ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 531 หมากที่ถูกทิ้ง
เซี่ยหวนอวี่เพียงชำเลืองมองเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้ว “เหมือนเจิ้นจะเคยเห็นคนผู้นี้ที่ตำหนักซู่หย่า” เขาพูดพลางหันไปหาขันทีที่อยู่อีกด้าน “เสี่ยวอันจื่อ เจ้าพาคนไปดูที่ตำหนักซู่หย่าเสียหน่อยและนำตัวคนผู้นี้มา”
หยุนชางเลิกคิ้ว ข้อความที่เขียนด้วยลายมือของซู่เฟยและยังมีเฉียนสุ่ยเป็นพยานการระบุตัว เสิ่นซู่เฟยควรจะเป็นผู้ที่น่าสงสัยที่สุด แต่เซี่ยหวนอวี่กลับไม่พูดว่าจะนำตัวนางมาซักไซ้ไล่เลียง เกรงว่าคงจะกำลังรอยามที่หลักฐานเพียงพอแล้วจึงออกราชโองการลงโทษนางโดยไม่ให้นางได้มีโอกาสแก้ตัวและเป็นโอกาสแก่ฮองเฮา
ฮองเฮากลับดูเหมือนจะมีท่าทีโล่งอก แต่สีหน้าของนางก็ยังดูไม่ค่อยดีนัก สายตาที่นางมองมาที่หยุนชางแฝงแววอาฆาตมาดร้ายจนทำให้หยุนชางยากที่จะทำเป็นไม่สนใจ
เวลาว่างขณะรอขันทีไปนำตัวคนในภาพมา หลิวเหวินอันก็กลับมาแล้ว ในมือถือของชิ้นเล็กๆ หลายชิ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันให้คนหลายคนดูเถ้าเครื่องหอมแล้ว พวกเขาต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันคือเครื่องหอมดอกท้อร่ำสุราซึ่งก็คือสิ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยหวนอวี่เหลือบมองและเอ่ยว่า “เครื่องหอมนี้ได้ส่งไปยังตำหนักใดบ้าง?”
หลิวเหวินอันรีบตอบว่า “วิธีทำเครื่องหอมดอกท้อร่ำสุรานี้ค่อนข้างซับซ้อน แต่ฤทธิ์กล่อมให้ใจสงบนั้นได้ผลดีนัก ที่วังหลังมีเพียงเสิ่นซู่เฟย หยุนกุ้ยเฟยและอดีตฮองเฮาที่ชอบใช้เครื่องหอมนี้พ่ะย่ะค่ะ”
มีเพียงสามคนเท่านั้นจึงยิ่งทำให้เรื่องราวดูชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก
“เช่นนั้นพวกเครื่องนอนก็มาจากตำหนักของตนเองเช่นกัน แต่ก็เป็นเพียงเครื่องนอนธรรมดาและหาอะไรไม่พบพ่ะย่ะค่ะ” หลิวเหวินอันตอบอีกครั้ง
เซี่ยหวนอวี่พยักหน้าเบาๆ และถามอีกครั้งว่า “การสอบสวนของผู้ที่ถูกนำตัวไปก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
หลิวเหวินอันจึงรีบส่งคนไปสอบถามทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่งราชองครักษ์ก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อนและคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าเซี่ยหวนอวี่ “กราบทูลฝ่าบาท ทั้งสามคนจากร้านยาจื่อเหยียนสารภาพว่ามีคนให้ทองคำสิบตำลึงแก่พวกเขาเพื่อให้ชี้ตัวพระชายารุ่ยอ๋อง เพียงแต่คนผู้นั้นสวมหมวกคลุมจึงไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ดูแล้วน่าจะเป็นผู้หญิง หม่อมฉันดูทองที่หญิงคนนั้นมอบให้พวกเขาก็เห็นเครื่องหมายของร้านแลกเงินฮุ่ยทง เงินหมุนเวียนในแต่ละวันของร้านแลกเงินฮุ่ยทงนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วนและยากมากที่จะตรวจสอบ”
เซี่ยหวนอวี่พยักหน้าและพูดอีกครั้งว่า “แล้วหลินลิ่วล่ะเป็นอย่างไร”
“หลินลิ่วยังไม่สารภาพ หม่อมฉันจึงได้ให้คนไปค้นบ้านของเขา พบว่าเด็กสองคนในครอบครัวของเขาหายไป พวกเขาถามภรรยาและแม่ของหลินลิ่วแล้วพวกเขาต่างก็บอกว่าหลินลิ่วจะส่งพวกเขาไปที่จวนของอา แต่เมื่อคนของหม่อมฉันไปถึงบ้านของทั้งสอง ทั้งคู่ก็บอกว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้” ผู้บัญชาการทหารองครักษ์ก้มศีรษะลงและพูดช้าๆ
หยุนชางครุ่นคิดเล็กน้อย “เกรงว่าคงจะมีคนจับลูกของเขาและใช้มันมาข่มขู่เขา”
เซี่ยหวนอวี่พยักหน้าและเรียกหลิวเหวินอันเข้ามากระซิบอะไรบางอย่าง หลิวเหวินอันจึงจากไปอย่างเร่งรีบอีกครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีทหารองครักษ์อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาและโยนนางกำนัลผู้หนึ่งลงบนพื้นอย่างแรง นางมีสีหน้าตื่นตระหนกอยู่หลายส่วนและเงยหน้าขึ้นมองดูสถานการณ์ในตำหนักก่อนจะกัดริมฝีปากของนางและยืดตัวขึ้นย่อกายทำความเคารพ “ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท ถวายพระพรเพคะฮองเฮา”
เซี่ยหวนอวี่เอ่ยถาม “เจ้าชื่ออะไร? เป็นคนของตำหนักใด?”
นางกำนัลรีบตอบ “หม่อมฉันชื่อหวายหมิ่น เป็นคนของตำหนักซู่หย่าเพคะ”
เซี่ยหวนอวี่หรี่ตาลง “เจ้าของร้านเฉียนสุ่ยอี้เหรินบอกว่าเจ้าเคยซื้อต่างหูคู่หนึ่งที่นั่นงั้นหรือ?”
หวายหมิ่นได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งไป นางรีบส่ายหน้าอย่างตื่นตระหนก “หม่อมฉันเปล่าเพคะ”
เฉียนสุ่ยได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยว่า “หม่อมฉันจำได้ว่าแม่นางหวายหมิ่นผู้นี้เคยมายามเว่ยเมื่อวานซืน นางสวมชุดสีเขียวอ่อนปักดอกมะลิเดินดูของไปรอบร้านและบอกว่าจะซื้อต่างหูคู่นี้ ต่างหูนี้ราคาหนึ่งร้อยสามสิบตำลึง แม่นางหวายหมิ่นให้เงินข้ามาสองร้อยตำลึง ข้าทอนเงินให้นางแปดสิบตำลึง ข้ายังจำได้อีกว่าที่แขนซ้ายของแม่นางหวายหมิ่นนั้นมีปานขนาดเท่านิ้วชี้อยู่”
ร่างของหวายหมิ่นสั่นเทา นางรีบหดมือกลับเข้าไปในแขนเสื้อ แต่กลับถูกดึงแขนเสื้อซ้ายขึ้นเผยให้เห็นปานสีดำขนาดเท่าปลายนิ้ว
“ไม่ใช่หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่เคยไป หม่อมฉันไม่เคยไป” หวายหมิ่นรีบดึงแขนเสื้อกลับมาปิดอย่างลุกลี้ลุกลนและตื่นตกใจ
เซี่ยหวนอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ไปตรวจสอบที่ประตูวังว่าเมื่อวานซืนนั้นมีบันทึกว่านางออกจากวังไปหรือไม่”
เมื่อหวายหมิ่นได้ยินเช่นนั้นร่างกายของนางก็สั่นขึ้นอีกครั้ง “หม่อมฉันออกจากวังไปเมื่อวันก่อน แต่หม่อมฉันไม่เคยไปที่ร้านเฉียนสุ่ยอี้เหรินเลยและไม่เคยซื้อต่างหูด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนางก็ได้ยินเสียงด้านนอกดังแว่วมา “เสิ่นซู่เฟยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยหวนอวี่ขมวดคิ้วพลางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เข้ามาได้”
หยุนชางหันไปมองก็เห็นเสิ่นซู่เฟยพาดมืออยู่บนแขนของนางกำนัลและเดินเข้ามาช้าๆ ที่ด้านหลังยังมีนางกำนัลตามมาอีกสองคน
เมื่อนางเดินเข้ามาในตำหนัก เสิ่นซู่เฟยก็ย่อกายทำความเคารพเซี่ยหวนอวี่และฮองเฮาอย่างรีบร้อน “ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท ถวายพระพรเพคะฮองเฮา”
เซี่ยหวนอวี่ขมวดคิ้ว “เจ้ามาทำอะไร?”
อาจเป็นเพราะน้ำเสียงของเซี่ยหวนอวี่เจือแววรำคาญใจ ร่างของเสิ่นซู่เฟยจึงชะงักไปเล็กน้อย รอยยิ้มของนางก็ดูฝืดเฝื่อนลง “หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาทจับคนในตำหนักของหม่อมฉันมาสองคนจึงได้ตั้งใจมาดูว่าพวกเขามีความผิดประการใดเพคะ จึงทำให้ฝ่าบาทต้องลงมือสั่งสอนด้วยตนเอง หากพวกเขาทำผิดจริง หม่อมฉันที่เป็นเจ้านายกลับไม่รู้เรื่องก็ออกจะเป็นการมิบังควรนัก…”
เซี่ยหวนอวี่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเย็น “ก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้นจริงๆ” เขาพูดพลางโยนกระดาษบนโต๊ะไปที่ร่างของเสิ่นซู่เฟย “เจ้าดูเถอะ”
เสิ่นซู่เฟยตัวสั่นเทิ้มราวกับว่านางไม่เคยเห็นเซี่ยหวนอวี่ปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชาเช่นนี้มาก่อน ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงก้มลงหยิบกระดาษที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาคลี่อ่านดู เมื่อเห็นเนื้อหาในกระดาษนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที หลายอึดใจผ่านไปจึงกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกปรักปรำ! หม่อมฉัน…”
คำพูดยังไม่จบ เซี่ยหวนอวี่ก็เอ่ยแทรกขึ้นอย่างหมดความอดทน “ถูกปรักปรำหรือไม่เดี๋ยวก็รู้”
“เมื่อครู่พระชายารุ่ยอ๋องกล่าวว่ามีหลักฐานสองประการ ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งของในร้านเฉียนสุ่ยอี้เหริน จึงได้นำตัวของเจ้าของร้านเฉียนสุ่ยอี้เหรินมาสอบถาม ปรากฏว่าทหารยังไม่ได้ไปน้องสาวเจ้าของร้านเฉียนสุ่ยอี้เหรินก็ถูกจับตัวไปเสียแล้ว เมื่อนางเพิ่งมาถึงตำหนักกลับมีคนใช้วิชาแปลงโฉมมาเสียถึงก่อน คนผู้นั้นก็คือหวายลู่ในตำหนักของเจ้าและคนที่เจ้าของร้านเฉียนสุ่ยอี้เหรินชี้ตัวก็คือหวายหมิ่นที่เคยไปซื้อต่างหูและต่างหูนี้ถูกค้นพบที่ห้องของนางกำนัลที่ดูแลท่านชายน้อยพร้อมกับจดหมายฉบับนั้น” เซี่ยหวนอวี่กล่าวอย่างเย็นชาและไม่มองเสิ่นซู่เฟยเลยแม้แต่น้อย
เสิ่นซู่เฟยกัดริมฝีปากและเงียบอยู่เป็นเวลานาน นางมองไปที่เซี่ยหวนอวี่แล้วจึงมองหยุนชาง สุดท้ายก็หันกลับไปมองฮองเฮาแล้วจึงยิ้มเย็น “อยากใส่ความใครก็ย่อมมีเหตุผลมาเอ่ยอ้างเสมอ วันนี้หม่อมฉันถือว่าได้เข้าใจความหมายของประโยคนี้แล้ว”