ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 492 หลิ่วหยินเฟิงสืบคดี
หยุนชางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองหลิ่วหยินเฟิงซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งเฉียงเหนือนาง หลิ่วหยินเฟิงก็สบตานางโดยตรงเช่นกัน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยืนขึ้นและประสานมือคารวะเซี่ยหวนอวี่ “ฝ่าบาท ใต้เท้าหวังเป็นทูตจากแคว้นหนิง ยามนี้เราทั้งสองแคว้นต่างก็เป็นพันธมิตรกัน เรื่องนี้ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังยิ่ง แม้ว่าตอนนี้ใต้เท้าหวังจะดูเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด แต่หลักฐานก็ยังไม่เพียงพอนัก… ”
เซี่ยหวนอวี่ได้ยินเช่นนั้นก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ที่หยินเฟิงว่ามาก็มีเหตุผล เรื่องนี้ให้เจ้าตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วค่อยจัดการก็แล้วกัน”
หยุนชางขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้ว่าหลิ่วหยินเฟิงจะมีชื่อเสียงโด่งดังในแคว้นเซี่ย เพียงแต่เขาไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง หากให้เขาดูแลเรื่องของหวังจิ้นฮวนจะมิเป็นการประมาทเกินไปหรือ
ในขณะที่นางกำลังคิดก็เห็นว่าหลิ่วหยินเฟิงรับราชโองการมาแล้ว “หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
มือของหยุนชางจับขอบถ้วยน้ำชาอย่างแรงเล็กน้อยด้วยท่าทางที่ยังคงสับสน
เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน งานเลี้ยงจบลงอย่างรีบร้อน หยุนชางและลั่วชิงเหยียนออกจากวังไปพร้อมกัน พวกเขาพบหลิ่วหยินเฟิงยืนอยู่ที่ประตูวังราวกับกำลังรอใครบางคนอยู่ ฝีเท้าของหยุนชางชะงักลงชั่วขณะโดยไม่รู้ตัว แต่นางกลับเห็นหลิ่วหยินเฟิงมองหน้าของนางอย่างเรียบเฉย แต่เขาก็เบนออกไปมองยังที่ไกลๆ
หยุนชางโล่งใจขึ้นเล็กน้อย นางรีบขึ้นรถม้าพร้อมกับลั่วชิงเหยียน แต่นางกลับมองเห็นหลิ่วหยินเฟิงจ้องมาที่รถม้าจากทางหน้าต่างรถม้า ไม่นานรถม้าก็เคลื่อนตัวจากไป
“หลิ่วหยินเฟิงจำเจ้าได้หรือ?” เสียงของลั่วชิงเหยียนดังขึ้นอย่างกะทันหัน
หยุนชางตกใจ นางรีบหันศีรษะกลับมาแล้วเงียบไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “มีวันหนึ่งที่ข้าไปเดินเล่นกับหวังจิ้นฮวนแล้วได้พบกับเขาเข้า”
ลั่วชิงเหยียนขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย
หัวใจของหยุนชางวูบไหวแล้วจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องในวันนี้?”
ลั่วชิงเหยียนยิ้มเย็น ดวงตาฉายแววดูแคลน “ยังต้องคิดอีกหรือ? เห็นได้ชัดว่ามีคนใส่ร้ายหวังจิ้นฮวน ดื่มเหล้างั้นหรือ หวังจิ้นฮวนแทบจะโตมากับไหเหล้า เขาเคยเมาเมื่อใดกัน?”
หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ไม่ใช่ว่าเขาเมามายไม่ได้สติหรือ? ไม่เช่นนั้นเราลองให้สายลับสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้นดีไหม?”
ลั่วชิงเหยียนครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “เรื่องสืบนั้นอย่างไรก็ต้องสืบ ทั้งให้สายลับแอบสืบอย่างลับๆ และพวกเราสืบอย่างเปิดเผย เจ้าพักผ่อนอยู่ที่เรือนรับรองเถอะ ข้าจะไปดูที่หอจุ้ยเฟิ่งกับหลิ่วหยินเฟิงเอง”
หยุนชางใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็นึกได้ว่าหลิ่วหยินเฟิงรู้อยู่แล้วว่านางเป็นใคร นางจึงพยักหน้าและถามอีกว่า “หวังจิ้นฮวนล่ะ? ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
“ถูกส่งตัวกลับไปที่เรือนรับรองแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเขาฆ่าคน อีกทั้งฐานะของเขาก็ค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นเซี่ยหวนอวี่จึงสั่งให้ส่งเขากลับไปที่เรือนรับรอง เพียงแต่มีคนคอยเฝ้าอยู่นอกห้องเท่านั้น” ลั่วชิงเหยียนยกมือขึ้นโอบไหล่หยุนชาง “แต่เดิมทีเขาก็เป็นคนอารมณ์ร้อน เกรงว่าทหารเหล่านั้นคงเอาเขาไม่อยู่ เจ้ากลับไปคุยกับเขาดีๆ อย่าปล่อยให้เขาก่อเรื่องอีก”
หยุนชางพยักหน้า ลั่วชิงเหยียนปล่อยมือแล้วลงจากรถม้าไป
ยามหยุนชางกลับมาที่เรือนรับรองทูต ที่ประตูนั้นสงบไม่ต่างจากยามปกติ แต่เมื่อเข้าไปด้านในแล้ว หยุนชางก็เห็นเฉี่ยนอินวิ่งออกมาอย่างรีบร้อน เกิดอะไรขึ้น? เมื่อครู่ทหารหามคุณชายหวังเข้ามา ข้าได้กลิ่นเหล้ามาจากร่างของคุณชายหวัง เขาไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงมิใช่หรือ? นอกจากนั้นหลังจากที่ทหารพาคุณชายหวังกลับมาแล้ว พวกเขาก็ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู ข้าจะเข้าไปดูพวกเขาก็ไม่ยอม”
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว “เรื่องมันยาว หวังจิ้นฮวนยังไม่ฟื้นอีกหรือ?”
“ตอนที่ถูกพากลับมาเขายังไม่ฟื้น เมื่อครู่ข้ามองจากด้านนอกอยู่นาน ในห้องก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร ข้าได้กลิ่นเหล้าจากตัวเขา ไม่รู้ว่าดื่มไปเท่าไหร่ เกรงว่าจะยังคงไม่ตื่นไปอีกสักพัก” เฉี่ยนอินเดินตามหลังหยุนชางและกระซิบเสียงเบา
หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “เจ้าไปบอกคนทำน้ำแกงสร่างเมามาหน่อยเถอะ”
“แต่ทหารเหล่านั้นไม่ยอมให้เข้าไปเลย” เฉี่ยนอินบ่นพึมพำพลางขมวดคิ้ว
“ไม่เป็นไร ข้ามีวิธี” หยุนชางกระซิบและเดินไปยังห้องของหวังจิ้นฮวน ยังไปไม่ถึงก็เห็นว่าหน้าประตูมีทหารสี่คน หยุนชางหยุดฝีเท้าลงและไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็หันหลังกลับไปที่ห้องของนาง
เพียงไม่นานเฉี่ยนอินก็นำสาวใช้ยกน้ำแกงสร่างเมามาก็เห็นเงาร่างสีเขียวยืนอยู่ในห้อง ดูเหมือนร่างนั้นจะได้ยินเสียงฝีเท้าของเฉี่ยนอินจึงหันกลับมา เฉี่ยนอินอึ้งไปและก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย “เจ้า… มาที่นี่ได้อย่างไร?”
คนผู้นั้นยิ้มบางๆ ใบหน้าแฝงแววเจ้าเล่ห์ “เฉี่ยนอิน”
เฉี่ยนอินผงะไปอีกครั้ง นางอ้าปากค้างและใช้เวลานานกว่านางจะได้สติคืนมา นางกระทืบเท้าอย่างขัดใจ “นายท่าน ท่านทำข้าตกใจแทบแย่”
หยุนชางอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าเคยไปที่นั่นมาแล้ว เจ้าไม่ต้องไปแล้วล่ะ ให้นางไปกับข้าเถอะ”
เฉี่ยนอินรับคำ หยุนชางจึงนำสาวใช้ที่ถือน้ำแกงสร่างเมามุ่งหน้าไปยังห้องของหวังจิ้นฮวน ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทหารทั้งสี่ที่เฝ้าประตูยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
หยุนชางปัดเสื้อผ้าแล้วเดินไป
“คุณชายหลิ่ว” ทหารที่ประตูเห็นหยุนชางเดินมา หนึ่งในนั้นก็รีบก้าวเข้ามาต้อนรับ
หยุนชางยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ และเอ่ยว่า “ยังไม่ตื่นหรือ?”
“ขอรับ ไม่รู้ว่าดื่มไปมากแค่ไหน เขานอนหลับอย่างกับคนตาย คุณชายหลิ่วมาได้อย่างไรขอรับ?” ทหารรีบเอ่ยถาม
“ฝ่าบาทสั่งให้ข้าสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด ข้าตัดสินใจสอบสวนจากเขาก่อน โชคดีที่ข้าคิดไว้แล้วว่าเขายังไม่ตื่น ข้าจึงเตรียมน้ำแกงสร่างเมาไว้ เปิดประตูเถอะ” หยุนชางกล่าวอย่างเรียบเฉย
เมื่อได้ยินดังนั้นเหล่าทหารจึงหลีกทางให้ “ขอรับ” จากนั้นเขาก็เปิดประตู
หยุนชางพยักหน้าน้อยๆ และพาสาวใช้เดินเข้าไป หน้าห้องนอนของหวังจิ้นฮวนยังมีทหารอยู่อีกสองสามคนเฝ้าอยู่นอกประตู เมื่อเห็นหยุนชาง เขาก็รีบเปิดประตูทันที
หยุนชางเดินไปที่เตียงของหวังจิ้นฮวนโดยไร้อุปสรรคและเห็นหวังจิ้นฮวนนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาซีดขาว หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย นางหันไปหาสาวใช้แล้วพูดว่า “เปิดหน้าต่าง”
เมื่อได้ยินดังนั้นสาวใช้ก็รีบวางน้ำแกงลงแล้วเดินไปเปิดหน้าต่าง หยุนชางใช้โอกาสนี้ป้อนยาเม็ดหนึ่งเข้าไปในปากของหวังจิ้นฮวนแล้วจึงหยิบน้ำแกงสร่างเมาบนโต๊ะขึ้นมา บีบปากหวังจิ้นฮวนให้อ้าออกแล้วกรอกเข้าไปในปากของเขา
หยุนชางยืนอยู่ในห้องครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากคนบนเตียง หยุนชางจึงหันกลับมาและเห็นว่าร่างสีแดงบนเตียงตกลงมาจากเตียงอย่างแรง หยุนชางขมวดคิ้วมองไปยังชายที่พยายามจะลุกขึ้นพร้อมกุมศีรษะไว้ด้วยความเจ็บปวด นางกระแอมเล็กน้อย
ผ่านไปไม่นาน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองหยุนชางที่ยืนอยู่ไม่ไกล หยุนชางเห็นสีหน้าของหวังจิ้นฮวนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางเจ็บปวดเมื่อครู่ของเขาเปลี่ยนเป็นกระตุกยิ้มใส่หยุนชางไปในชั่วพริบตา “หลิ่วหยินเฟิง? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เขาพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ “ที่นี่ควรจะเป็นห้องของข้านี่?”