บทที่ 1 ย้อนยุคมาเป็นแม่สามีสุดโหด
เย่อวี๋หรานตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโหวกเหวกโวยวาย
น่าประหลาด เธอเป็นสาวโสดทึนทึกอยู่ตัวคนเดียว แล้วเสียงทะเลาะนี้ดังมาจากไหนกัน?
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…” เย่อวี๋หรานที่ยังสะลึมสะลือได้ยินเสียงอ่อย ๆ ดังขึ้นข้างกาย จากนั้นก็มีเสียงแหลมสูงอีกเสียงดังขึ้นมา
“แล้วท่านหมายความว่าอย่างไร? พี่สะใภ้รอง ท่านทำเกินไปแล้วนะ ข้าท้องโตขนาดนี้ยังมาใส่ร้ายข้าได้ หาว่าข้าผลักท่านแม่ล้ม?”
ในที่สุดเย่อวี๋หรานก็ได้สติสัมปชัญญะคืนมา รู้สึกหัวร้อนวูบวาบ เธอตวาดขึ้นอย่างอดไม่ได้
“หุบปากเดี๋ยวนี้!”
ทั้งห้องเงียบสงบลงทันที
“ท่านแม่ ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ? ดีจริง ๆ ในที่สุดท่านก็ได้สติแล้ว!”
เย่อวี๋หรานสับสนอยู่บ้าง ท่านแม่ไหน? ใครคือท่านแม่?
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ผลักท่าน ท่านต้องเป็นพยานให้ข้านะ ข้ายังอุ้มท้องหลานสาวสุดที่รักของท่านแม่อยู่เลย แล้วจะไปทำเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไร?”
“หุบปาก!” เย่อวี๋หรานปวดศีรษะ ช่างยากนักที่จะลืมตาขึ้น
“ร้องห่มร้องไห้อะไรกันอยู่ ไสหัวออกไปให้หมด”
เมื่อถูกเธอจ้องอยู่แบบนี้ สตรีคนนั้นก็ลืมแม้แต่จะร้องไห้ ได้แต่กระวีกระวาดออกจากห้องไป
เย่อวี๋หรานสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บ เธอพบว่าไม่ใช่แค่ถูกคนกลุ่มหนึ่งล้อมหน้าล้อมหลัง แต่คนกลุ่มนี้ยังสวมเสื้อผ้าแบบโบราณที่เต็มไปด้วยรอยปุปะ ตอนนี้มีบุรุษและสตรีรวมกันสิบกว่าคน
ครั้นแลดูที่มือของตัวเอง มือที่ดูสูงวัยคู่นี้เต็มไปด้วยร่องรอยของการทำงานหนัก ไม่ใช่มือของคนทำงานออฟฟิศที่หมั่นทาครีมบำรุงอย่างดีจนขาวผ่องเกลี้ยงเกลาของเธอคู่นั้นเด็ดขาด
สมองยังคงสับสน ไม่มีกะจิตกะใจจะไปรับมือคนเหล่านั้น เธอโบกมือเล็กน้อยให้พวกเขาออกไปให้หมด เพื่อที่ตนเองจะได้สงบใจสักครู่
บุรุษที่อายุมากที่สุดในคนกลุ่มนั้นไม่ลืมที่จะเป็นห่วงเป็นใยเธอ เพียงแต่คำพูดคำจาทำไมฟังดูแล้วเหมือนจะแฝงเจตนาไม่ดีสักเท่าไหร่?
“หรานเหนียงเอ๊ย เจ้าก็อย่าโมโหนักเลย เมียเจ้าสี่ก็ไม่ได้ตั้งใจ ดูสิ ตอนนี้เจ้าก็ฟื้นแล้วไม่ใช่หรือ ไม่เป็นไรแล้วนี่นา? เมียเจ้าสี่ยังท้องอยู่ หลานสาวที่เจ้าอยากได้นักหนาไม่แน่ว่าอาจเกิดมาเร็ว ๆ นี้ก็ได้ ถ้าจะไล่นางกลับบ้านเดิมไปเพราะเรื่องแค่นี้ ถึงตอนนั้นจะมองหน้ากันไม่ติดเอานะ”
เย่อวี๋หรานแทบอยากถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา “คุณเป็นใครกัน?”
จากนั้น อยู่ ๆ สมองก็ระลึกขึ้นมาได้เองว่าเขาเป็น ‘สามีของเธอ’ นั่นเอง
ฉิบxาย!
ชาติที่แล้วหลังเรียบจบปริญญามาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน อายุสามสิบกว่าแล้วก็ยังไม่แต่งงาน แล้ว ‘สามีของเธอ’ คนนี้โผล่มาจากไหน?
ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอกำลังพรั่งพรูออกมา จนทำให้เธอเข้าใจสถานะของตัวเองในตอนนี้ได้กระจ่าง ตอนนี้เธอมีชื่อว่า เย่อวี๋หราน แต่งงานมีลูกแล้ว
สามีคือ ‘จูเหล่าโถว’ มีลูกชายด้วยกันเจ็ดคน และลูกสาวหนึ่งคน
ตอนที่ระลึกขึ้นมาได้นั้น เย่อวี๋หรานก็ต้องทอดถอนใจให้กับความประหลาดของเจ้าของร่างเดิม ผู้อื่นอยากได้ลูกชายจะเป็นจะตาย แต่นางกลับรังเกียจว่าลูกชายไม่ดี และอยากจะได้ลูกสาว
ความคิดแบบนี้ ‘ก้าวหน้า’ มากเลยใช่หรือไม่?
ไม่เลย เจ้าของร่างเดิมอยากได้ลูกสาวเพราะอยากส่งลูกสาวไปเป็นสาวใช้ในบ้านสกุลใหญ่ หากต้องตานายท่านหรือนายน้อยคนไหนเข้าก็จะได้เป็นอนุภรรยาของอีกฝ่าย นับแต่นั้นมารดาก็จะได้พึ่งพาบุตรจนสุขสันต์ คนทั้งหมดพลอยได้ดีไปด้วยกัน
บีบคั้นให้คนทั้งบ้านคลอดลูกสาวก็เพื่อความหวังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้เอง!
“…”
ไม่สู้ลงแรงสักหน่อย บ่มเพาะลูกชายไปสอบรับราชการเป็นขุนนางไม่ดีกว่าหรือ? ทำไมต้องดึงดันจะไปเป็นสาวใช้บ้านคนรวยเพื่อเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นให้ได้?
และสิ่งที่น่าอนาถที่สุดก็คือ ครอบครัวสกุลจูยากจนข้นแค้น จนวัน ๆ ได้กินแต่โจ๊กเท่านั้น
ครั้นลองตรวจดูสภาพร่างกายเล็กน้อยก็พบว่านอกจากแก่ไปบ้างเพราะดูแลตัวเองไม่ค่อยดี ก็คล้ายกับจะไม่มีปัญหาอื่นใดอีก
เย่อวี๋หรานลุกจากเตียง ช่วงแรกยังไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง แต่เพราะยังมีความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมสำรวจเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้นอกจากจะเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่วเท่าเจ้าของร่างเดิมแล้ว การจัดการกับตนเองและเก็บที่นอนก็ไม่นับว่าติดขัดอะไร
เจ้าของร่างเดิมนั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา ไม่แน่ว่าเรื่องธรรมดาหากเข้ามาอยู่ในสมองของนางแล้วอาจกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาก็ได้
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
เย่อวี๋หรานไม่ต้องการให้ตนเองเผย ‘พิรุธ’ ออกไปด้วยความเลินเล่อชั่วขณะ และถูกครอบครัวสกุลจูจับไปเผาเพราะเข้าใจว่าเธอเป็นภูตผีปีศาจหรอกนะ
ยุคโบราณแบบนี้ยิ่งดูเหมือนจะงมงายมากอยู่ด้วย!
เย่อวี๋หรานออกมาถึงลานเรือน ก็เห็นสตรีที่กระวีกระวาดออกมาจากห้องคนนั้นกำลังแสดงละครอยู่
สามีนางเป็นลูกคนที่สี่ของครอบครัวสกุลจู ซึ่งก็คือ ‘เมียเจ้าสี่’ ที่จูเหล่าโถวพูดถึงคนนั้น บ้านมารดาของนางคือแซ่หลี่
แท้จริงแล้วหลี่ซื่อ [1] เฉลียวฉลาดยิ่งนัก ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่โดดเด่นเกินหน้าลูกสะใภ้ทั้งหลาย และกลายเป็นคนที่เจ้าของร่างเดิมโปรดปรานมากที่สุด
หลังจากหลี่ซื่อจัดการตัวเองเสร็จสรรพก็วิ่งไปที่หนึ่งตามแผน นางนั่งคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย
และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง ครั้นนางเห็นสะใภ้รองหลิวซื่อเดินผ่านมาก็ยังจงใจร้องทัก “สะใภ้รอง เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ท่าทางเหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก?”
ไม่รอคำตอบของหลิวซื่อ นางก็แอ่นท้องพล่ามต่อไปว่า
“ข้าไม่ได้สบายเหมือนเจ้าหรอกนะ ไม่มีเรื่องก็วิ่งแจ้นไปทั่ว ถึงจะแบกท้องโตขนาดนี้แต่ข้าก็คุกเข่าอยู่ตรงนี้มาตลอดตั้งแต่ออกมาจากห้องของท่านแม่ พูดไปแล้วก็เหนื่อยเอาการ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ท่านแม่จะยกโทษให้ข้า เฮ้อ ตัวข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก สงสารก็แต่หลานสาวที่น่ารักของท่านย่าในท้องข้า ไม่รู้ว่าจะทนทานรับไหวหรือไม่”
หลิวซื่อชะงักฝีเท้า สายตาที่มองมาหานางออกจะประหลาดอยู่บ้าง
หลี่ซื่อเห็นว่าแผนการของนางได้ผลก็ย่ามใจ ลูบหน้าท้องพูดต่อไปว่า “นี่แค่ไม่กี่เดือน ยังไม่ถึงกำหนดคลอด ถ้าคุกเข่าต่อไปจนเกิดอะไรขึ้นมา ถึงตอนนั้นคนที่ปวดใจก็คือท่านแม่…”
“ข้าจะปวดใจอะไร?” เย่อวี๋หรานปรากฏตัวขึ้นด้านหลังนาง และเอ่ยถามเสียงเย็น
หลี่ซื่อสะดุ้ง รีบหันกลับไป “ท่านแม่ ท่านมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?!”
“ท่านแม่” หลิวซื่อเดินขึ้นมาหาพลางเอ่ยเรียกอย่างว่าง่าย
“ถ้าข้าไม่อยู่ตรงนี้ แล้วต้องอยู่ที่ไหน?”
หลี่ซื่อไม่เห็นว่าเมื่อครู่เย่อวี๋หรานอยู่ในมุมลับตาของห้องครัว และมองเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าแท้จริงแล้วหลี่ซื่อออกมาจากห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ คุกเข่าลงตอนไหน ร้องเรียกหลิวซื่อมาฟังนางพูดพล่ามไม่หยุดว่าอย่างไรบ้าง
เฮอะ!
แม้เจ้าสี่จะไม่มีตัวตนอยู่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แต่ลูกสะใภ้ ‘คนดี’ คนนี้ ความคิดอ่านนั้นปราดเปรียว ฉอเลาะเก่งยิ่งนัก
ไม่เพียงฉอเลาะเก่งเท่านั้น แต่การพูดจายังน่าฟังกว่าร้องเพลง ท่าทางช่ำชองการละครเช่นนี้ ถ้าเย่อวี๋หรานไม่มาเห็นกับตาตัวเอง คงนึกว่าหลี่ซื่อนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ออกมาจากห้องของนางจริง ๆ
เดิมทีเย่อวี๋หรานยังคิดว่าเจ้าของร่างเดิมหกล้มคงไม่ใช่ความผิดของหลี่ซื่อเสียทั้งหมด จึงตระเตรียมจะมอบบทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามฉบับเจ้าของร่างเดิมให้ก็แล้วกันไป อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็อุ้มท้องโตขนาดนั้น
แต่ตอนนี้ ‘เฮอะ ๆ’
“พี่สะใภ้รอง ทำไมท่านไม่เตือนข้า?” เมื่อพบว่าตัวเองขายหน้ายกใหญ่ หลี่ซื่อก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ร้องเสียงแหลมผุดลุกขึ้นมา หันไปตำหนิหลิวซื่อทันที
“ท่านจงใจให้ข้าเสียหน้าใช่ไหม? ทำไมท่านชั่วร้ายขนาดนี้ ความคิดสกปรก ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสะใภ้ของท่านนะ ทั้งยังท้องอยู่ด้วย เป็นถึงหลานสาวของท่าน…”
“ข้า…” หลิวซื่อหดคอ ท่าทางอ่อนแอขลาดเขลา ไม่กล้าตอบโต้
“มาร่ำร้องอะไรอยู่ตรงนี้? หุบปาก!” เย่อวี๋หรานเดินรุดขึ้นหน้า ตวาดใส่หลี่ซื่อ
“เจ้ามีมารยาทนักหรือ? ตนเองเป็นน้องสะใภ้ยังกล้ามาแผดเสียงใส่สะใภ้รอง การอบรมสั่งสอนจากบ้านเดิมไปไหนหมด? หรือข้าควรจะถ่อไปถึงเรือนสกุลหลี่ของพวกเจ้า ถามแม่เจ้าว่าสั่งสอนลูกสาวมาอย่างไร? มีน้องสะใภ้ที่ไหนกล้าขึ้นเสียงฉอด ๆ ใส่หน้าพี่สะใภ้บ้าง?”
ไฟโทสะของหลี่ซื่อมอดลงทันใด ก่อนจะรีบร้อนอธิบาย
“ไม่ใช่ ท่านแม่ เป็นนาง…”
“หุบปาก! ต่อหน้าข้ายังกล้าเถียงคำไม่ตกฟาก ลับหลังจะไม่ขึ้นมาขี่บนหัวข้าเลยรึ? หา!”
หลี่ซื่อสั่นศีรษะอย่างกลัวเกรง “ไม่กล้า ท่านแม่ ท่านก็รู้ ข้าเคารพเทิดทูนท่านแม่เป็นที่สุด เรื่องแบบนี้ข้าจะกล้าได้อย่างไร? แต่ไหนแต่ไรมาท่านแม่ว่าอย่างไรข้าก็ว่าอย่างนั้น ไม่กล้าเถียงสักคำ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าให้เจ้าหุบปากแล้วทำไมยังพล่ามไม่หยุด? ไหนลองบอกมาซิ วันนี้ข้าบอกให้เจ้าหุบปากมากี่รอบแล้ว เจ้าเคยฟังบ้างหรือไม่? ตกลงข้าเป็นแม่สามีของเจ้า หรือเจ้าเป็นแม่สามีของข้ากันแน่?”
“เป็นท่าน…” หลี่ซื่อคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ควรพูด รีบหุบปากลงฉับ เพียงแต่รู้สึกอัดอั้นอยู่บ้าง
ฮือ ๆ…ปกติเวลาท่านแม่โมโห นางแค่พูดเสียงอ่อนเสียงหวานไม่กี่ประโยคก็เอาใจท่านแม่ได้แล้ว แต่ทำไมวันนี้เอาใจยากนัก?
หรือว่า หกล้มไปรอบหนึ่งกลับล้มจนความรู้สึกดี ๆ ที่ท่านแม่มีต่อนางหายไปหมด?
[1] ในยุคจีนโบราณ เมื่อกล่าวถึงสตรีที่แต่งงานแล้วจะเรียกนามสกุลบ้านเดิม (บ้านมารดา) ตามด้วยคำว่า ซื่อ(氏)เช่น หลี่ซื่อ นามสกุลเดิมคือ หลี่ หรือ หลิวซื่อ นามสกุลเดิมคือ หลิว เป็นต้น บ้างก็เติมนามสกุลสามีไว้ข้างหน้า เช่น จูหลี่ซื่อ หมายถึงสตรีสกุลหลี่ที่แต่งเข้าบ้านสามีสกุลจู
MANGA DISCUSSION