ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 490 หวังจิ้นฮวนหายตัวไป
กว่าหยุนชางจะตื่นก็เป็นเวลาบ่ายของวันถัดมา เมื่อนางลืมตาขึ้นมาก็พบว่าลั่วชิงเหยียนก็ยังนอนลืมตาอยู่ข้างๆ เขายังไม่ลุกจากเตียงเช่นเดียวกัน เมื่อเขาเห็นหยุนชางตื่นแล้ว ก็คว้าตัวนางไปโอบกอด แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าจะต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังพร้อมกับหวังจิ้นฮวนใช่ไหม?”
หยุนชางยังคงสะลึมสะลือเล็กน้อย นางมองหน้าลั่วชิงเหยียน “งานเลี้ยง? งานเลี้ยงอะไรเพคะ?”
เมื่อถามเช่นนั้นออกไปทำให้นางเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาทันที นางพยักหน้าแล้วตอบเขาว่า “ใช่เพคะ หม่อมฉันกับหวังจิ้นฮวนปลอมตัวเป็นคณะทูตจากแคว้นหนิง เซี่ยหวนอวี่จึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูต หม่อมฉันต้องไปเข้าร่วมเพคะ”
ลั่วชิงเหยียนพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย ให้อยู่ที่นี่ก็ไม่รู้จะทำอะไร จะกลับจวนรุ่ยอ๋องในตอนนี้ก็ยังกลับไปไม่ได้”
“เพคะ?” หยุนชางฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เมื่อนางได้ฟังลั่วชิงเหยียนพูดดังนั้นแล้ว นางก็ได้ถามเขาว่า “ที่ท่านด่วนกลับมายังเมืองจิ่นเช่นนี้ ท่านไม่ได้มีธุระอะไรต้องมาจัดการหรอกหรือเพคะ? เรื่องของชาวหย่ายังสะสางไม่แล้วเสร็จเลย ฮ่องเต้ก็ยังมิได้ทรงรับสั่งเรียกตัวท่านกลับมายังเมืองจิ่น แล้วท่านกลับมาเพื่ออะไรหรือเพคะ?”
ลั่วชิงเหยียนได้ฟังก็ยิ้มออกมา เขาปล่อยมือที่โอบกอดนางเอาไว้ แล้วเอื้อมหยิบเสื้อผ้าที่วางพาดไว้บนเก้าอี้ตรงหัวนอนมาสวม แล้วจึงหันมาดูหยุนชางพูดกับเขา แต่เขากลับไม่ได้ตอบคำถามของหยุนชาง ได้แต่พูดว่า “ยังไม่ลุกอีก? นี่ก็ใกล้เวลาที่ต้องเข้าไปในวังแล้วนะ”
หยุนชางถอนหายใจ นางอยากลุก แต่ก็ลุกไม่ไหว ต้องกลับไปล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
เมื่อลั่วชิงเหยียนเห็นดังนั้นแล้ว เขาเลิกคิ้ว แล้วสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่ม เขาหยิกไปที่เอวของหยุนชาง น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยอารมณ์เย้าหยอก “ว่าอย่างไร? เป็นไงล่ะ? เจ็บเอวมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
หยุนชางพยักหน้า นางทำปากจู๋ นานๆทีนางจึงจะแสดงท่าทางออดอ้อนเช่นนี้ออกมา “ก็ใช่น่ะสิเพคะ แค่ขยับนิดเดียวก็เหมือนเอวจะขาดออกเป็นสองท่อนเลยเพคะ”
ลั่วชิงเหยียนเลิกคิ้ว แล้วช่วยหยุนชางนวดอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะนั้นเอง เขาก็ได้กระซิบที่ข้างหูของหยุนชางว่า “ยังเจ็บอยู่อีกหรือ เมื่อคืนนี้เพราะข้าเห็นว่าวันนี้เจ้ามีธุระสำคัญที่ต้องทำ ก็เลยเล่นกับเจ้าได้ไม่เต็มที่ หากวันนี้เจ้าไม่ต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังแล้วล่ะก็ ป่านนี้เจ้าก็คงจะยังไม่ได้นอนหรอกนะรู้ไหม”
หยุนชางได้ยินคำพูดอ้อมๆของเขาเช่นนั้นแล้วก็ถึงกับหน้าแดง นางจ้องมองลั่วชิงเหยียน ใบหน้าของนางเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อนึกไปถึงครั้งแรกของพวกเขา ลั่วชิงเหยียนเหมือนจะไม่ค่อยประสีประสาเท่าใดนัก แต่นี่ผ่านมาได้ไม่ถึงครึ่งปี เขากลับ…ร้ายกาจ…ขึ้นมาเยอะเลย
แล้วนางก็เห็นลั่วชิงเหยียนหัวเราะออกมา เขาจ้องมองหยุนชาง “แต่ก็ไม่เป็นไรนะ ข้าเคยได้ยินมาว่า เรื่องแบบนี้ ยิ่งทำบ่อยๆประเดี๋ยวก็จะค่อยๆชำนาญ สงสัยพวกเราจะทำน้อยไปหน่อย เห็นทีว่าข้าจะต้องพยายามมากขึ้นอีกนิดเสียแล้ว”
หยุนชางก้มหน้า นางไม่กล้าที่จะสบตาลั่วชิงเหยียน นางมุดหน้าลงไปใต้ผ้าห่มไม่ยอมพูดจา มีแต่ใบหูที่โผล่ออกมาให้เห็นว่าตอนนี้นางกำลังรู้สึกอย่างไร
ลั่วชิงเหยียนเห็นอาการของนางแล้วก็อมยิ้ม แววตาของเขาดูอบอุ่น สักพักก็พูดว่า “เอาล่ะ ต้องลุกจริงๆแล้วนะ ตอนนี้เจ้าเป็นทูตจากแคว้นหนิง หากไปเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังสายล่ะก็จะดูไม่ดีเอาได้ ได้ยินว่าวันนั้นหวังจิ้นฮวนพูดจาให้เซี่ยหวนอวี่ไม่พอใจ ถ้าถูกคนจับตัวไปล่ะก็……”
หยุนชางเข้าใจดี แต่นางก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา จนผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้ยินลั่วชิงเหยียนถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “เอาล่ะๆ ข้าไม่แหย่เจ้าแล้ว ข้าจะไปสรงน้ำก่อน แล้วจะให้สาวใช้มาดูแลเจ้าหลังจากตื่นนอนดีไหม?”
เมื่อเขาพูดจบ หยุนชางก็ได้ยินเสียงเขาลุกขึ้นจากเตียง แล้วมีเสียงฝีเท้าเดินออกไป เหมือนจะเดินไปที่ประตู หยุนชางจึงพูดขึ้นมาว่า “อย่านะเพคะ ไม่ต้องเรียกสาวใช้เข้ามาหรอก หม่อมฉันจัดการตัวเองได้เพคะ” แต่ในใจนางกลับคิดว่า เมื่อคืนนี้ลั่วชิงเหยียนทำกับนางอย่างดุเดือด เกรงว่าร่องรอยต่างๆบนร่างกายของนางจะปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัด หากสาวใช้มาเห็นเข้า นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ลั่วชิงเหยียนรู้ดีว่านางรู้สึกอาย เขายิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ตกลงๆๆ ไม่เรียกสาวใช้เข้ามาแล้ว เช่นนั้นข้าขอไปสรงน้ำก่อนนะ……”
หยุนชางเงี่ยหูฟัง เหมือนว่าลั่วชิงเหยียนจะก้าวเดินออกไปจากห้องแล้ว นางจึงดึงผ้าห่มออก แล้วมองสำรวจไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าปลอดคนแล้ว นางจึงยกผ้าห่มออกจนพ้นตัว แล้วรีบวิ่งมาเปิดหีบเพื่อค้นหาเสื้อผ้าผู้ชายสีกรมท่า นางใช้ผ้ารัดหน้าอกไว้ เมื่อสวมเสื้อผ้าใกล้จะเสร็จแล้ว นางจึงเริ่มรู้สึกคลายความกังวลขึ้นมาบ้าง
หยุนชางจับไปที่ใบหน้าของตัวเองที่ยังร้อนผ่าวอยู่ แล้วบ่นตัวเองว่า “ไม่ได้เรื่องเลย” แล้วนางก็จัดแจงความเรียบร้อยของเสื้อผ้า นั่งลงที่หน้าคันฉ่องเพื่อรวบผมแล้วครอบผมด้วยที่ครอบหยกเขียว
“ชางเอ๋อร์ ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” เสียงลั่วชิงเหยียนร้องถามมาจากห้องสรงน้ำ หยุนชางตกใจจนเกือบจะทำหวีหล่นลงบนพื้น นางวางหวีลงบนโต๊ะ แล้วรีบตอบกลับไปว่า “เสร็จแล้วเพคะ หม่อมฉันสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว”
เมื่อพูดจบก็ได้ยินเสียงขานรับมาจากห้องสรงน้ำ แล้วปรากฏเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ หยุนชางจึงได้เห็นว่าลั่วชิงเหยียนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องสรงน้ำนั้น ก็สวมชุดสีกรมท่าเช่นเดียวกัน ผมของเขายังไม่ได้มัดรวบ
หยุนชางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องมาตรงนี้สิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะช่วยรวบผมให้”
ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าแล้วเดินมานั่งที่หน้าคันฉ่องกรอบทองแดง หยุนชางหยิบหวีขึ้นมาแปรงผมจากโคนจรดปลายจนเรียบลื่น แล้วจึงบรรจงรวบผมขึ้นมา จากนั้นจึงครอบด้วยที่ครอบหยกขาว หยุนชางวางหวีลง นางยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องนั่งรอก่อนนะเพคะ หม่อมฉันจะขอตัวไปสรงน้ำ” พูดจบนางก็รีบวิ่งไปที่ห้องสรงน้ำ
ลั่วชิงเหยียนมองนางวิ่งออกไปด้วยท่าทีลนลานเช่นนั้นแล้วจึงยิ้มออกมา ปกติชางเอ๋อร์จะวางตัวสุขุมและอ่อนหวาน เขาเพิ่งจะเคยเห็นภาพนางขวยเขิน เป็นภาพที่น่าเอ็นดูยิ่งนัก
เมื่อหยุนชางสรงน้ำเสร็จ นางก็กลับมานั่งหน้าคันฉ่องกรอบทองแดงอีกครั้ง แล้วเรียกสายลับเข้ามาช่วยนางแปลงโฉม เมื่อสายลับช่วยนางแปลงโฉมเสร็จแล้ว นางก็ให้เขาช่วยแปลงโฉมให้กับลั่วชิงเหยียนอีกคน หยุนชางทาอะไรบางอย่างลงไปบนมือ เพื่อให้มือของนางมีสัมผัสที่หยาบกระด้างคล้ายมือของผู้ชาย นางสวมรองเท้าผู้ชายแล้วลุกขึ้นยืน “พวกเราไปหาหวังจิ้นฮวนกันเถอะเพคะ”
หวังจิ้นฮวนกลับไม่ได้อยู่ที่เรือนรับรองของเขา
หยุนชางเรียกยามเฝ้าประตูเข้ามาสอบถาม “ใต้เท้าหวังไม่ได้กลับมาที่นี่ทั้งคืนเลยหรือ?”
ยามเฝ้าประตูพยักหน้า “เมื่อคืนนี้ทั้งคืนไม่พบใต้เท้าหวังกลับมาเลยขอรับ”
หยุนชางขมวดคิ้ว นางหันไปมองลั่วชิงเหยียน “เมื่อวานนี้ตอนที่เจ้ากำลังอาบน้ำแล้วไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน ข้าก็ได้แวะมาที่นี่เพื่อจะหยิบยืมเสื้อผ้าจากหวังจิ้นฮวน แต่ก็พบว่าเขาไม่อยู่ ทำให้ข้านึกถึงตอนที่เขาขู่ว่าจะกลับไป เขาคงจะแค่ออกไปเดินเที่ยวแถวๆนี้ แต่ว่าตอนนี้ก็ยังไม่ยอมกลับมา มันน่าแปลกจริงๆเลยนะ”
“หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหวังจิ้นฮวน?” หยุนชางขมวดคิ้ว นางรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เขาคงถูกคาดโทษจากวีรกรรมที่เขาก่อเอาไว้ในตำหนักไท่จี๋ เซี่ยหวนอวี่อาจจะไม่ใช่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการจับตัวหวังจิ้นฮวนไป แต่ถ้าเป็นอ๋องเจ็ดหรือซูฉีก็ไม่แน่