ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 62 ฮูหยินจ้าวเสี่ยงดวงชะตา
ช่วยหรือ? ดวงตาของหยุนชางเปล่งประกาย นี่มันช่างหายากจริงๆ ที่ผ่านมาองค์หญิงหัวจิ้งมีท่าทีสูงส่งมาตลอด นางต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเมื่อไหร่กัน?
หยุนชางคิดเรื่องนี้และยิ้มเล็กน้อย "ทำไมเสด็จพี่ถึงได้ทำตัวเกรงใจข้าเช่นนี้เล่า มีเรื่องอะไรบอกข้ามาก็พอแล้ว หากมันอยู่ในความสามารถของชางเอ๋อร์แล้ว ชางเอ๋อร์จะทำให้ดีที่สุด"
หัวจิ้งหัวเราะ "ดูเจ้าพูดเข้าสิ เหมือนกับข้าจะอยากให้เจ้าไปฆ่าคนหรือวางเพลิงอย่างนั้นล่ะ อันที่จริงมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ก็คือ เจ้าก็รู้ใช่ไหม คราวที่แล้วในพิธีบรรลุนิติภาวะของเจ้า เป็นเพราะถุงหอมนั่น ทำให้ข้ากับโม่จิ้งหรานถูกคนเข้าใจผิด ต่อมาข้าส่งคนไปถามเขา เขาบอกว่านางกำนัลที่อยู่ข้างพระสนมซู่เป็นคนมอบให้เขา บอกว่าเจ้าเป็นคนมอบให้เขา เขาประทับใจในตัวเจ้าเสมอมาจึงเชื่อไปเช่นนั้นและพกมันติดตัวไว้เสมอ ข้าไม่รู้ว่าพระสนมซู่มีถุงหอมของข้าได้อย่างไร แล้วทำไมจึงหลอกเขาว่านั่นเป็นของเจ้า อย่างไรนางก็เป็นสนมของเสด็จพ่อ ข้าจึงไม่อยากไปยุ่งกับนาง เพียงแต่เพราะเรื่องนั้นข้าจึงได้ถูกกล่าวหาว่าข้ายั่วยวนโม่จิ้งหราน ไม่ทำตามบัญญัติสตรี อย่างไรข้าก็ได้แต่งงานแล้ว ข่าวลือวุ่นวายเหล่านี้ทำร้ายจิตใจเกินไปแล้วจริงๆ"
"หา? มีคนพูดเช่นนี้ด้วยหรือ? คนเหล่านี้ต้องการอะไรกันแน่?" หยุนชางเบิกตากว้าง
หัวจิ้งถอนหายใจ "จะทำอย่างไรได้ล่ะ ปากของคนอื่นก็อยู่ที่ร่างของคนอื่น แม้ว่าข้าจะเป็นถึงองค์หญิง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปปิดปากผู้คนห้ามไม่ให้พวกเขาพูด" พูดแล้วนางก็หันตัวกลับมามองหยุนชางพลางยิ้มและกล่าวว่า "เป็นเพราะเรื่องนี้ ข้าจึงอยากให้เจ้าช่วยอะไรเล็กน้อย"
หยุนชางพยักหน้า "เสด็จพี่อยากให้ชางเอ๋อร์ทำอะไรเหรอ?"
หัวจิ้งครางในลำคออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบอกว่า "ในงานเลี้ยงอีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้าก็เชิญโม่จิ้งหรานมา หากข้าไม่เชิญเขามา คนอื่นๆก็ต้องบอกว่าข้ามีเรื่องต้องปิดบังแน่ๆ แต่ว่าข้าเองก็ไม่สะดวกที่จะอยู่ใกล้เขานัก ดังนั้นข้าจึงอยากรบกวนเจ้าช่วยข้าต้อนรับโม่จิ้งหรานตอนงานเลี้ยงหน่อย"
ร่างของหยุนชางชะงักไปเล็กน้อย ในใจนางเข้าใจทันที "ชางเอ๋อร์นึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก ที่แท้เรื่องนี้นี่เอง เสด็จพี่วางใจได้ ชางเอ๋อร์จะทำเรื่องที่เสด็จพี่มอบหมายให้อย่างเรียบร้อย"
หัวจิ้งได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความยินดี "ข้าขอบใจเจ้ามาก"
ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุข ทันใดนั้นก็มีเสียงสาวใช้ดังขึ้นข้างหลัง "องค์หญิง ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันแล้วเพคะ นี่เป็นวันแรกของปีใหม่ ควรไปที่ห้องอาหารเพื่อรับประทานข้าวร่วมกับฮูหยิน"
หัวจิ้งพยักหน้า "กฎของจวนนี้คือต้องไปกินอาหารร่วมกับฮูหยินในวันที่หนึ่งถึงวันที่สิบห้าของช่วงปีใหม่ พวกเราไปกันก่อนเถอะ"
หยุนชางพยักหน้าและเดินไปที่ห้องอาหารพร้อมกับสาวใช้และหัวจิ้ง เมื่อมาถึงห้องอาหารแล้ว ฮูหยินใหญ่ยังมาไม่ถึง หัวจิ้งก็งสั่งให้เอาอาหารมาเสิร์ฟก่อน เมื่ออาหารตั้งเต็มโต๊ะแล้วฮูหยินใหญ่ก็เดินเข้ามาทันที
"กินเถอะ" ฮูหยินใหญ่พูดอย่างเคร่งขรึมและเป็นผู้เริ่มขยับตัวขึ้นชามขึ้นมา
หยุนชางและหัวจิ้งจึงหยิบชามของพวกนางขึ้นมา กินไปได้สักพัก พ่อบ้านก็ยืนที่ประตูเห็นทั้งสามกำลังกินอาหารจึงไม่อยากรบกวน เขารอเงียบๆให้ทั้งสามกินข้าวก่อนจะก้าวไปข้างหน้า "รายงานท่านฮูหยินใหญ่ องค์หญิง มีพระมาบิณฑบาตอยู่หน้าประตูขอรับ"
"พระ?" หัวจิ้งขมวดคิ้ว "ตอนนี้มีพระหลอหลวงมาบิณฑบาตรไปทั่วเยอะเกินไปแล้ว ให้ข้าวเขาแล้วก็ไล่เขาออกไปเถอะ" พ่อบ้านกำลังจะรับคำและกำลังจะถอยออกไป แต่เขาได้ยินเสียงฮูหยินดังขึ้นก่อน "ไต้ซือท่านนั้นได้บอกหรือไม่ว่าเขามาจากวัดไหน?"
พ่อบ้านได้ยินดังนั้นก็หยุดฝีเท้าและโค้งตัวลงเล็กน้อย "ตอบฮูหยิน เขาบอกว่าเขามาจากวัดแคว้นหนิงขอรับ"
"วัดแคว้นหนิง?" ดวงตาของฮูหยินใหญ่จ้าวกวาดมองหยุนชางอย่างเรียบเฉย
หยุนชางก็เงยหน้าขึ้นมองดูพ่อบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเล็กน้อย "หืม? วัดแคว้นหนิง ไม่ทราบว่าเป็นศิษย์พี่คนใด?"
"เช่นนั้นก็เชิญเขาเข้ามาดูหน่อยเถอะ" ฮูหยินใหญ่จ้าวกล่าว น้ำเสียงแผ่วเบาแต่มีความน่าเกรงขามที่ไม่อาจต้านทานได้
หัวจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย นางหันตัวกลับมาแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ท่านแม่ ตอนนี้มีพระปลอมมากมาย ท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถ้าถูกหลอกก็คงจะไม่ดีแน่"
ฮูหยินจ้าวเหลือบมองหัวจิ้ง "หากพระท่านนั้นบอกว่าเขามาจากวัดอื่น ข้าคงไม่สนใจอย่างแน่นอน แต่นี่คือวัดแคว้นหนิง วัดแคว้นหนิงเป็นวัดประจำชาติ ปรมาจารย์ทุกท่านเป็นไต้ซือแห่งพระพุทธศาสนา นอกจากนี้องค์หญิงฮุ่ยกั๋วก็เคยอยู่ในวัดแคว้นหนิงมาเป็นเวลาหลายปี เพียงแค่ชำเลืองมองปราดเดียว องค์หญิงฮุ่ยกั๋วก็สามารถรู้ได้ว่าจริงหรือเท็จ"
หยุนชางยิ้มและพยักหน้า "แน่นอน ศิษย์ในวัดแคว้นหนิงข้าเคยพบมาหมดแล้ว"
เมื่อเห็นว่าหัวจิ้งไม่ได้สั่งอะไรเพิ่มเติม พ่อบ้านจึงรีบรับคำและถอยออกไป จากนั้นไม่นานก็พาพระภิกษุหัวโล้นมาด้วย ท่าทางสง่างามดูไม่ธรรมดา เมื่อเข้ามาถึงห้องอาหารก็ประสานมือและให้พร "อมิตตาพุทธ อาตมาคืออู้ตี้ ยินดีที่ได้พบโยมทั้งสาม"
เมื่อหยุนชางเห็นพระรูปนี้ นางก็ยืนขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม "ที่แท้เป็นศิษย์พี่อู้ตี้นี่เอง ลงจากเขามาได้ยังไงเจ้าคะ?"
อู้ตี้ยิ้มบางๆ "องค์หญิงก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ อาตยาเข้าอยู่ในวัดมาสามปีแล้ว ถึงเวลาต้องลงจากเขาเพื่อฝึกประสบการณ์แล้ว ดังนั้นท่านเจ้าอาวาสจึงส่งพวกเราลงมา"
"เป็นเช่นนี้นี่เอง" หยุนชางยิ้มเล็กน้อย หันไปหาฮูหยินจ้าวและหัวจิ้งแล้วกล่าวว่า "ไม่ผิดหรอก เป็นคนจากวัดจริงๆ ศิษย์พี่อู๋ตี้ขึ้นไปบนภูเขาเมื่อสามปีที่แล้วและฝากตัวเป็นศิษย์ใหญ่ของเจ้าอาวาสอู๋น่า คอยดูแลพระไตรปิฎกอยู่ที่หอพระไตรปิฎก ข้ามักจะไปที่หอพระไตรปิฎกเพื่อคัดพระคัมภีร์อยู่บ่อยๆจึงได้พบกันหลายครั้งแล้ว
"หอพระไตรปิฎก? ได้ยินมาว่าที่หอพระไตรปิฎกของวัดแคว้นหนิงจะเลือกผู้ที่มีศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุด ลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดมาดูแล คิดว่าท่านคงต้องทำผลงานให้แก่วัดมาก ได้โปรดช่วยโปรดข้าสักเล็กน้อยเถิด" ฮูหยินจ้าวได้ยินดังนั้น ดวงตาของนางก็เปล่งประกายระยิบระยับ
อู้ตี้จึงรีบกล่าวว่า "อมิตตาพุทธ เจ้าอาวาสส่งอาตมาลงมาเพื่อฝึกฝนตนเอง ไม่ใช่เพื่อให้อาตมาจมสู้ความความเพลิดเพลิน โปรดยกโทษให้อาตมาที่ไม่สามารถยอมรับคำขอของท่านได้"
ฮูหยินจ้าวได้ยินดังนั้นก็ดูผิดหวังเล็กน้อย แววตานางหม่นลงครู่หนึ่งก็ยิ้มอีกครั้ง "ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าพระที่วัดแคว้นหนิงชำนาญในการทำนายเป็นอย่างดี ในปีนั้นท่านเจ้าอาวาสอู๋น่าเป็นคนคำนวณวันที่ฝนตกให้องค์หญิงฮุ่ยกั๋ว ข้ามีคำขอร้อง ในเมื่อท่านอาจารย์ไม่สะดวกที่จะอยู่ในจวน ข้าขอให้ท่านช่วยเสี่ยงทายดวงชะตาให้หน่อยได้หรือไม่"
เมื่อได้ยินดังนั้น อู้ตี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า "ใด้ โยมบอกมาเถอะ"
ฮูหยินจ้าวสั่งให้คนนำพู่กันและกระดาษมา นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเขียนอักษรคำว่า "ปาก" ลงในกระดาษ "ข้าอยากให้อ่านอาจารย์ทำนายให้ข้าหน่อย ต่อไปในอนาคตครอบครัวของข้าจะปลอดภัยดีหรือไม่"
อู๋ตี้มองดูเล็กน้อย เขายกพู่กันขึ้นและเขียนอักษรคนลงตรงกลางอักษรปากที่ฮูหยินจ้าวเขียน เขาเงยหน้ามองฮูหยินจ้าว "ปาก ท่านฮูหยินเขียนคำว่าปากนี้และอยากถามเรื่องครอบครัว ในอักษรปากนั้นเมื่อเติมอักษรคนลงไปความหมายกลายเป็นนักโทษ คนที่โยมนึกถึงสถานการณ์ของเขาอาจจะไม่ค่อยดีนัก"
เมื่อฮูหยินจ้าวได้ยินดังนั้น ใบหน้าของนางก็ซีดลงทันที "แล้วข้าจะช่วยลูกชายของข้าได้อย่างไร?"
อู๋ตี้มองไปที่คำว่านักโทษบนกระดาษ "หากท่านอยากช่วยคนที่อยู่ในปากนี้ก็ต้องเอาคำว่าปากออก บุตรชายของท่านคงเป็นผู้ที่จะได้ทำการใหญ่ แต่เขาติดอยู่ในกรอบนี้ซึ่งหมายความว่าเขาถูกกดขี่โดยคนที่มีสถานะสูงกว่า บุคคลผู้นี้ไม่เพียงแต่จะกดขี่เขาเท่านั้น แต่จะยังนำภัยหายนะจนถึงแก่ชีวิตมาสู่เขาด้วย"