ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 477 อารมณ์โกรธพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า
หยุนชางฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าก็มืดสลัวลงเสียแล้ว หยุนชางหันมองซ้ายขวา มิรู้ว่าตอนนี้เป็นยามใดแล้ว หากแต่ได้กลิ่นยาจาง ๆ ลอยมาตามลม เกรงว่ากลิ่นคงลอยมาจากหม้อต้มยากระมัง
พลันได้ยินเสียงประตูถูกผลักเข้ามา “เอี๊ยด” หยุนชางพลันเอื้มมือเข้าไปใต้หมอนคลำหากริชโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นตึกตัก พลางได้ยินน้ำเสียงดีใจของหลิ่วหยินเฟิงดังเข้ามา “เจ้าตื่นแล้ว ?”
หยุนชางพลันตกตะลึง พร้อมหันไปมองเขา ที่เดินถือถ้วยยาเข้ามา มีรอยดำแต้มเป็นจุด ๆ อยู่บนเสื้อผ้าอาภรณ์ของเขา เกรงว่าคงจะเปื้อนตอนต้มยากระมัง
“ท่านต้มยาหรือ ? ผู้ติดตามของท่านเล่า ? “หยุนชางเมื่อเปิดปากพูด กลับรู้สึกเจ็บคอเป็นอย่างมาก น้ำเสียงแหบแห้งฟังไม่เป็นประโยค พร้อมถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับหม่อมฉัน ?”
หลิ่วหยินเฟิงพลางยื่นถ้วยยาส่งมาให้หยุนชาง พร้อมกระซิบเบา ๆ ว่า “ข้าถูกส่งขึ้นไปบนภูเขาเพื่อตามหาคน เจ้าต้องเย็นเข้าจึงมีอาการตัวร้อน เกรงว่าเจ้าคงหกล้มกระมัง ซี่โครงหักไปหนึ่งซี่ กินยาในตอนที่ยังร้อนอยู่เสีย”
หยุนชางรับยามา พร้อมตอบรับเสียงเบา หาคนงั้นหรือ เกรงว่ายังไม่มีข่าวคราวจากพวกเฉียนยินมากระมัง พร้อมเงยหน้ายกถ้วยชาดื่มจนหมด พร้อมถามว่า “ยังหาไม่เจองั้นหรือ ? ”
หลิ่วหยินเฟิงหันมามองหยุนชางเพียงชั่วครู่ จึงตอบกลับว่า “ข้าพบศพสิบสามศพ เจ้าพกคนติดตามเจ้ามากี่คน ? ข้าได้ยินมาว่า ผู้ติดตามของท่านอ๋องล้วนแต่เป็นยอดคน บุคคลที่ต้องการฆ่าเจ้าเป็นผู้ใดกัน ที่เก่งกาจขนาดนี้ ?”
“เก่งกาจหรือ ?”หยุนชางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา เกือบจะทุบถ้วยชาที่อยู่ในมือทิ้งเสีย “เป็นเพียงแค่กลยุทธิ์ที่ชั่วช้าเท่านั้น หม่อมฉันไม่คิดว่า พวกเขาจะกล้าวางยาใส่ลำธารบนภูเขา เป็นหม่อมฉันที่ประมาทเลินเล่อไปเอง”
เป็นผู้ใดที่ลงมือนั้น ภายในใจของนางกำลังครุ่นคิด เกรงว่าเป็นผู้คนเหล่านั้นแน่ ทว่ามิรู้ว่าเป็นอ๋องเจ็ด หรือว่าฮองเฮา หรือว่าเสิ่นซู่เฟย
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม นางจักมิปล่อยไว้แน่ จะต้องให้พวกเขาได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป
“เจ้ามิได้ไปวิหารหานอวิ๋นหรอกหรือ ? ” หลิ่วหยินเฟิงลอบมองสีหน้าของหยุนชาง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน หยุนชางชะงักไปเล็กน้อย พลางขมวดคิ้วขึ้นมา พร้อมจ้องมองหลิวหยินเฟิงราวกับตรวจสอบอะไรบางอย่าง
หลิ่วหยินเฟิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ข้ารับใช้ที่ทำการค้นหาบนภูเขานั้นนำสัมภาระกลับมา ข้าตรวจสอบดูแล้วข้างในล้วนแต่เต็มไปด้วยยาถอนพิษและยาล้างพิษต่าง ๆ หากไปวิหารหานอวิ๋นจริง จำเป็นจะต้องใช้ของเช่นนี้หรือ เจ้าจะเดินทางไปเผ่าหย่าใช่หรือไม่ ?”
หยุนชางพลางขมวดคิ้วมิได้เอ่ยพูดอันใดออกมา หลิ่วหยินเฟิงที่เดาทางออก พลางถอนหายใจออกมา “เมื่อวานนี้ ข้าฉุกคิดได้แล้ว. หากไปวิหารหานอวิ๋นจริง ๆ เหตุใดเจ้าจักแต่งตัวเช่นนี้กัน อีกทั้งยังรีบร้อนขี่ม้าออกไปอีก ” เมื่อเงียบไปชั่วครู่ จึงพูดขึ้นมาอีกว่า “เจ้ามิควรไปที่นั่น ผู้คนทั้งหมดล้วนแต่กำลังจับจ้องมายังวังรุ่ยอ๋อง เจ้าและรุ่ยอ๋องมาถึงแคว้นเซี่ยได้ไม่นาน รุ่ยอ๋องแสดงออกกับชัดเจนถึงเพียงนั้น พวกเขาล้วนรู้หมดว่าเจ้าคือจุดอ่อนของรุ่ยอ๋อง ล้วนแต่อยากจะลงมือกับเจ้า เจ้ายิ่งต้องดูแลตนเองให้ดี”
หยุนชางก้มหัวลง แพขนตาสั่นระริกเล็กน้อย นางจักไม่รู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้อย่างไร หากแต่นางก็มิอยากทำตัวเป็นสตรีที่อ่อนแอหลบอยู่แต่หลังลั่วชิงเหยียน นางอยากจะเป็นสตรีที่ยืนอยู่ข้างเขา เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเขา และคอยสนับสนุนเขาอยู่ข้าง ๆ เช่นนี้ แต่ดูเหมือนว่า นางกลับทำให้เขาต้องเหนื่อยเพราะนาง
หลิ่วหยินเฟิงเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ภายในใจรู้สึกขมขื่นเป็นอย่างมาก เมื่อกำลังจะพูดปลอบใจนางนั้น พลันได้ยินน้ำเสียงรีบร้อนจากภายนอกดังเข้ามา ประตูพลันถูกเปิดออก หยุนชางเงยหน้าขึ้น พบกับผู้ติดตามของหลิ่วหยินเฟิงที่ยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ “นายท่าน.
หยุนชางพลันตกตะลึง ร่างกายแข็งทื่อ เพียงชั่วครู่ จึงพลิกตัวลงจากเตียง พร้อมวิ่งออกไปด้านนอก “เฉียนยินอยู่ที่ใด ? “เพียงก้าวขาได้เพียงสองก้าว พลันล้มลงกับพื้น ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาทันที พร้อมคิดถึงคำพูดของหลิ่วหยินเฟิงเมื่อครู่ เหมือนว่านางจะซี่โครงหัก ?
หลิ่วหยินเฟิงรีบร้อนมาพยุงหยุนชางลุกขึ้นมา “เจ้ามิต้องรีบร้อน ” เมื่อพูดจบพลางหันไปหาผู้ติดตามว่า “แม่นางเฉียนยินเป็นเช่นไร ? ตอนนี้อยู่ที่ใดแล้ว ?”
ผู้ติดตามท่านนั้นเหลือบมองหยุนชาง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความลังเลว่า “แม่นางเฉียนยิน บาดเจ็บสาหัสมากเลยขอรับ ทว่ายังมีลมหายใจอยู่ ท่านหมอกำลังไปดูอาการแม่นางเฉียนยิน”
บาดเจ็บสาหัสหรือ ?หยุนชางพลันขมวดคิ้ว ภายในใจเจ็บปวดยิ่งนัก พร้อมกับปลอบใจตนเองว่า ไม่เป็นไร อย่างน้อยนางยังมีชีวิตอยู่ แค่มีชีวิตอยู่ก็ดีมากแล้ว
“ข้าอยากเจอเฉียนยิน” เมื่อเปิดปากพูดออกมาต้องใช้แรงเป็นอย่างมาก หยุนชางจึงรู้สึกเจ็บคอเล็กน้อย
หลิ่วหยินเฟิงพยักหน้ารับ พร้อมพยุงแขนของหยุนชางพานางออกมาจากห้อง ที่นี่เป็นจวนที่หน้าตาดูธรรมดาเป็นอย่างมาก ภายในจวนล้วนแต่เต็มไปด้วยสมุนไพรตากแห้ง พื้นที่ในจวนที่ว่างอยู่นั้น มีแปลที่เรียบง่ายวางอยู่ หยุนชางพลางรีบร้อนเดินเข้าไปด้านข้างเปล น้ำตาพลันไหลออกมา
สายใช้ที่ร่าเริงอยู่บ่อยครั้ง กำลังนอนอยู่บนเปลราวกับร่างที่ไร้ชีวิต บนเสื้อผ้าอาภรณ์รอบตัวล้วนแต่เต็มไปด้วยบาดแผล ไม่สามารถบอกได้เลยว่านางมีบาดแผลอยู่ที่ใดบ้าง ใบหน้าล้วนแต่เต็มไปด้วยเลือด
หยุนชางพยายามส่งเสียงออกมา หากแต่ร่างกายของนางกลับสั่นเทา แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ เพียงชั่วครู่ จึงพยายามพึมพำเรียกชื่อออกมา “เฉียนยิน”
เมื่อหลิ่วหยินเฟิงเห็นดังนั้น พลางเงยหน้าขึ้น รีบร้อนหันไปถามท่านหมอที่กำลังตรวจดูร่างกายเฉียนยินอยู่นั้น “ท่านหมอ. แม่นางผู้นี้”
ท่านหมอผู้นี้อายุประมาณสี่สิบปีได้ พลางขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อตรวจดูไปได้สักพัก จึงพูดออกมาว่า “นำตัวแม่นางผู้นี้เข้าไปในห้องเสีย นางอาการบาดเจ็บสาหัสเป็นอย่างมาก มีชีวิตจนถึงตอนนี้ได้ นับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่ง หากแต่มือของนางนั้น เกรงว่าจะใช้การไม่ได้เสียแล้ว บาดแผลช่วงท้องลึกเป็นอย่างมาก อาการเป็นเช่นไรนั้น ต้องรอดูข้าตรวจอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่งก่อน”
หลิ่วหยินเฟิงรีบร้อนสั่งให้ข้ารับใช้ยกเฉียนยินเข้าไปในห้อง พร้อมเหลือบมองใบหน้าที่ซีดขาวของหยุนชาง พร้อมกระซิบบอกว่า “ไม่ต้องกังวลไป แม่นางเฉียนยินจักต้องไม่เป็นอันใดอย่างแน่นอน”
“ไม่เป็นไรงั้นหรือ ? ” หลุนชางพึมพำเบา ๆ พลางหลับตาลง เกรงว่าน้ำตาจะไหลออกมา เฉียนยินที่นอนอยู่ตรงหน้านั้น ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือดเช่นนี้ จักไม่เป็นอันใดได้อย่างไร ? ท่านหมอบอกว่า มือของนางใช้การไม่ได้แล้ว รักษาไม่ได้แล้ว จักไม่เป็นอันใดได้อย่างไร ? ภายในใจนางกลับไม่สามารถกล่าวโทษหลิ่วหยินเฟิงได้ เขาเป็นผุ้ที่ช่วยนางและเฉียนยินไว้. นางกลับเกลียดตัวเองยิ่งนัก เกลียดตัวเองที่ไม่สามารถทำอันใดได้
หยุนชางพลางกัดฟัน ค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้อง ท่านหมอขมวดคิ้วพร้อมบอกว่า “พวกเจ้าเข้ามากันทำไม ? ข้าจักต้องถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้แม่นางผู้นี้ เพื่อดูว่าร่างกายของนางมีที่ใดได้รับบาดเจ็บอีกบ้าง พวกเจ้าออกไปเสีย”
หยุนชางพลันหันหลังไปหาหลิ่วหยินเฟิง พร้อมค่อย ๆ เปิดปากพูดด้วยลมหายใจไม่ค่อยคงที่ว่า “ต้องขอบคุณคุณชายหลิ่วเป็นอย่างมาก บุญคุณนี้หม่อมฉันจะไม่ลืมเลย คุณชายหลิ่วยุ่งมาทั้งวันแล้ว ท่านไปพักผ่อนเสียหน่อยเถิด หม่อมฉันจะอยู่ดูที่นี่เอง”
ท่านหมอพลันเงยหน้ามองหยุนชาง “เจ้ายังเป็นคนไข้ ช่วยอะไรข้ามิได้หรอก เจ้าจักต้องดูอะไรอีก?”
“หุบปาก ” หลิ่วหยินเฟิงพลันขึ้นเสียง ท่านหมอตกตะลึงไปครู่หนึ่ง พลางลอบมองหลิ่วหยินเฟิง พร้อมก้มหัวพูดพึมพำอะไรบางอย่าง หลิ่วหยินเฟิงจึงหันมามองหยุนชาง เงียบไปชั่วครู่พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ได้ ข้าจักไปรอที่ด้านนอก ” มิรอให้หยุนชางได้ตอบกลับ จึงเดินออกไปจากห้องทันที
ท่านหมอจึงเดินไปปิดประตู พร้อมเดินมายังที่ข้างเตียง พลางค่อย ๆ แก้เสื้อผ้าของเฉียนยินออก อาภรณ์ที่ย้อมไปด้วยเเลือดนั้นถูกติดกับบาดแผล จึงยากที่จะแกะออกจากกันได้ ท่านหมอจึงค่อย ๆ นำกรรไกรออกมาตัดอาภรณ์ที่อยู่รอบ ๆ บาดแผลทีละนิด
หยุนชางจ้องมองอย่างตั้งอกตั้งใจ มือขวาของเฉียนยินถูกตัดออก บาดแผลพลันเต็มไปด้วยเลือด หยุนชางที่มองดูอยู่นั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
บาดแผลภายนอกเป็นเพียงรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น หยุนชางพลันสลักไว้ภายในใจว่า หากวันใดที่พบตัวคนลงมือละก็ นางจักต้องทำรอยแผลพวกนี้ไว้บนร่างกายคนผู้นั้นอย่างแน่นอน
มิใช่เรื่องง่ายเลยที่ท่านหมอจักสามารถถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ของเฉียนยินที่ย้อมไปด้วยเลือดออกมาได้ พลางพึมพำเบา ๆ ว่า “ยังดีหน่อย ที่มิได้มีบาดแผลร้ายแรงที่ใดอีก ทว่าเสียเลือดไปค่อนข้างมาก”