ภรรยาหน้าหวานของพี่ใหญ่ - ตอนที่ 108 หม่ามี๊ชอบปะป๊า
งานกีฬาสีก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว รายการแรกคือ เด็กจะต้องวิ่งแข่งผูกขากับคนในครอบครัว ซึ่งเป็นการวิ่งผลัด แข่งพร้อมกันทั้งหมด 4 ห้อง ห้องไหนถึงเส้นชัยก่อนเป็นอันชนะไป นี่เป็นการทดสอบความสามัคคีและความเชื่อใจระหว่างเด็กและคนในครอบครัว
เลขประจำตัวของซุ่ยซุ่ยอยู่คนแรกๆ คุณครูส่งเสียงเรียกมาจากที่ไกลๆ "ลี่ซือเฉียวจะเข้าร่วมด้วยไหม"
"เล่นครับ เล่น!" ลี่ซือเฉียวยกมือน้อยๆ ขึ้นพร้อมด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
"เขาวิ่งได้เหรอ" เฉียวเหวยอีขมวดคิ้วขึ้นมา เอ่ยถามลี่เย่ถิงเสียงเบา
"สองคนช่วยกัน ก็วิ่งได้" ลี่เย่ถิงหันไปมองซุ่ยซุ่ย แล้วเอ่ยตอบ
ลูกชายที่แสนดีของเขา ช่างเป็นเทพเจ้าแห่งความช่วยเหลือจริงๆ
"วิ่งกันสามคน ไม่ใช่ว่าจะยากกว่าเดิมเหรอ" เฉียวเหวยอีหันไปมองรอบๆ ทุกคนต่างแข่งโดยที่มีผู้ปกครองคนเดียวเข้าร่วมทั้งนั้น ไม่มีผู้ปกครองสองคนเข้าร่วมพร้อมกันเลย
ลี่เย่ถิงไม่เอ่ยอะไร อุ้มซุ่ยซุ่ยแล้วมุ่งไปยังบริเวณที่คุณครูกำหนดไว้
เฉียวเหวยอีเองก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร จึงเดินตามเขาไปโดยที่ไม่รู้อะไร
ลี่เย่ถิงรับเอาเชือกผูกมาจากคุณครู แล้วพูดเรียบๆ ว่า "รบกวนขอเพิ่มอีกเส้นด้วยครับ"
ซุ่ยซุ่ยรีบยื่นไปให้เฉียวเหวยอีหนึ่งเส้นทันที เฉียวเหวยอีมองไปที่ลี่เย่ถิงที่กำลังย่อกายลงไปผูกสายรัด เธอก็พลันเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าเขาต้องการที่จะทำอะไร เขาต้องการให้ซุ่ยซุ่ยเหยียบลงไปบนหลังเท้าของพวกเธอทั้งสอง ซุ่ยซุ่ยไม่จำเป็นที่จะต้องวิ่งด้วยตนเอง ทีนี้ก็สามารถมั่นใจได้ว่าซุ่ยซุ่ยจะไม่ได้รับความกระทบกระเทือนถึงบาดแผล เพราะพวกเธอวิ่งไปพร้อมกัน
หลังจากที่เธอเข้าใจแล้ว ก็ย่อตัวลงทันที แล้วยื่นมือไปหวังจะผูกรัดเชือกที่เท้าตนเข้ากันกับของซุ่ยซุ่ย
แต่ไม่ว่าจะพยายามมัดเชือกอย่างไรก็จะทำไม่ได้เสียที แม้จะพยายามผูกมานานหลายนาทีก็ตาม
ขณะที่กำลังจะเรียกคุณครูที่อยู่ด้านข้างเพื่อขอความช่วยเหลือ ลี่เย่ถิงที่มัดเชือกของตนเองเสร็จแล้ว ก็ยื่นมือเข้ามาหา แล้วรับเอาเชือกที่อยู่ในมือของเธอไป
เสี้ยววินาทีที่มือของพวกเธอสัมผัสโดนกัน ไอร้อนจากมือของเขาไหลผ่านสู่หลังมือของเธอ ฉับพลันนั้นเธอรู้สึกราวกับถูกไฟดูดและคิดที่จะหลบออก
ขณะที่กำลังจะผละมือหนี ลี่เย่ถิงก็คว้ามือเธอเอาไว้แน่น
"ดูสิ" เว้นช่วงไปหลายวินาที เขาเงยหน้าขึ้นมามองเธอแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
กล่าวจบ ก็กุมมือของเธอไว้ในฝ่ามือของตนเอง จับเรียวนิ้วมือยาวของเธอเอาไว้ แล้วผูกเชือกรัดต่อ
เฉียวเหวยอีมองดูมือของพวกเธอทั้งสองคนที่สอดประสานกัน ลี่เย่ถิงควบคุมจังหวะของนิ้วมือเธอ แต่เธอก็กลับยังไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเขามัดเชือกอย่างไร
รู้สึกเพียงแต่ว่าฝ่ามือของเขานั้นร้อนรุ่มมากยิ่งขึ้นทุกที ร้อนเสียจนจิตใจของเธอรู้สึกกระวนกระวาย
ซุ่ยซุ่ยที่ถูกทั้งสองคนเบียดจนทำได้เพียงนั่งลงบนลู่วิ่งของสนาม แล้วปล่อยให้พวกเขาทำไปตามใจชอบ ตัวเขานั้นมองไปที่พวกเธอทั้งสองคนที่อยู่ใกล้ชิดกัน โดยมองสลับไปมาอยู่หลายรอบ
หม่ามี๊สวยมากๆ เลย ขนาดที่ว่ารวบผมมัดเป็นหางม้าอย่างลวกๆ ยังสวยกว่าหม่ามี๊ของคนอื่นอีก ซุ่ยซุ่ยเห็นแววตาของปะป๊าเป็นประกายขณะที่จ้องมองหม่ามี๊
ซุ่ยซุ่ยไม่เข้าใจ ทำไมปะป๊าไม่ยอมให้ตัวเขาเรียกหม่ามี๊ว่าหม่ามี๊ แต่ว่าให้เรียกว่าพี่สาวแทน แต่ว่าหม่ามี๊ของเขานั้นเป็นพี่สาวที่ยังสาวและสวยอยู่ นี่มันสุดยอดไปเลย
ถ้าหากว่าตัวเขาหน้าตาเหมือนหม่ามี๊อีกสักหน่อยล่ะก็ คงจะดีไม่น้อยเลย เพราะปะป๊าบอกว่า ที่ตัวเขาหน้าตาไม่เหมือนหม่ามี๊ ทำให้หม่ามี๊ไม่ได้ชอบเขามากขนาดนั้น ถึงได้ทอดทิ้งเขาไปเสียนานขนาดนี้
แต่ว่าหม่ามี๊ชอบปะป๊า
ต้องมีสักวันแน่ๆ ที่จะต้องชอบเขา เพราะว่าตัวเขานั้นหน้าตาเหมือนปะป๊า
หลังจากเข้าร่วมงานกีฬาสีจบ ตอนนั้นก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ลี่เย่ถิงและเฉียวเหวยอีจึงพาซุ่ยซุ่ยไปทานอาหารเด็กอนุบาลข้างในโรงอาหารของโรงเรียน
หลังจากที่บรรดาผู้ปกครองทานข้าวกันเสร็จ ก็ทยอยกันพาเด็กๆ กลับบ้าน
เฉียวเหวยอีหันหน้าไป ก็เห็นแผ่นหลังของลี่เย่ถิงที่บริเวณโถงทางเดิน เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่ด้านนอก ไม่อาจทราบได้เลยว่ากำลังคุยอยู่กับใคร
ตอนเช้าของวันนี้ ซูหรูเยียนบอกว่าจะออกนอกประเทศไปด้วยกันกับลี่เย่ถิง เธอเดาว่า เขาคงกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับซูหรูเยียน โดยที่กำลังเอ่ยขอโทษอยู่
"ซุ่ยซุ่ยกินเสร็จแล้วครับ" ซุ่ยซุ่ยเขยิบเข้ามาอยู่ใกล้เฉียวเหวยอีอย่างเงียบๆ ในปากยังคงเคี้ยวข้าวคำสุดท้ายอยู่ ส่งรอยยิ้มบางๆ ที่น่ารักจับใจมาให้เฉียวเหวยอี