ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 533 กลับจวนกันเถอะ
เมื่อพูดไปได้เพียงครึ่งหนึ่งก็ถูกเสียงของเซี่ยหวนอวี่ดังขึ้นขัด “เสิ่นซู่เฟยให้นางกำนัลเอาผงห้าศิลาเข้าวังแล้วยังพยายามให้ท่านชายน้อยกินเพื่อรักษาอาการป่วย มีโทษร้ายแรงนัก นำนางไปขังไว้ที่ตำหนักอู๋เหยียน ห้ามผู้ใดเข้าพบ”
ตำหนักอู๋เหยียนจึงกลายเป็นตำหนักเย็นไป
ฮองเฮามีสีหน้าตกตะลึงไปเล็กน้อย เมื่อพิจารณาจากหลักฐานที่มีอยู่แล้ว โทษของซู่เฟยไม่ได้มีเพียงสองประการเท่านั้น หนำซ้ำนี่ยังเป็นข้อหาที่เบาที่สุดอีกด้วย ซู่เฟยนำผงห้าศิลาเข้าวังมาและใช้มันทำให้วังหลังยุ่งวุ่นวายโดยหมายจะใช้มันสังหารฝ่าบาทและท่านชายน้อยยและยังสมคบคิดกับทหารองครักษ์เพื่อนสังหารพระชายารุ่ยอ๋องอีกด้วย
เมื่อโทษเหล่านี้รวมกันแล้ว ใช้ม้าแยกร่างจึงจะเหมาะสม แต่ฝ่าบาทกลับเพียงขับนางเข้าตำหนักเย็นเท่านั้น
สายตาของฮองเฮาจับจ้องไปที่เซี่ยหวนอวี่อย่างลังเล แต่ก็เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างอันเย็นชาของเขา สีหน้านั้นราบเรียบไร้อารมณ์ราวกับจะผลักไสผู้คนให้ห่างออกไปเกินพันลี้
ฮองเฮาครุ่นคิดอยู่นานและในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น “ฝ่าบาท…”
ก่อนที่จะพูดจบ นางก็ถูกเซี่ยหวนอวี่ขัดจังหวะขึ้นอีกครั้ง “วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว ตอนนี้หยุนซีก็ยังไม่ฟื้น เจ้ารีบกลับตำหนักเว่ยยางไปดูเถิด เป็นเจ้าที่ต้องการนำหยุนซีมาที่วัง แต่หลังจากมาแล้วกลับมีแต่เรื่องเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน หากเจ้าไม่อาจปกป้องหยุนซีให้ดีได้ เจิ้นคิดว่าให้หยุนซีอยู่เฝ้าต่อที่สุสานหลวงจะดีกว่า”
หยุนชางหลุบตาลงฟัง เกรงว่าเซี่ยหวนอวี่คงจะพบอะไรเข้าให้แล้วและรู้แล้วว่าฮองเฮาได้เอาชีวิตของหลานชายมาเสี่ยงเพื่อกำจัดนาง
ฮองเฮาถูกคำของเซี่ยหวนอวี่ทำให้พูดไม่ออก ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็แย่ลง นางนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหรี่ตาลงแล้วลุกขึ้นยืนพลางคิดในใจว่า อย่างไรเสิ่นซู่เฟยผู้นั้นก็ถูกไล่เข้าตำหนักเย็นแล้ว นางไม่เชื่อว่านางจะกำจัดนางสนมผู้ไร้อำนาจที่อยู่ในตำหนักเย็นไม่ได้?
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น ย่อกายทำความเคารพเซี่ยหวนอวี่แล้วจึงออกจากตำหนักไป
เซี่ยหวนอวี่มองไปยังหยุนชางที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่นานก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “เจิ้นจัดการเช่นนี้ เจ้ามีอะไรไม่พอใจหรือไม่?”
หยุนชางส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาททรงพระปรีชาย่อมต้องมีความคิดของพระองค์เอง ฝ่าบาทจัดการเรื่องต่างๆ ย่อมต้องยึดถือผลประโยชน์ของแผ่นดินเป็นหลัก แม้หม่อมฉันจะเป็นเพียงสตรี ต่อให้ต้องรับความอยุติธรรมมากแค่ไหนก็เข้าใจเพคะ”
เซี่ยหวนอวี่ได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งไปนานก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้าน่ะหรือ ต่อให้ต้องรับความอยุติธรรมมากเพียงใดหรือ แต่เรื่องนี้ก็นับว่าไม่ยุติธรรมต่อเจ้านัก เจ้าว่ามาเถอะว่าต้องการให้ข้าชดใช้อย่างไร”
หยุนชางยิ้มบางๆ และเงยหน้าขึ้น นางเงียบไปครู่ใหญ่แล้วจึงเอ่ยว่า “ในบรรดาหญิงสาวที่เข้าร่วมการคัดตัวในครั้งนี้มีหญิงผู้หนึ่งชื่อว่าหลินโยวหราน นางทั้งเก่งทั้งสวยและฉลาดเฉลียว ขอให้ฝ่าบาทใส่ใจนางเป็นพิเศษเพคะ”
เซี่ยหวนอวี่เลิกคิ้ว “ข้าคิดว่าเจ้าจะขออะไรให้ตัวเองเสียอีก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะขอร้องให้กับอนาคตของหญิงคัดตัว สิ่งที่เจิ้นไม่ชอบที่สุดก็คือวังหลังนั้นซับซ้อนเกินไป”
“ฮะๆๆ…” หยุนชางอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดนั้น “คำพูดของฝ่าบาทช่างน่าขบขันนัก ในวังหลังมีสตรีมากมาย ต่างก็ว่ากันว่าสตรีอยู่ด้วยกันสามคนก็ได้ละครหนึ่งฉาก ข้าร้องท่านรำ ฝ่าบาทเป็นผู้ที่ไม่ได้ดูละครเหล่านั้นบ่อยนัก ยังนึกว่าวังหลังนั้นจะสงบสุขได้อีกหรือเพคะ? หากต้องการทำให้เรื่องง่ายขึ้นก็ต้องให้ผลประโยชน์ของทุกฝ่ายสมดุลกัน ตอนนี้ซู่เฟยไร้อำนาจชั่วคราว อย่างไรก็ต้องมีคนขึ้นมาแทนที่ มิฉะนั้นหากวังหลังกลายเป็นของฮองเฮาแต่เพียงผู้เดียว นั่นก็คงไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาทต้องการอย่างแน่นอน ”
“บังอาจ!” เซี่ยหวนอวี่ตบลงที่ที่เท้าแขนอย่างแรง เขาลุกขึ้นยืนและจ้องมองหยุนชางอย่างเย็นชา หยุนชางตกใจมาก แต่นางก็ยังสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว นางรู้ว่าหากนางยอมถอยในเวลานี้เกรงว่าต่อไปจะบรรลุเป้าหมายได้ยาก
“วันเวลาที่หม่อมฉันตามรุ่ยอ๋องมายังเมืองจิ่นนั้นช่างน้อยนักและรากฐานยังไม่มั่นคง ตอนนี้ถูกคนจำกัดและเล่นงานไปเสียทุกย่างก้าว อย่างไรนี่ก็คงเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทไม่ต้องการเห็นเช่นกัน แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงประสงค์ทดสอบท่านอ๋อง อย่างน้อยก็ต้องให้เขามีพื้นฐานระดับเดียวกันกับผู้อื่น หากแม้ไม่อาจเริ่มจากจุดเดียวกันนั้นได้ก็ไม่ควรห่างชั้นกันได้มากนัก หากห่างไกลกันเกินไปท่านอ๋องจะตกอยู่ในอันตรายจริงๆ หม่อมฉันไม่ได้ขอร้องให้ฝ่าบาททรงคุ้มครองเขาไปเสียหมด บางเรื่องเราก็ต้องกระทำเอง เพียงแต่ถ้าหากฝ่าบาทยินยอมช่วยเหลือก็คงจะดีไม่น้อยเลยเพคะ” เสียงของหยุนชางสงบนิ่ง สายตาของนางไม่สั่นคลอน
เซี่ยหวนอวี่มองดูหญิงสาวที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงที่อยู่กลางตำหนัก แม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูเฉยเมย แต่ดวงตาของเขากลับแฝงแววชื่นชมจางๆ หลังจากนิ่งเงียบไปนาน เซี่ยหวนอวี่ก็นั่งลงและพูดอย่างเรียบเฉย “ใกล้จะถึงยามไฮ่แล้ว รุ่ยอ๋องรอเจ้าอยู่ด้านนอกนาแล้ว เจ้ากลับจวนไปกับเขาก่อนเถอะ”
หยุนชางได้ยินเช่นนั้น หัวใจของนางก็สั่นไหว มุมปากไม่อาจกลั้นยิ้มไว้ได้ นางย่อกายทำความเคารพเซี่ยหวนอวี่ “เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลาเพคะ” นางกล่าวพลางรีบลุกขึ้น รอให้นางกำนัลเปิดประตูแล้วจึงรีบออกไปอย่างแทบอดรนทนไม่ไหว
ลั่วชิงเหยียนรออยู่บันไดด้านนอกตำหนักจริงๆ เขาหันหลังให้ตำหนักราวกับกำลังเงยหน้ามองดูท้องฟ้าอยู่ หยุนชางเงยหน้ามองตามเขา ใกล้ถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำแล้ว ดวงจันทร์ในท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างเป็นดวงกลมโต มีส่วนน้อยๆ เท่านั้นที่ยังไม่ได้ถูกเติมเต็ม แสงจันทร์อ่อนๆ ทอดลงมาบนร่างของลั่วชิงเหยียน ทำให้ร่างของเขาราวกับจะเรืองแสงจางๆ
ราวกับว่าเขารู้สึกได้ถึงสายตาของหยุนชาง ร่างของลั่วชิงเหยียนชะงักไป จากนั้นเขาก็ถอนสายตาที่มองท้องฟ้ายามราตรีหันกลับมามองหยุนชาง
หยุนชางเห็นว่าชายในชุดสีน้ำเงินยกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ เสียงของเขาอ่อนโยนจนแทบไม่น่าเชื่อ “มองอะไรอยู่หรือจึงได้เหม่อลอยเช่นนั้น? ตอนนี้ดึกมากแล้ว กลับจวนกันเถอะ”
หยุนชางรู้สึกว่าขอบตาของนางร้อนผ่าว แต่นางก็รีบฉีกรอยยิ้มงดงามออกมาอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “เพคะ กลับจวนกันเถอะ”
ในใจของนางคิดไปว่า เกรงว่าในชาตินี้ในสายตาของนางคงมีเขาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
ทันทีที่ขึ้นรถ สีหน้าของลั่วชิงเหยียนกลับเปลี่ยนไป เขามองดูหยุนชางด้วยสีหน้าเย็นชาและขมวดคิ้วมุ่น “ไม่ใช่ว่าเมื่อเจ้าเจอเรื่องอะไรยามที่อยู่ในคุกแล้วโยนของที่ข้าให้ไปลงกับพื้นก็จะมีสายลับไปช่วยเจ้าหรือ? ทุกอย่างที่ข้าพูดไปเจ้าลืมหมดเลยหรือ? ต่อไปหากไม่มีสายลับคุ้มกันถึงสี่สิบนายเจ้าก็อย่าได้ออกจากจวนอีกเลย ที่พระราชวังนั้นสายลับเหล่านี้เคลื่อนไหวลำบาก เจ้าต้องมีข้าไปเป็นเพื่อนจึงจะไปได้”
หยุนชางมองเขาตาโต นางหัวเราะคิกคักแล้วจึงเอนกายพิงเขาเพื่อที่จะทำไม่รู้ไม่ชี้ให้เรื่องนี้ผ่านไป แต่ลั่วชิงเหยียนกลับคว้าเสื้อผ้าของนางไว้แล้วดึงนางออก “หือ?”
“ลืมไปแล้ว” หยุนชางพูดเสียงอ่อย นางกะพริบตาปริบๆ หลายครั้งก่อนจะยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “ท่านบอกว่าไม่อาจเข้าวังได้ แต่ท่านอ๋องเป็นบุรุษ จะเข้าไปยังวังหลังตามอำเภอใจไม่ได้…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ ลั่วชิงเหยียนก็ขัดขึ้น “งั้นก็ไม่ต้องไป”
หยุนชางมองลั่วชิงเหยียนด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขายังคงทำสีหน้าเคร่งขรึมใส่นางอยู่สักพักแล้วจึงถอนหายใจอย่างช้าๆ แล้วคว้าหยุนชางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “เจ้าเป็นเช่นนี้ตลอด ตั้งแต่ที่ข้าได้พบเจ้า ข้ามักถูกเจ้าทำให้อกสั่นขวัญแขวนครั้งแล้วครั้งเล่า เกรงว่าข้าคงจะอายุสั้นลงไปอีกหลายปี”
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว “อย่าได้เอ่ยเรื่องอัปมงคลเช่นนี้อีก”