ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 505 สงครามเย็น(๒)
หยุนชางเมื่อเห็นใบหน้าของลั่วชิงเหยียนเย็นลงหลายส่วน จึงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พร้อมค่อย ๆ เดินเข้ามาที่ข้างกายลั่วชิงเหยียน พร้อมกระซิบข้างหูเบา ๆว่า “เอ่อ. ใกล้จะฟ้าสางแล้ว ทั้งคืนวันนี้ยังมิได้นอนเลย พวกเรามานอนกันเถอะ”
ลั่วชิงเหยียนพลันลุกขึ้นยืน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ยังไม่ง่วง เจ้านอนก่อนเถอะ”เมื่อพูดจบ จึงเดินออกจากห้องไป
“เอ๋ ” หยุนชางตกตะลึงไปสักพัก พลางยืนอยู่ที่เดิมด้วยความเหม่อลอย
เฉียนยินที่เดินเข้ามา เมื่อเห็นหยุนชางอยู่ในลักษณะนั้น พลางกวาดสายตามองภายในห้องอยู่รอบหนึ่ง ทว่ากลับไม่เห็นลั่วชิงเหยียน จึงเดินไปที่ข้างกายหยุนชางพร้อมถามว่า “ท่านอ๋องเล่าเพคะ ?”
หยุนชางก้มหน้าลง ด้วยสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย “มิรู้ว่าอารมณ์เสียเรื่องใด ข้าเพียงแค่พูดว่าฟ้าใกล้สว่างแล้ว ไม่ได้นอนมาตั้งวันหนึ่ง ข้าจึงชวนเขาไปนอนด้วยกัน เขากลับลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป”
“หา ?”เฉินพลันเบิกตากว้าง สายตาจับจ้องไปที่แขนหยุนชางอยู่ครู่หนึ่ง. เพียงชั่วครู่จึงเอ่ยออกมาว่า ” ไม่เป็นเช่นนั้นแน่. หากท่านอ๋องทะเลาะกับหวางเฟยจริง เหตุใดจักต้องเรียกหมอมาด้วยเล่า อีกทั้งยังรอจนท่านหมอทายาบนแผลให้ท่านเสร็จแล้วจึงเดินออกไปอีกด้วย”
เมื่อเงียบไปได้สักพัก เฉียนยินพลันดึงแขนเสื้อหยุนชางออกมา “นู๋ปี๋นึกขึ้นได้แล้ว นับตั้งแต่วันที่ท่านอ๋องได้ยินจากปากองครักษ์เงาว่า มีจวนแห่งนึงที่มีทั้งมดกบและจิ้งหรีดจำนวนมากพากันหนีตายออกมา องครักษ์เงาบอกเล่าให้ท่านอ๋องฟังว่า เลือดของท่านเป็นพิษ ท่านจักต้องใช้เลือดหยดใส่ของพวกนั้น เพื่อดึงดูดความสงสัยขององครักษ์เงาเป็นแน่. ท่านอ๋องก็มิได้พูดอะไรออกมาอีกเลย ”
เฉียนยินเห็นหยุนชางที่รู้สึกสับสนเช่นนั้น พลันกัดฟันกล่าวว่า “ท่านอ๋องเป็นห่วงหวางเฟยมากกระมัง จึงรู้สึกว่าวิธีการของหวางเฟยนั้นรุนแรงเกินไป. ถึงกลับต้องทำร้ายตนเอง ภายในใจจึงรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก”
หยุนชางพลันเงียบลง เพียงชั่วครู่จึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดว่า “ทว่าสิ่งของที่ติดตัวของข้า ล้วนแต่ถูกพวกเขาเอาไปหมดนิ ถ้ามิใช้วิธีนี้ เกรงว่าข้างคงจะมายืนพูดคุยกับเจ้าตอนนี้ไม่ได้แล้ว”
เฉียนยินพลางยิ้มตอบกลับว่า “ท่านอ๋องเป็นห่วงท่านมากไป เช่นนั้นเขาจึงโกธรท่าน”
หยุนชางได้ยินดังนั้น พลางเดินด้วยความเหม่อลอยมานั่งลงที่ข้างเตียง เพียงชั่วครู่จึงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเช่นนั้นวันนี้เขาคงไม่อยากคุยกับข้าแล้ว”
“นั่นเป็นเพราะท่านอ๋องเจ็บรู้สึกเจ็บปวดแทนเพื่อหวางเฟย นอกจากนี้ ถึงแม้ท่านอ๋องจะไม่คุยกับท่าน หวางเฟยก็สามารถพูดคุยกับเขาก่อนก็ได้ “เฉียนยินพลันยิ้มตาหยีตอบกลับ
หยุนชางพลันขบริมฝีปากไปมา “ข้าลองคุยกับเขาก่อนแล้ว. เมื่อครู่. ” พลางชะงักไปครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าคุยกับเฉียนยินว่า “ไปดูสิ ว่าท่านอ๋องอยู่ที่ใด แล้วจึงให้ห้องเครื่องเตรียมอะไรเข้ามาให้กิน. ข้าจะนำไปให้ท่านอ๋อง”
เฉียนยินยิ้มพลางพยักหน้ารับคำ “ก่อนหน้านั้น ท่านอ๋องเกรงว่าหวางเฟยจะกลับมาดึกไป จึงสั่งให้ห้องเครื่องอุ่นโจ๊กถั่วเขียวไว้รอแล้ว นู๋ปี๋จึงได้ให้คนตักใส่ถ้วยนำมาให้ท่าน”
เพียงชั่วครู่เฉียนจึงให้คนนำโจ๊กถั่วเขียวเดินเข้ามา รวมถึงจัดขนมเล็กน้อยใส่จานมาให้นางด้วย พร้อมพูดกับหยุนชางว่า “ท่านอ๋องอยู่ที่ห้องตำราเพคะ” พร้อมนำสาวใช้เดินไปถึงหน้าประตูห้องตำรา พลันฝีเท่าชะงักลง แล้วจึงหยิบถาดอาหารจากสาวใช้มาไว้ที่ตน พร้อมส่งสัญญาณให้เฉียนยินรออยู่ข้างนอก พร้อมผลักประตูเดินเข้าไป
ลั่วชิงเหยียนเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดเข้ามานั้น จึงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นหยุนชาง สายตาพลันเหลือบไปมองสิ่งที่อยู่ในมือหยุนชางนั้น พลางขมวดคิ้วขึ้นแล้วก้มลงอ่านตำราต่อ
หยุนชางเห็นเช่นนั้นก็มิได้ท้อถอยแต่อย่างใด พลางถือถาดอาหารเดินไปยังข้างกายของลั่วชิงเหยียน พร้อมกระซิบเบา ๆว่า “หลังผ่านค่ำคืนที่แสนวุ่นวายนี้ไปได้. เกรงว่าท่านอ๋องจะหิวกระมัง. โชคดีที่ท่านอ๋องเตรียมโจ๊กไว้ ยังอุ่นอยู่เลย ท่านอ๋องดื่มอะไรอุ่น ๆ ลองท้องหน่อยเถิด”
เมื่อเห็นลั่วชิงเหยียนมิได้เอ่ยปากตอบกลับมานั้น หยุนชางพลันขบริมฝีปากเบา ๆ พร้อมเดินเข้าไปหาลั่วชิงเหยียนอย่างเงียบ ๆ เพียงครู่หนึ่ง จึงเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อลั่วชิงเหยียน พร้อมกระซิบบอกว่า “หม่อมฉันขอโทษเพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันไม่คิดให้รอบคอบ จึงทำให้ท่านอ๋องต้องกังวลเสียแล้ว หม่อมฉันมิควรทำร้ายตนเองเพียงเพื่อจะให้องครักษ์เงาสังเกตุเห็นสัญญาณของหม่อมฉัน ทำให้ท่านกังวลเสียแล้ว”
ลั่วชิงเหยียนพลันเงยหน้ามองหยุนชางด้วยสายตาที่ว่างเปล่า จากนั้นจึงละสายตาไปอย่างรวดเร็ว ถายในใจหยุนชางรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เพียงชั่วครู่ จึงคุกเข่านั่งลง พลางเอนศรีษะของตนไปพิงที่ต้นขอของลั่วชิงเหยียน พร้อมกระซิบบอกว่า “ต่อไปหม่อมฉันจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว. ท่าน อย่าได้เมินข้าอีกเลยได้หรือไม่ ”
มือที่ถือตำราของลั่วชิงเหยียนพลันสั่นเล็กน้อย เพียงชั่วครู่ จึงวางมันลง พร้อมก้มลงมองหยุนชาง สายตาพลันอ่อนลงหลายส่วน ทว่าน้ำเสียงที่เปิดปากพูดออกมานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา “ทำร้ายตนเองหรือ ? วันนั้นที่หัวหน้าองครักษ์มาหาเจ้า เจ้ารู้แน่ชัดอยู่แล้ว ว่าเขามีแผนการอะไรบางอย่าง พวกเขาจะไม่สามารถบังคับเจ้าหรือทำร้ายเจ้าได้ หากว่าเจ้ามิอยากไป. ทว่าเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าทั้งนั้น จึงได้ทำตามใจตนเองตามพวกเขาไป หากมิใช่เพราะเหตุนี้แล้ว เจ้าก็จักไม่เจ็บตัวเช่นนี้ ! ”
หยุนชางที่นิ่งเงียบไปนั้น ลั่วชิงเหยียนจึงเงยหน้าขึ้นมา พร้อมสูดอากาศเข้าไป พร้อมกัดฟันพูดขึ้นมาว่า “หนิงหยุนชาง. บางครั้งข้าก็อยากจะเอาเชือกมามัดเจ้าไม่ให้ห่างกายข้าไปไหนเลยทีเดียว”
เพียงครู่หนึ่งที่ไม่ได้ยินเสียงของหยุนชางเอ่ยออกมาเลยนั้น จึงทำให้ลั่วชิงเหยียนจึงรู้สึกสงสัยยิ่งนัก พร้อมยื่มมือไปจับใบหน้าของหยุนชางให้เงยหน้าขึ้นมา ฝ่ามือที่เย็นเยียบนั้น ทำให้ภายในใจลั่วชิงเหยียนสั่นเล็กน้อย พร้อมฝ่ามือที่หยุดชะงักลง
เพียงครู่หนึ่ง จึงค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา พลางจับใบหน้าหยุนชางให้เงยหน้ามามอง พร้อมกระซิบถามว่า “ข้ามิได้ดุเจ้า เจ้าจักร้องให้ทำไม ?” ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อมองไปที่นาง
หยุนชางพลันหลับตาลง ภายในใจรู้สึกอบอุ่น มุมปากพลางเต็มไปด้วยรอยยิ้มขึ้น แล้วส่ายหัวไปมาว่า “มิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่า ท่านอ๋องดีต่อหม่อมฉันมากเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะ ”
ลั่วชิงเหยียนเห็นดังนั้น พลางยื่นมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้นางอย่างเบามือ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าโกธรเจ้าเสียมากมายขนาดนี้. เจ้ายังคิดว่าข้าดีต่อเจ้าอีกหรือ ปกติข้าพูดดี ๆ กับเจ้า มิเห็นว่าเจ้าจะซาบซึ้งอันใดเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุมปากพลันกระตุกยิ้มขึ้น พร้อมกับก้มหัวลง นางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ภายใจกลับรู้สึกเหมือนจะละลายเพราะความอบอุ่นของเขา แม้ว่านางจะมีประสบการณ์มามาก หรือเข้าใจมากกว่าคนอื่นเล็กน้อย ทว่าบางที แท้จริงแล้วอาจจะไม่จำเป็นจะต้องได้รับการทนุถนอมใด ๆมากนัก เพียงแค่ความรู้สึกที่โดนตำหนิเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นห่วงเป็นใยนางนั้น ช่างหาได้ยากยิ่ง
“พอแล้ว. มิต้องร้องแล้ว ” ลั่วชิงเหยียนพลันดึงหยุนชางเข้าสู่อ้อมกอดของตน พร้อมกระซิบเบา ๆที่ข้างหูว่า “ข้ามิได้ตั้งใจจะโทษเจ้า ข้าเพียงแต่กล่าวโทษตนเองที่ดูแลเจ้าไม่ดี เด็กดี. มิต้องร้องแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ ว่าไม่มีเจ้าแล้ว ข้าไม่เคยหลับลงได้แม้แต่วันเดียวเลย เช่นนั้นเจ้าพาข้าไปนอนเป็นเช่นไร ?”
หยุนชางพลางถอนหายใจออกมายาว ๆ พร้อมดมกลิ่นดอกเหมยที่อยู่บนตัวลั่วชิงเหยียนมาด้วย แล้วจึงพยักหน้าลง “เพคะ ”
ลั่วชิงเหยียนพลางก้มลงอุ้มหยุนชางในท่าเจ้าสาว พร้อมเดินเข้าห้องนอนไป
เฉียนยินที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้น เมื่อแอบมองทั้งสองจากที่ไกลๆ แล้ว มุมปากอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แล้วจึงรีบร้อนถอยกลับไป พร้อมมองไปยังลั่วชิงเหยียนที่อุ้มหยุนชางอยู่นั้น แล้วจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และค่อย ๆ ปิดประตูลง พร้อมหันกายเดินออกมา
ในเวลานี้ หยุนชางหลับฝันดีเป็นอย่างมาก เมื่อตื่นขึ้นมานั้น ก็เข้าสู่ช่วงหัวค่ำเสียแล้ว ลั่วชิงเหยียนที่มิได้ลุกออกไปจากเตียงนั้น เพียงแค่นั่งพึงกับหัวเตียง มืออีกข้างพลันกอดหยุนชาง มืออีกข้างพลางถือตำราอ่าน เมื่อเห็นว่าหยุนชางตื่นขึ้นมาแล้ว จึงวางตำราลงแล้วกอดนาง เพื่อให้นางเอนตัวเข้ามาหาเขาพร้อมถามเบา ๆว่า “ตื่นแล้วหรือ ?”