ภรรยาหน้าหวานของพี่ใหญ่ - ตอนที่ 106 เธอยอมให้
"คุณแม่ของลี่ซือเฉียวคะ ไม่ใช่ว่าวันนี้ลี่ซือเฉียวไม่ต้องมาก็ได้ไม่ใช่หรือคะ ขาเขายังบาดเจ็บอยู่ วิ่งเล่นไปทั่วไม่ได้นะคะ"
เฉียวเหวยอีชะงักไปชั่วครู่ ก้มหน้าลงมองซุ่ยซุ่ยที่อยู่ข้างตัว
ซุ่ยซุ่ยกับแสร้งทำไม่รู้เรื่อง เอียงศีรษะน้อยๆ นั้นแล้วส่งรอยยิ้มมาให้เฉียวเหวยอี
เฉียวเหวยอีรู้สึกว่าปัญหานี้ค่อนข้างที่จะร้ายแรงไม่น้อยเลยทีเดียว เด็กคนนี้หลอกเธอเข้าให้แล้ว
ยังไงก็ตามเด็กอายุสามขวบคนนี้ก็ยังมีเกียรติ ถ้าหากจะกล่าวสั่งสอนเขาตรงนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย เด็กก็อาจจะรู้สึกว่าถูกหยามและทำให้อายได้
"อื้ม" เธอเงยหน้าขึ้น แล้ววาดรอยยิ้มบางๆ ไปให้อาจารย์ประจำชั้น ก่อนจะตอบกลับไปว่า "ลี่ซือเฉียวรู้สึกว่าถ้าอยู่บ้านแล้วจะเบื่อ อยากนั่งอยู่ที่ด้านข้างแล้วมองเพื่อนๆ คนอื่นน่ะค่ะ"
"ถ้าแบบนั้นก็ได้เลยค่ะ ยกเว้นรายการวิ่งแข่ง นอกจากนั้นก็สามารถเข้าร่วมได้ค่ะ" อาจารย์ประจำชั้นคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะพยักหน้าตอบ
เฉียวเหวยอีหยิบเอาเก้าอี้มาด้วย แล้วอุ้มซุ่ยซุ่ยไปนั่งด้วยกันในมุมที่มีร่มและเย็นสบาย และมองดูเด็กๆ ที่พากันเข้าแถวตามห้องเรียนเข้าไปในสนาม
เมื่อบริเวณรอบด้านไม่มีคนแล้ว เฉียวเหวยอีจึงก้มหน้าลงแล้วมองไปยังซุ่ยซุ่ย ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นเบาๆ ว่า "ซุ่ยซุ่ย เป็นเด็กห้ามโกหกนะ คุณพ่อได้สอนหนูบ้างไหม"
ซุ่ยซุ่ยรู้สึกไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา มือทั้งสองข้างสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วจึงพยักหน้าพลางส่งเสียง "อื้ม" ออกมา
"เมื่อวานหนูแอบเอาโทรศัพท์ของคุณลุงอู๋โยวไปใช่ไหม แล้วก็เอาไปถ่ายวิดีโอพี่ด้วย" เธอเอ่ยถามต่อ
ซุ่ยซุ่ยแอบเหลือบตามองไปทางเฉียวเหวยอี เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเฉียวเหวยอีนั้นนิ่งขรึมมาก ก็รู้สึกไม่กล้าพูดขึ้นมา
"หนูไม่ได้บอกคุณพ่อหรือว่าพวกคุณลุงเลย แล้วคุณครูก็บอกว่าพี่ไม่จำเป็นต้องมางานกีฬาสีก็ได้ใช่ไหม" เฉียวเหวยอีไล่ต้อนถามคำถามเขา
ซุ่ยซุ่ยไม่ส่งเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย
เฉียวเหวยอีเข้าใจแล้ว เด็กคนนี้โกหกเพื่อที่จะได้ให้เธอมาร่วมงานกีฬาสี
เธอไม่รู้เลยว่า ควรจะให้อู๋โยวมารับเด็กคนนี้กลับไปดีไหม แต่ว่าถ้าเธอไม่พูด ก็จะถือว่าเป็นการช่วยเด็กคนนี้โกหก และพฤติกรรมแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้เด็กกลายเป็นว่าเมื่อพูดโกหกก็จะไม่รู้สึกกังวลหรือรู้สึกผิด
"เพราะว่าซุ่ยซุ่ยคิดถึงพี่มาก" ในขณะที่เธอกำลังนิ่งขรึมไม่พูดอะไรอยู่นั่นเอง ซุ่ยซุ่ยก็พลันพูดโพล่งขึ้นมา แล้วยื่นมือไปกุมนิ้วมือนิ้วหนึ่งของเฉียวเหวยอี
เฉียวเหวยอีหลุบตาลงต่ำ สบสายตาเข้ากับใบหน้าที่สำนึกผิดของซุ่ยซุ่ย
หัวใจของเฉียวเหวยอี ก็พลันอ่อนยวบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ผ่านไปนานสักพัก ก็ถอนหายใจออกมาเงียบๆ แล้วจึงอุ้มซุ่ยซุ่ยที่อยู่ในอ้อมกอดบนตักให้หันหน้ามาหาตัวเธอเอง ก่อนจะหยิกแก้มกลมๆ เล็กๆ นั้นอย่างเบามือ "งั้นหนูก็รู้ใช่ไหมว่าการพูดโกหกเป็นสิ่งที่ผิด"
"รู้ครับ" ซุ่ยซุ่ยพยักหน้าลงอย่างว่าง่าย
ฉับพลันนั้นเฉียวเหวยอีก็มีความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เธอไม่อาจที่จะกล่าวต่อว่าสั่งสอนเขาอีกได้แล้ว
ชั่วครู่ต่อมา จึงพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่อ่อนโยน "ต่อไปนี้ถ้าคิดถึงพี่ก็ให้บอกมาเลย ห้ามพูดโกหกนะ"
"เดี๋ยวงานกีฬาสีก็จะเริ่มขึ้นแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ นี่ถือเป็นบทลงโทษจากการทำความผิดโดยเจตนา"
"พี่ครับ อะไรคือทำความผิดโดยเจตนา" ซุ่ยซุ่ยทำหน้าสงสัยแล้วเอ่ยถามกลับไป
"ทำผิดโดยเจตนาก็คือ……….." เฉียวเหวยอีที่กำลังพูดอยู่นั้น ก็พลันหันไปเห็นชายคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดสูทและรองเท้าหนังกำลังยืนอยู่ห่างจากพวกเธอไม่มากนัก และกำลังจ้องมองมาที่เธอและซุ่ยซุ่ยอย่างเงียบๆ ไม่วางตา
การทำผิดโดยเจตนาก็คือการที่เธอรู้อยู่แก่ใจดีว่าลี่เย่ถิงดูถูกเหยียดหยามเธอและเกลียดเธอ แต่ก็เพราะว่าเธอมักจะใจอ่อนต่อเด็กคนนี้อยู่เสมอ ถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งเธอไม่มาควรอยู่แบบนี้
ในเมื่อลี่เย่ถิงก็มาแล้ว ถ้าอย่างงั้นเธอก็ควรที่จะไปได้แล้ว
เธออุ้มซุ่ยซุ่ยลงจากตักในทันที หมุนตัวหันไปหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วจึงเตรียมตัวที่จะออกไปจากที่นี่
แต่ทันทีที่เริ่มสาวเท้าเดินออกไปได้เพียงก้าวเดียว ซุ่ยซุ่ยก็กลับยื่นมือมาดึงชายเสื้อของเธอเอาไว้ กอดขาของเธอเอาไว้แน่นอย่างน่าสงสาร "พี่ครับ อย่าไปเลย……."
"พี่มีธุระต้องไปทำ ในเมื่อคุณพ่อของหนูก็มาแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกหนูก็กลับไปด้วยกันเถอะ" เฉียวเหวยอีหันไปยิ้มให้กับซุ่ยซุ่ยอย่างอ่อนโยน
"เขาอยากร่วมงานกีฬาสี ก็อยู่เป็นเพื่อนหน่อยเถอะ" ลี่เย่ถิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ
"ฉันมีธุระ" เฉียวเหวยอีตอบกลับไปอย่างห้วนๆ โดยที่ไม่แม้แต่จะมองลี่เย่ถิง
การที่ไม่ทะเลาะกับลี่เย่ถิงต่อหน้าเด็ก ก็ถือได้ว่าเธอได้ยอมให้เขามากแล้ว