ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 522 ชิงกุ้ยเหริน
“เป็นกระไรไปหรือ? สนใจเรื่องเลือกนางงามหรือ?” ลั่วชิงเหยียนพูดด้วยรอยยิ้ม เขาจับไหล่ของหยุนชางไว้และมองไปที่เอกสารนั่น
หยุนชางยิ้มเบา ๆ “ใช่เพคะ ข้าค่อนข้างสนใจการเลือกนางงามในครั้งนี้ มี 108 คนท่านอ๋องทายสิว่ามีคนของข้าอยู่กี่คน”
ลั่วชิงเหยียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แสงประกายแวบเข้ามาในดวงตา เขายิ้มและตอบว่า “ชางเอ๋อร์และข้าคิดตรงกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ”
หยุนชางเงยหน้ามองไปที่จิ้งอ๋อง แล้วเห็นว่าสีหน้าของเขาได้ใจเล็กน้อย จึงได้ทราบว่าเขาคงได้ทำกระไรบางอย่างลงไปแล้วล่ะ หยุนชางขำเสียงเบาๆ นางชี้ไปที่ชื่อหนึ่งในนั้นและกล่าวว่า “ฮองเฮาคงทราบว่าพวกเราต้องพยายามใส่คนของตัวเองลงในกลุ่มนางงามอย่างแน่นอนกระมั้ง ในบรรดาคนของข้า นางงามคนนี้มีความสามารถระดับกลางถึงขั้นดี แต่ก็ยังไม่ใช่คนที่เยี่ยมที่สุด นางงามเข้าพระราชวัง สิ่งแรกที่ต้องทำคือให้นางข้าหลวงตรวจสอบร่างกายของนางงาม เมื่อถึงเวลานั้นท่านอ๋องโปรดสังเกตว่าใครรับผิดชอบเรื่องนี้ และให้เงินกับนางข้าหลวงเหล่านั้นอย่างลับๆ จากนั้นข้าจะคิดว่าวิธีส่งข่าวเรื่องนี้ให้ถึงหูพระราชินีและฝ่าบาท”
“ชางเอ๋อร์หมายความว่าอย่างไร?” ลั่วชิงเหยียนเอียงตัวมอง แววตาของเขาสับสนเล็กน้อย
หยุนชางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าหมายความว่า ฮองเฮาและฝ่าบาทแม้กระทั่งเสิ่นซู่เฟยก็คงคิดได้ว่าเราจะส่งคนของเราเข้าไปพร้อมนางงาม หากเป็นเช่นนี้ แทนที่จะให้พวกเขาคอยระแวงและคาดเดาไปทั่ว สู้ปล่อยให้พวกเขาทราบคนของเราไปเสียดีกว่า เสียสละคนนี้ไป เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนคนอื่นๆ แต่ทว่าหากว่าฝ่าบาททราบเรื่องนี้ นางงามคนนี้ก็อาจจะมิได้เสียสละ”
ลั่วชิงเหยียนเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินหยุนชางกล่าวเช่นนี้ เขาก็ทราบและกล่าวอย่างเร่งรีบว่า “ชางเอ๋อร์รอบคอบอย่างมาก ข้าจะสั่งการให้คนไปจัดการประเดี๋ยวนี้” หลังจากพูดจบ เขามองชื่อที่หยุนชางกำลังชี้ “นางที่ชื่อหลินโยวหรานใช่หรือไม่?”
หยุนชางพยักหน้า แววตาของนางเหลือบไปมองรายชื่อนางงามนั้น และค่อยๆ ม้วนแล้ววางลงบนโต๊ะข้างๆ
“ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าเข้าวังอยู่ที่ตำหนักเซียงจู๋ได้ไม่นานฮองเฮาก็ตามเจ้าไปที่วังเว่ยยางหรือ? ฮองเฮาได้ทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่?” ลั่วชิงเหยียนจับไหล่หยุนชางเอาไว้และกล่าว
หยุนชางยิ้มและส่ายหน้า” วันนี้ฮองเฮาบอกกับข้าว่าอยากร่วมมือกับข้า เพื่อกำจัดเสิ่นซู่เฟย”
ดวงตาของหยุนชางสงบลง นางเดินไปริมหน้าต่างและมองออกไปข้างนอก “นางอยากจัดการเสิ่นซู่เฟย แต่ไม่มีแพะรับบาปกระมั้ง ฉะนั้นจึงได้นึกถึงข้า และคิดว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวย่อมดีที่สุด หากว่าเขาสามารถเอาความผิดนี้มาโยนให้ข้าได้ เช่นนั้นนางจะได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆ”
“เช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงเหยียนชะงัก “คนอย่างฮองเฮาไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น อีกทั้งนางยังมีตระกูลซูอยู่เบื้องหลัง ตระกูลซูไม่เหมือนกับตระกูลหลิ่ว ตระกูลหลิ่วเริ่มมีอำนาจมาเพียง 20 กว่าปีเท่านั้น แต่ตระกูลซูฝังรากไว้ที่แคว้นเซี่ยอย่างแน่นหนา คงยากที่จะกำจัดไปได้ในชั่วขณะ เจ้าต้องระวังให้มากเมื่อต้องรับมือกับฮองเฮา หากว่ามีเรื่องกระไรที่เจ้าไม่สามารถจัดการได้ เจ้าต้องบอกกับข้า”
หยุนชางตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องมิต้องกังวลหรอก ฮองเฮาอยากให้ข้าเป็นแพะรับบาป แต่ข้ามิต้องเดินตามแผนของนางก็ย่อมได้…….”
หลายวันมานี้หยุนชางเข้าวังบ่อยมาก นางจะสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่แตกต่างกันทุกวันแล้วเข้าไปที่ตำหนักเซียงจู๋ บางครั้งก็อาจแวะไปเยี่ยมเยือนวังเว่ยยาง และได้พบเสิ่นซู่เฟยอยู่สองสามครั้ง ช่วงนั้นหยุนชางโดดเด่นอย่างมาก แม้แต่ฮองเฮาก็ยังสังเกตนางเป็นพิเศษ
“เสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้สวยงามและสง่าอย่างมาก เครื่องประดับก็ดูดีเช่นกัน เช้านี้เมื่อตอนที่เหล่านางสนมมาถวายพระพร ข้าอยู่ในห้องโถงในได้ยินพวกนางพูดถึงเจ้าเช่นกัน” หลังจากจิบชากุหลาบแล้ว ดวงตาของนางกวาดไปที่หยุนชาง จากนั้นนางก็กล่าวอย่างเฉยชา
หยุนชางรีบกล่าวว่า “เสื้อผ้าที่หม่อมฉันสวมใส่นั้นเป็นเพียงชุดธรรมดาที่ขายในร้านค้าข้างนอก ซึ่งเทียบไม่ได้กับชุดที่สำนักพระราชวังเตรียมไว้อย่างตั้งใจหรอกเพคะ เพียงแต่เพราะว่าเหนียงเหนียงหลายท่านคุ้นเคยกับแบบเสื้อผ้าที่สง่างามและหรูหราของทางพระราชวัง และเมื่อลองเปลี่ยนไปเสวยซุปใสและผักเล็กๆ น้อยก็มักจะรู้สึกดีอย่างมากเพคะ”
ฮองเฮาได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกได้ประโยชน์อย่างมากเช่นกัน นางพยักหน้าและพูดว่า “เรื่องที่สั่งให้เจ้าไปจัดการตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เรียบร้อยแล้วเพคะ” ขณะที่พูดนางก็หยิบถุงกระดาษออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ฮองเฮา “หม่อมฉันได้ดูมาหลายๆ แบบ แม้ว่าจะได้ผลเหมือนกัน แต่ว่าอันนี้เหมาะสมมากที่สุดเพคะ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น โอสถนี้ออกฤทธิ์ช้าเพคะ สะดวกที่จะให้พระราชินีเตรียมการเพคะ”
ฮองเฮาพยักหน้ารับเอาไว้ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเป็นคนที่ทราบเรื่องโอสถเป็นอย่างดี หากว่าเจ้ากล่าวว่าดี เช่นนั้นก็คงไม่เลว” เมื่อได้ยินคำชื่นชมของฮองเฮา แต่แววตาของนางกลับเป็นกังวลเล็กน้อย “เพียงแต่ทุกสิ่งที่ฝ่าบาทเสวย ต้องผ่านมาชิมของขันทีก่อน ถ้าอย่างนั้น…….”
“กลัวอะไร” ฮองเฮาเยาะเย้ย “หากว่าเป็นยาพิษ ขันทีชิมแล้วก็อาจจะพบ แต่ของแบบนี้ ขันทีมิใช่ผู้ชายที่สมบูรณ์ ฉะนั้นจึงไม่มีผลกระไรอยู่แล้ว อีกทั้งเจ้าเองก็บอกแล้วมิใช่หรือโอสถนี้ออกฤทธิ์ช้า”
หยุนชางพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แสงประกายที่เย็นชาวาบผ่านดวงตาของนาง
“หากเรื่องนี้สำเร็จ เจ้าก็จะได้แก้แค้นในไม่ช้า” ฮองเฮามองไปที่หยุนชางและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หยุนชางพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “เช่นนี้ก็ขอบพระคุณเหนียงเหนียงมากเพคะ”
ฮองเฮาลงมือรวดเร็วเช่นกัน เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นหยุนชางก็ได้ยินเฉี่ยนอินกล่าวว่า” แม่หญิงชิงหมิง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเหรินโดยพระราชกฤษฎีกาของพระราชินีเมื่อเช้านี้เพคะ”
หยุนชางมองเข้าไปในกระจก เฉี่ยนหลิ่วกำลังเขียนคิ้วให้นาง โดยเขียนด้วยสีอ่อน มีลักษณะบาง ยาว
หยุนชางยิ้ม “แม้ว่าตำแหน่งของนางจะไม่สูง แต่ในที่สุดก็สมความปรารถนาของนางและฮองเฮาแล้วล่ะ ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นนางสนม และนางสามารถอยู่ในวังหลังนี้ได้อย่างสมตำแหน่งแล้วล่ะ”
“พระชายาเพคะ ท่านว่าเช่นนี้ดีหรือไม่เพคะ?” เฉี่ยนหลิ่วก้าวถอยหลัง ถามความเห็นของหยุนชาง
หยุนชางครุ่นคิดและพยักหน้าเบา ๆ “ไม่เลวนะ”
เฉี่ยนหลิ่ววางดินสอเขียนคิ้วลง หยิบหวีแล้วเดินไปด้านหลังหยุนชาง หยุนชางมองดูใบหน้าของตนที่เลือนรางในกระจกสีทองแดงนั่น นางก้มศีรษะลงและจัดเสื้อตัวเอง พร้อมรอยยิ้มที่เยาะเย้ยเล็กน้อย “นาชิงหมิงคงคิดว่าวังหลังเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมมากกระมั้ง และคิดว่าเมื่อเข้ามาในวังหลังแล้วก็จะมาเกียรติยศและความมั่งคั่ง แต่หารู้หรือไม่ว่าวังหลังนี่แหละ เป็นสถานที่ที่อันตรายและเลือดเย็นมากที่สุด”
เฉี่ยนอินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวอีกครั้งว่า “หม่อมฉันได้ยินว่าเข้านี้ฝ่าบาททรงพิโรธอย่างมากเพคะ แต่ด้วยเหตุที่ต้องออกว่าราชการจึงมิได้ถามอย่างละเอียด หม่อมฉันเกรงว่าหลังจากที่ว่าราชการเช้าจบลง……….”
มือของหยุนชางชะงักครู่หนึ่ง แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในกระจก ครุ่นคิดอยู่นานจึงกล่าวว่า “หลังจากประแป้งแล้วมิต้องปัดแก้มหรอก”
เฉี่ยนหลิ่วตกตะลึง มือที่นางกำลังหวีผมให้หยุนชางก็ชะงัก นางกล่าวด้วยความลังเล “แต่หากทำเช่นนั้น ก็จะดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่นักเพคะ
หยุนชางหัวเราะมากเมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ “สิ่งที่ข้าต้องการก็คือดูไม่มีชีวิตชีวา ดูอ่อนแอและน่าสงสารเล็กน้อย อีกประเดี๋ยวคงมีศึกหนักที่ต้องเจอกระมั้ง”
เฉี่ยนหลิ่วไม่เข้าใจความหมายของหยุนชาง แต่ก็พยักหน้าตอบรับนาง
เฉี่ยนอินเหลือบมองสีหน้าของหยุนชาง และถามเบาๆ ว่า “ให้หม่อมฉันไปทูลบอกท่านอ๋องหรือไม่เพคะ? ”
หยุนชางส่ายหน้า แต่ไม่มีสีหน้าใดๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง ” วังหลังนี้ก็สนามรบของผู้หญิง เขาเป็นผู้ชายจะเข้ามายุ่งเกี่ยวทำไม อีกทั้งครั้งนี้ข้าเตรียมพร้อมมาอย่างดี”
หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดสีซีดที่ปักดอกบัวเอาไว้แล้ว เฉี่ยนหลิ่วก็แต่งหน้าให้หยุนชางตามที่หยุนชางสั่ง เพื่อเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยุนชางก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนเบาะ
“เมื่อถึงเวลายามสื่อ ก็มีคนจากพระราชวังมาเชิญหยุนชางเข้าวัง หยุนชางได้ยินเช่นนี้ก็ปิดหนังสือ จัดเสื้อผ้าให้ดีแล้วยืนขึ้น เฉี่ยนอินขมวดคิ้วและมองไปที่นาง หยุนชางยิ้มและกล่าวว่า “มิต้องเป็นห่วงหรอก ในพระราชวังนั้นยังมีหนิงเฉี่ยนอยู่มิใช่หรือ?”