ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 63 เฉียนสุ่ยอี้เหริน
ถูกคนที่สถานะสูงกว่ากดขี่ ฮูหยินจ้าวตาเป็นประกายมองไปยังหัวจิ้ง ยกมือชี้ไปที่นางอย่างสั่นเทาและกล่าวว่า "เป็นเจ้า จะต้องเป็นเจ้าแน่"
เมื่อหัวจิ้งได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกไร้เหตุผลจึงขมวดคิ้วและพูดว่า "ท่านหมายความว่าอย่างไร? ข้าอะไร?"
ฮูหยินจ้าวสงบลงแล้ว สายตาของนางหนักแน่นมากและกล่าวว่า "นอกจากเจ้า ในจวนนี้จะยังมีใครสถานะสูงไปกว่าอิ๋งเจี๋ยอีกเล่า ตั้งแต่เขาแต่งงานกับเจ้าก็ถูกเจ้าสั่งให้ย้ายเข้าไปอยู่ในจวนองค์หญิง ถูกกดดันไปเสียทุกอย่าง จะต้องเป็นเจ้าอย่างแน่นอน"
หัวจิ้งจึงได้เข้าใจว่าฮูหยินจ้าวหมายความว่าอย่างไร นางยิ้มเย็น "เสียแรงที่ข้าเรียกท่านว่าแม่มาเสียตั้งนาน ยามปกติท่านปฏิบัติต่อข้าอย่างถากถางดูถูกและวางอำนาจต่อข้ามาตลอด วันนี้ฟังคำพูดข้างเดียวของพระที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่แยกแยะผิดถูกเอาความผิดทั้งหมดมาลงที่ข้า ลูกของท่านก็ยังไม่เป็นไร ท่านเชื่อในคำพูดของพระนี่ขนาดนี้ เขาต่างหากที่กำลังสาปแช่งบุตรชายของท่าน"
หยุนชางได้ยินถ้อยคำนั้นจึงรีบก้าวไปข้างหน้า "ฮูหยิน ศิษย์พี่เพียงแต่ทำนายไปตามอักษรเท่านั้น นอกจากนี้ตอนนี้ท่านราชบุตรเขยก็อยู่ในสนามรบไกลออกไปที่ชายแดน จะถูกเสด็จพี่กดขี่ไปได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นพวกเราลองส่งคนไปที่ชายแดนเพื่อสอบถามสถานการณ์ของเขาแล้วค่อยวางแผนระยะยาว ท่านคิดว่าอย่างไร?"
ฮูหยินจ้าวมองหัวจิ้งด้วยสายตาแหลมคม เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนชางก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา สะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินออกจากห้องอาหารไป
"เสด็จพี่ ฮูหยินใหญ่เพียงแค่รักลูกชายของนางมากเท่านั้น ท่านอย่าคิดมากไปเลย ข้าจะออกไปส่งศิษย์พี่อู๋ตี้ก่อน ข้าก็ไม่รู้ว่าจะสืบข่าวสานการณ์ในสนามรบอย่างไร ไม่เช่นนั้นเสด็จพี่ลองไปขอร้องเสด็จแม่ให้นางหาคนไปสอบถามเรื่องท่านราชบุตรเขย เพื่อทำให้คนสบายใจ" หยุนชางจับเสื้อผ้าของหัวจิ้งเบาๆและพูดอย่างนุ่มนวล
หัวจิ้งแค่นเสียงพูดอย่างเย็นชา "ข้าต้องให้คนไปถามข่าวคราวของจ้าวอิงเจี๋ยมาอยู่แล้ว พอถึงเวลานั้นให้นางดูสิว่าใครถูกใครผิดกันแน่" หลังจากพูดจบ นางก็หันหลังกลับออกไปจากห้องอาหารเช่นกัน
หยุนชางมองไปที่แผ่นหลังของหัวจิ้ง ดวงตาของนางมีแววขบขัน จนกระทั่งแผ่นหลังของหัวจิ้งค่อยหายลับไป นางหันกลับมาและพูดกับอู๋ตี้ว่า "ขอโทษนะเจ้าคะ ศิษย์พี่อู๋ตี้"
อู๋ตี้พนมมือเข้าหากันและให้พร "อมิตตาพุทธ บาปกรรม บาปกรรม"
หยุนชางยิ้มบางๆ "ชางเอ๋อร์ส่งศิษย์พี่กลับไปดีกว่า"
หยุนชางพาอู๋ตี้ออกมาจากจวนองค์หญิงและบอกลาเขา แล้วหันไปมองดูจวนองค์หญิงอันหรูหราตระการตาท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สะท้อนเข้ามา ที่ประตูจวนเขียนว่า "จวนองค์หญิงซีผิง" ฉิงยีและเฉี่ยนอินมองตามสายตาของหยุนชางไป เฉี่ยนอินกระพริบตาและยิ้มว่า "องค์หญิง จวนองค์หญิงของท่านควรชื่อ'จวนองค์หญิงจินหลิง' นะเพคะ ปกติจวนขององค์หญิงจะตั้งชื่อตามศักดิ์ เมื่อคิดถึงตอนแรกที่องค์หญิงหัวจิ้งเห็นแผ่นป้ายนี้เข้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย ฮ่าฮ่า"
"ซนจริง" หยุนชางหันไปมองเฉี่ยนอินแล้วพูดยิ้มๆ "ในเมื่อวันนี้ออกมาแล้ว ไปเดินเล่นในเมืองเสียหน่อยดีกว่า ข้ากลับมาที่วังนานแล้วแต่ข้ายังไม่เคยไปเดินเล่นในเมืองเลย"
ฉิงยีพยักหน้า "ตอนที่กลับวังมามองดูผ่านรถม้าที่วิ่งอย่างเร่งรีบ รู้สึกว่าทุกวันนี้ในเมืองรุ่งเรืองกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้คนอยากลองไปสัมผัสดูอย่างละเอียด ข้าจะไปบอกพ่อบ้านก่อนนะเพคะ"
หยุนชางพยักหน้า "ไปเถอะ ข้ากับเฉี่ยนอินจะรอเจ้าอยู่ที่นี่"
หลังจากฉิงยีไปรายงานพ่อบ้านแล้วจึงไปเดินเล่นบนถนนด้วยกัน ทั้งสามคนไม่คุ้นเคยกับเมืองนัก ดังนั้นพวกนางจึงทำได้เพียงเดินดูของไปรอบๆพลางซื้อของเล็กๆน้อยๆอยู่ราวครึ่งวัน
ในขณะที่นางกำลังเดินเล่นอยู่ เฉี่ยนอินก็พูดขึ้นว่า "องค์หญิง ออกจากวังคราวนี้ท่านไม่ได้นำเสื้อผ้ามามากนัก ช่วงสองสามวันนี้เย็นลงแล้ว ตรงนั้นมีร้านเสื้อผ้าอยู่พอดี เข้าไปดูข้างใน สั่งทำเสื้อผ้าใหม่กันหน่อยไหมเพคะ?"
หยุนชางมองไปยังร้านที่เฉี่ยนอินชี้ไป "เฉียนสุ่ยอี้เหริน?" หยุนชางพึมพำเบาๆ รอยยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง "ก็ดีเหมือนกัน อีกไม่กี่วันเสด็จพี่ก็จะจัดงานเลี้ยงเล็ก ข้าจะทำให้นางขายหน้าไม่ได้ เสื้อผ้าควรตัดชุดใหม่จึงจะดีที่สุด เสด็จพี่ยุ่งวุ่นวายกับงานเลี้ยงอยู่ตลอด หากข้าเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างเรื่องเสื้อผ้าไปรบกวนนางอีกคงจะไม่ดีแน่ ไปกันเถอะ"
หยุนชางพาฉิงยีและเฉี่ยนอินเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้านั้น เสี่ยวเอ้อในร้านจึงรีบเข้ามาต้อนรับ "ทั้งสามท่านสนใจเสื้อผ้าแบบไหน วันนี้พวกเรามีแบบใหม่ด้วยนะ"
เฉี่ยนอินมองไปรอบๆ หยิบเงินชิ้นเล็กๆออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้เสี่ยวเอ้อ "คุณหนูของเราต้องการผ้าที่ดีที่สุดและสั่งตัดชุดเป็นพิเศษ ข้าเห็นว่าแบบชุดที่นี่ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย เรียกเจ้าของร้านของเจ้าออกมาเถอะ พวกเราจะได้คุยว่าพวกเราต้องการแบบไหน"
เสี่ยวเอ้อรีบรับเงินก้อนนั้นเก็บลงมาในแขนเสื้อแล้วยิ้มอย่างจริงใจ "ทั้งสามท่านรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปตามเจ้าของร้านมาให้เดี๋ยวนี้" เขาพูดพลางหันหลังเปิดม่านด้านข้างแล้วเข้าไป
ทันทีที่เสี่อวเอ้อจากไป ทั้งสามคนก็มองไปมาในร้านอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ได้ยินเสียงยั่วยวนของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น "ไม่ทราบว่าทั้งสามท่านต้องการแบบไหนหรือ โปรดบอกให้ข้ารู้ได้ไหมเจ้าคะ?"
หยุนชางหันกลับมาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดสีน้ำเงินยืนอยู่ที่ประตูมองมาที่พวกนางด้วยรอยยิ้ม หยุนชางจึงยิ้มและพูดว่า "ไม่ต้องลำบากเช่นนั้นหรอก ข้าว่าชิ้นนั้นก็ดูไม่เลวนัก เพียงแต่ลายปักซับซ้อนเกินไปเล็กน้อย ข้าอยากได้อะไรที่เรียบกว่านี้หน่อย เจ้าไปเอาชุดนั้นมาให้ข้าลองสวมดูก่อนเถอะ ถ้าใช้ได้ก็เอาอย่างนี้แหล่ะ"
หญิงคนนั้นรีบไปเอาชุดที่หยุนชางชี้และเดินเข้ามา "เช่นนั้นก็เชิญคุณหนูตามข้ามาลองชุดที่ด้านใน"
หยุนชางพยักหน้าตอบ "ตกลง พวกเจ้ารออยู่ด้านนอกเถอะ ข้าไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็มา"
เมื่อฉิงยีและเฉี่ยนอินรับคำ หยุนชางจึงเดินตามผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในห้องชั้นใน ทันทีที่นางเดินเข้าไปในห้อง หญิงคนนั้นก็คุกเข่าลง "เฉียนสุ่ยคารวะนายท่าน"
หยุนชางยิ้มและช่วยพยุงนางขึ้น "เจ้าซ่อนตัวอยู่ในเมืองมานานหลายปีได้ไม่เลวเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเฉี่ยนอินเตือนข้า ทำให้มองเห็นป้ายร้านของเจ้า เกรงว่าแม้แต่ข้าก็คงไม่รู้เหมือนกัน ไม่กี่วันก่อนหนิงเชียนสั่งอะไรเจ้ามาบ้าง?"
เฉียนสุ่ยรีบพูด "ตอบนายท่าน พี่ใหญ่บอกว่าให้พวกเราไปที่ชายแดน เฉียนสุ่ยได้ให้คนไปที่นั่นแล้วไปในนามของการซื้อสินค้า"
หยุนชางพยักหน้าและกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นหนิงเชียนคงได้รับภารกิจแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ค่อยสะดวกที่จะพบกับหนิงเชียน ในตอนนี้มีคนตามข้าเป็นหาง เจ้าช่วยนำคำของข้าไปบอกหนิงเชียนหน่อย บอกว่าคนที่ข้าขอให้นางจับตาดู ให้นางช่วยเขาอย่างเงียบในช่วงเวลาวิกฤติ เพียงแค่ยังไม่ตายก็พอแล้วและส่งมายังเมืองหลวงอย่างลับๆ ข้าเก็บมันไว้ยังมีประโยชน์"
เฉียนสุ่ยพยักหน้าเล็กน้อย "เชียนสุ่ยเข้าใจแล้ว หางข้างหลังของนายท่าน ต้องการให้เฉียนสุ่ยช่วยจัดการให้หรือไม่?"
หยุนชางส่ายหัว "ไม่ต้อง เกรงว่าจะทำให้เจ้าต้องเผยตัว ข้าไม่เป็นไร มาช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ หากออกไปช้าเกรงว่าหางจะเริ่มสงสัย"