ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 486 มิตรสหายจากแดนไกลมาเยี่ยมเยียน
หยุนชางเห็นหวังจินเหยียนมีสีหน้ากระฟัดกระเฟียด แล้วนางก็นึกไปถึงหลิวฉีเหยียนผู้สงบเสงี่ยมเรียบร้อย นางคิดในใจว่า คนสองคนนี้ช่างเข้าคู่กันได้ดีจริงๆ
“หลิวฉีเหยียนชอบขลุกอยู่แต่กับตำรับตำรา จะเอามาเปรียบเทียบกับเจ้าได้อย่างไร เจ้าน่าจะมองอะไรให้มันรอบคอบกว่านี้เสียหน่อยนะ” หยุนชางส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา
หวังจินเหยียนลุกขึ้นยืนแล้วกระทืบเท้าตึงตัง “จะมาว่าข้าไม่ได้นะ ก็ข้าเห็นว่าเขากล้ามาท้าทายข้า เลยคิดว่าเขาคงจะรู้จักทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง ใครจะไปคิด ว่าเขาจะอ่อนแอเช่นนั้น”
หยุนชางยิ้ม นางคิดในใจว่า นางได้ให้หนิงเชียนเข้ามาอยู่ในพระราชวังแคว้นเซี่ยแล้ว จะให้หนิงเชียนเข้าไปใกล้ชิดหวังจิ้นฮวนเห็นทีจะไม่เหมาะ แต่ถ้าเป็นหวังจินเหยียนกับหลิวฉีเหยียนแล้วล่ะก็ ถ้าทำให้พวกเขาได้แต่งงานกันได้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่วิเศษมาก
การใช้ชีวิตบนแผ่นดินแคว้นเซี่ยที่หยุนชางไม่ค่อยคุ้นเคย พอได้สองพี่น้องตระกูลหวังมาเยี่ยมเยียน ได้เห็นหน้าคนที่รู้จักกันมานานเนิ่นนาน ก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง นางอยู่พูดคุยกับหวังจินเหยียนในโรงเตี๊ยมตลอดทั้งคืน เช้าวันต่อมา นางก็สวมหน้ากากเพื่อเตรียมตัวกลับไปยังจวนหลี่
“ตอนนี้ข้าก็ได้มาถึงแคว้นเซี่ยแล้ว น่าจะหาโอกาสแสดงฝีมือเสียหน่อย เพราะท่านพ่อของข้าเป็นเหตุ อยู่ที่แคว้นหนิงก็ไม่ได้มีตำแหน่งงานดีๆ สู้ให้ข้าเป็นทูตจากแคว้นหนิง เข้าวังไปถามเซี่ยหวนอวี่ดูดีกว่าว่า เหตุใดองค์หญิงแห่งแคว้นหนิงของข้า เมื่อมาอยู่แคว้นเซี่ยได้เพียง 3 เดือน ก็เหมือนว่าจะไม่ใช่องค์หญิงเสียแล้ว” ก่อนจะจากลา หวังจิ้นฮวนก็ได้เอ่ยขึ้นกับหยุนชาง
หยุนชางครุ่นคิด แม้นางจะมองว่าเรื่องนี้คงไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรมากนัก แต่หลังจากที่นางมาอยู่ที่แคว้นเซี่ยแล้ว คนที่นี่ก็เหมือนจะลืมไปแล้วว่า นอกจากนางจะเป็นพระชายารุ่ยอ๋อง นางยังมีฐานันดรศักดิ์อีกอย่างหนึ่ง หากได้หวังจิ้นฮวนมาช่วยทำให้คนเหล่านี้ได้ตระหนักถึงฐานะองค์หญิงของนาง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลย
“ก็ดีเหมือนกัน ข้ายังพกป้ายประจำตัวที่เสด็จพ่อเคยมอบให้ข้า เจ้าจงถือป้ายนี้เข้าไปในวัง คิดคำพูดเอาไว้ดีๆล่ะ” นางนิ่งไปสักพัก แล้วจึงพูดต่อไปว่า “เจ้าจะไปเมื่อไร? พาข้าไปด้วยนะ”
หวังจิ้นฮวนพยักหน้า เขาทำการนัดหมายเวลากับหยุนชาง จากนั้นหยุนชางก็กลับไป
หยุนชางอยู่พูดคุยกับหวังจินเหยียนมาทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงจวนหลี่แล้วจึงรู้สึกง่วงนอน ในขณะที่นางกำลังจะล้มตัวลงนอนนั้น ก็เห็นเฉี่ยนอินเดินเข้ามาหา “ได้คุยกับพ่อบ้านแล้วเพคะ พ่อบ้านบอกว่า คืนก่อนพิธีฝังพระศพ 1 คืน ร่างของพระชายาตัวปลอมก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พ่อบ้านรีบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ ฮ่องเต้จึงสั่งให้เขานำโลงศพที่ว่างเปล่าไปทำพิธีฝัง แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นมาอีก ตอนนี้ เรื่องของเมื่อวานนี้กำลังถูกนำไปพูดต่อๆกันจนแพร่สะพัด ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พระชายารุ่ยอ๋องสิ้นพระชนม์อย่างผิดปกติ วิญญาณจึงสำแดงฤทธิ์ด้วยการทำให้ร่างหายไปได้เพคะ”
“ทำให้ร่างหายไปได้?” หยุนชางหัวเราะ “อะไรกัน การคุ้มกันของจวนรุ่ยอ๋องในตอนนี้ไม่เข้มงวดถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ร่างของพระชายาทั้งองค์จะหายไปดื้อๆโดยไม่มีใครรู้เห็นเลยเนี่ยนะ?”
เฉี่ยนอินกล่าวรายงานต่อ “เรื่องนี้จะโทษพ่อบ้านก็ไม่ได้เพคะ เพราะระหว่างที่จัดงานพระศพ ทุกคนในจวนต่างก็วุ่นวาย พ่อบ้านทราบดีว่าร่างนั้นเป็นร่างพระชายาตัวปลอม จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก คนเฝ้ายามก็เผลอหลับไปในตอนกลางคืน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วกำลังจะปิดฝาโลง จึงได้รู้ว่าพระศพหายไปแล้วเพคะ”
หยุนชางขมวดคิ้ว นางรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง “ใครมันจะมาขโมยศพกันนะ คนที่มาขโมยศพนั่นจะรู้หรือไม่ว่าศพนั่นเป็นศพปลอม”
เฉี่ยนอินเองก็ใคร่รู้ “จะเป็นไปได้ไหมเพคะว่า
หยุนชางครุ่นคิดแล้วจึงพยักหน้า “ก็อาจจะเป็นไปได้” หยุนชางเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง คงจะนำศพไปชันสูตรเป็นแน่ ฝ่ายพิสูจน์ศพก็มีอยู่ไม่กี่คน เจ้าสั่งให้สายลับคอยจับตาดูให้ดีก็แล้วกัน”
เฉี่ยนอินรับคำ นางมองไปที่หยุนชางแล้วพูดออกมาเบาๆ “พระชายาทรงพักผ่อนเถอะเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะอยู่ดูแลพระองค์เอง”
หยุนชางนิ่งไปสักพัก แล้วจึงพูดว่า “เฉี่ยนอิน เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอกนะ ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็ยังคงเป็นมือขวาของข้า ความสามารถของเจ้าไม่ได้มีเพียงแค่การช่วยข้าแต่งองค์ทรงเครื่อง ตอนนี้หนิงเชียนที่อยู่ในวังยังทำอะไรไม่ค่อยสะดวก ข้าคิดว่า เมื่อกลับไปยังจวนรุ่ยอ๋องแล้ว จะหาทางให้เจ้าออกมาข้างนอก เพื่อช่วยข้าจัดการร้านต่างๆภายในเมืองจิ่น”
เฉี่ยนอินครุ่นคิด นางรู้ดีว่าที่หยุนชางพูดเช่นนี้ก็เพื่อต้องการปลอบประโลมนาง นางรู้สึกซาบซึ้งจนแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ นางพยักหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “เพคะ หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
หวังจิ้นฮวนตัดสินใจเข้าวังในเช้าวันที่สอง หยุนชางก็ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว นางแอบออกไปจากจวนหลี่อย่างเงียบๆทางประตูหลังจวน เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมนางก็แปลงโฉมเป็นอีกแบบหนึ่ง แล้วจึงตามหวังจิ้นฮวนเข้าไปในวัง
เพื่อไม่ให้หยุนชางกลายเป็นที่สะดุดตา หวังจิ้นฮวนยังพาคนติดตามไปด้วยอีก 3 คน เมื่อจะเข้าไปในเขตพระราชวัง เขาก็รายงานว่าตนเองเป็นข้าราชบริพารมาจากแคว้นหนิง พร้อมยื่นป้ายแสดงตัวตนเพื่อขอเข้าเฝ้าเซี่ยหวนอวี่
ขันทีทำการตรวจสอบว่าพวกเขาได้พกพาอาวุธมาด้วยหรือไม่ เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้ว หวังจิ้นฮวนก็ได้พาผู้ติดตามทั้งสี่ยืนรอพระบรมราชานุญาติอยู่ที่ประตูวัง ผ่านไปได้สักพัก หยุนชางก็ได้เห็นหลิวเหวินอันเดินออกมาจากตำหนักไท่จี๋ นางเดินมาตรงหน้าพวกเขาแล้วมองไปยังหวังจิ้นฮวนที่สวมชุดสีแดง นางมีท่าทีสงสัยเล็กน้อย “ท่านผู้นี้คือใต้เท้าหวังจากแคว้นหนิงใช่หรือไม่?”
หยุนชางแอบหัวเราะในใจ นางคงเห็นว่าลักษณะท่าทางของหวังจิ้นฮวนดูไม่เหมือนขุนนางเลยสินะ
หวังจิ้นฮวนเคยชินแล้วกับการที่มีผู้คนมองเขาด้วยท่าทีเช่นนั้น เขาตอบกลับไปว่า “ใช่แล้ว”
เมื่อเดินขึ้นไปยังบันไดที่ทอดยาว ก็มาถึงตำหนักไท่จี๋ของแคว้นเซี่ย ตำหนักไท่จี๋ก็เหมือนตำหนักจินหลวนของแคว้นหนิง มีไว้รับรองเหล่าขุนนางและทูตานุทูต มาอยู่แคว้นเซี่ยได้ถึง 3 เดือนแล้ว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่หยุนชางได้เข้ามาภายในตำหนักไท่จี๋
พื้นของในตำหนักไท่จี๋เป็นพื้นหินอ่อนเงาวาว ทางเดินจากทางเข้าตำหนักไปยังเก้าอี้ประทับลายมังกรปูลาดด้วยหินหยก ตรงกลางสลักลายมังกรและหงส์ฟ้าเอาไว้ เพดานตำหนักไท่จี๋ เป็นภาพวาดสัญลักษณ์หยินหยาง
หยุนชางก้มหน้า นางเดินตามหวังจิ้นฮวนไปตามทางเดินหินหยก รูปสลักลายมังกรและหงส์ฟ้าที่อยู่ตรงกลางนั่น ไม่มีผู้ใดสามารถเดินไปเหยียบได้โดยเด็ดขาด เดินต่อไปได้อีกหน่อย หวังจิ้นฮวนก็คุกเข่าลง “หม่อมฉันหวังจิ้นฮวน ราชทูตแห่งแคว้นหนิงพ่ะย่ะค่ะ……”
“เซียวหยุนพ่ะย่ะค่ะ” หยุนชางก้มหน้าแล้วบอกชื่อของตน โชคดีที่หลิ่วหยินเฟิงไม่อยู่ มิเช่นนั้นแล้ว เขาจะต้องเพ่งเล่งชื่อนี้แน่ๆ แต่ในตอนนั้นหยุนชางคิดชื่อใหม่ที่เหมาะสมไม่ออกแล้วจริงๆ
“ซูรุ่ยพ่ะย่ะค่ะ”
“ถวายบังคมฮ่องเต้” หลังจากที่ทุกคนรายงานชื่อของตนจนครบแล้ว พวกเขาก็เปล่งเสียงถวายบังคมพร้อมๆกัน แล้วก้มลงถวายความเคารพแด่เซี่ยหวนอวี่
“คณะทูตทั้งห้าลุกขึ้นเถิด” เซี่ยหวนอวี่ตรัสด้วยพระสุรเสียงที่น่าเกรงขาม “นำเก้าอี้มาให้พวกเขาทั้งห้าด้วย”
ขันทียกเก้าอี้มาให้ หยุนชางและหวังจิ้นฮวนนั่งลงพร้อมๆกัน แล้วจึงค่อยๆเงยหน้าไปมองอำมาตย์ที่ยืนอยู่สองฝั่ง หยุนชางสังเกตได้ว่า พวกเขามีสีหน้าที่ไม่ค่อยไว้วางใจ