”
“หึ ๆ…พูดเช่นนี้เหมือนเดิมทีพวกเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะกตัญญูต่อข้าเลยนะ”
“แหะ ๆ!” จูซานไม่ได้พูดออกมาว่าในคราแรกหลังจากที่พี่หกถูกท่านแม่ ‘ขับไล่’ ออกไป พวกเขาเหล่าพี่ชายน้องชายได้มาพูดคุยหารือกันถึงเรื่องที่ในอนาคตควรจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของนางดีหรือไม่
พวกเขาโชคดีมากที่ไม่ได้มีเรื่อง ‘โกรธเคือง’ กับแม่เหมือนลูกคนที่หก ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วชีวิตในบ้านนี้ยังไม่ได้ไร้ความหวังในอนาคต และแม่ของพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ ‘น่ารังเกียจ’ ถึงเพียงนั้น
นางรักพวกเขา เพียงแต่ใช้วิธีที่ผิด
ส่วนเรื่องจางเยียน แม่ลูกก็ได้ปรึกษากันว่าควรจะจัดการอย่างไร
เมื่อคิดไตร่ตรองดูแล้วพวกเขาเห็นว่าควร ‘จัดการแบบเงียบ ๆ’ จะเป็นการดีกว่า ตระกูลจางชื่นชอบการปล่อยเช่าภรรยาก็เป็นเรื่องของพวกเขา แต่ตระกูลจูจะไม่หากินเช่นนั้น
[1] พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน หมายถึง เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เกิดความโกลาหล
MANGA DISCUSSION