ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 471 อุบายล้อมจวน (๑)
หยุนชางยิ้มบางๆ “งั้นหรือ? บางทีอาจเป็นเพราะข้าเพิ่งมาถึงแคว้นเซี่ยและไม่เข้าใจกฎระเบียบของที่นี่นัก ที่แคว้นหนิงนั้น หากชายหนุ่มพูดสิ่งเหล่านี้กับหญิงที่แต่งงานไปแล้วนั้นคือการลวนลาม สาวใช้ของข้าจึงนึกว่าท่านอ๋องเจ็ดเป็นชายบ้ากาม เพียงแต่ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้อีกเลย แม้ว่าหญิงสาวส่วนใหญ่จะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม แต่นั่นก็ชัดเจนอยู่แล้ว ท่านอ๋องเจ็ดลวนลามสาวงามจนเคยชิน หากไปพบคนที่นิสัยไม่ดีนักหรือว่ามีวิทยายุทธ์เข้า ท่านอ๋องร่างกายอ่อนแอราวกับผู้หญิงเช่นนี้ ข้าเกรงว่าจะเป็นอันตราย”
เมื่อสิ้นเสียงของหยุนชางก็เกิดประกายเพลิงโทสะพวยพุ่งอยู่ในดวงตาของเขาทันที ดูเหมือนนางจะไปกระทบจุดอ่อนของเขาเข้า หยุนชางหัวเราะเบาๆ “มืดค่ำเช่นนี้แล้ว ท่านอ๋องเจ็ดรีบกลับจวนเถอะ ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงยามกลางคืนไร้แสงไฟแล้วพบเจอคนตาถั่วเห็นท่านอ๋องเป็นสตรีเข้า เกรงว่า…”
โดยไม่รอให้เขาตอบโต้ หยุนชางหันไปพูดกับเฉี่ยนอินว่า “เฉี่ยนอิน ขึ้นรถ พวกเรากลับจวนกันเถอะ”
เฉี่ยนอินขานรับ นางเก็บดาบและเหลือบมององค์ชายเจ็ดก่อนจะกระโดดขึ้นรถม้าและปิดประตูรถ นางไม่ได้เข้าไปข้างในเพียงนั่งอยู่ด้านนอก หันหน้าไปเอ่ยกับคนขับรถม้าว่า “ไปเถอะ”
คนขับรถม้าชำเลืองมององค์ชายเจ็ดและมองไปยังสาวใช้ข้างกายที่กำลังถือดาบและมีสีหน้าดุ เขาตวัดแส้แล้วจึงขับรถม้าอ้อมรถม้าขององค์ชายเจ็ดแล้วมุ่งหน้าไปยังจวนรุ่ยอ๋อง
หลังจากเดินทางไปได้ราวสิบห้านาทีก็มาถึงจวนรุ่ยอ๋อง เฉี่ยนอินช่วยพยุงหยุนชางลงจากรถแล้วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่แคว้นหนิง หม่อมฉันเห็นว่าท่านอ๋องเจ็ดท่าทางสุภาพอ่อนโยนและไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร คิดว่าเขาก็ไม่เลวนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนที่ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง หากครั้งหน้าพบเขาอีก หม่อมฉันจะเอากระบี่แทงเขาไปเลยและดูว่าเขาจะยังอวดเก่งอย่างไรได้อีก”
หยุนชางนวดหน้าผากเบาๆ พลางถอนหายใจ “เฉี่ยนอิน นิสัยเจ้าจะมุทะลุเกินไปหน่อยแล้ว”
เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว หยุนชางก็พักผ่อน วันรุ่งขึ้นนางก็ถูกเฉี่ยนอินปลุก เฉี่ยนอินหยิบเสื้อผ้ามาและเอ่ยกับนางว่า “พระชายา เช้าวันนี้ ใต้เท้าซูนำคนไปที่จวนกั๋วกง บอกว่ามีคนมาแจ้งเขาว่ามีกบฏซ่อนอยู่ในจวนกั๋วกง”
“ไท่เว่ย?” หยุนชางตื่นตัวขึ้นในทันใด นางขมวดคิ้วมุ่น “ถึงแม้จะเป็นไท่เว่ยแต่ก็ใช่ว่าจะค้นจวนกั๋วกงได้สุ่มสี่สุ่มห้ามิใช่หรือ? สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เฉี่ยนอินรีบตอบ “เมื่อครู่นี้มีสายลับมารายงานว่าเหล่านายน้อยและภรรยาต่างก็ขัดขวางไม่ให้ไท่เว่ยเข้าไป โชคดีที่กั๋วกงฮูหยินขี่ม้ากลับมาทัน ตอนนี้นางได้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่วังแล้วเพคะ”
หยุนชางได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของนางก็ปรากฏแววเย็นชา “ไท่เว่ยใช่ไหม… ทำให้ท่านยายต้องขี่ม้ากลับมาโดยไม่คำนึงถึง ร่างกายของนาง ไปเถอะ พวกเราไปจวนกั๋วกงกันเถอะ เหล่านายน้อยและภรรยาคงยังไม่พอ อย่างไรข้าก็ต้องไปช่วยสนับสนุนท่านยายอีกแรงเพื่อขอให้ฝ่าบาทคืนความยุติธรรมให้”
ไท่เว่ยซูฉีเป็นบิดาของฮองเฮาซูหรูจี หยุนชางเอนตัวพิงรถม้าพลางครุ่นคิด หรือว่าเป็นดังที่เจียงหนูซีผู้นั้นบอกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังกู้เฉาเกอก็คือไท่เว่ย? หรืออาจเป็นฮองเฮา?
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนกั๋วกง หยุนชางก็เห็นทหารล้อมจวนไว้หลายชั้น คนในจวนกั๋วกงเองก็ยืนขวางประตูไว้ สายตามองไปยังไท่เว่ยที่นั่งดื่มชาบนเก้าอี้อยู่หน้าประตู หยุนชางยิ้มเย็นและลงมาจากรถม้าพลางยิ้มจนตาหยีและเอ่ยว่า “ท่านไท่เว่ยช่างมีเวลาว่างเสียจริง ผ่านไปอีกครู่หากแดดออกเกรงว่าท่านจะยิ่งไม่สบายมากขึ้นไปอีก”
ซูฉีได้ยินดังนั้นก็หันศีรษะกลับมาเหลือบมองหยุนชาง ดวงตาฉายแววดูหมิ่น “ข้าไม่ได้มาดื่มชา มีข้ารับใช้จากจวนกั๋วกงมารายงานว่ามีหลักฐานการกบฏซ่อนอยู่ในจวนกั๋วกง ที่ข้ามาก็เพื่อปกป้องไม่ให้หลักฐานนั้นจากการถูกทำลาย อย่างไรพระชายาก็เป็นสตรี อย่าเข้ามาแทรกแซงเลยจะดีกว่า”
“งั้นหรือ?” หยุนชางเดินไปที่ประตูอย่างเชื่องช้าและยิ้มปลอบคนในจวนกั๋วกงบางคนที่มีท่าทางตื่นตระหนก จากนั้นจึงหันไปกล่าวว่า “บางทีข้าอาจจะไม่คุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ของแคว้นเซี่ยนัก ข้าไม่รู้ว่าท่านไท่เว่ยมีอำนาจตรวจค้นจวนของขุนนางระดับหนึ่งในราชสำนักด้วย”
“พระชายารุ่ยอ๋อง ท่านจะมาพูดจาเหลวไหลไม่ได้ ท่านเห็นข้าค้นจวนตั้งแต่เมื่อใดกัน? ข้าแค่กลัวว่าหลักฐานจะถูกทำลายจึงมาเพื่อปกป้องมันเท่านั้น ข้าได้ถวายฎีกาต่อฝ่าบาทแล้ว เมื่อมีพระราชโองการลงมาย่อมสามารถค้นได้” ไท่เว่ยลูบเคราของตนเองเล็กน้อยแล้วจึงยิ้มกว้าง
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง…” สีหน้าของหยุนชางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางจัดระเบียบแขนเสื้อเล็กน้อยแล้วหันไปกระซิบกับเฉี่ยนอินเบาๆ “ข้าได้ยินมาว่าท่านไท่เว่ยมีอำนาจทหารมากมายในมือ หากท่านไท่เว่ยเป็นอะไรไป แคว้นเซี่ยต้องแย่แน่ ทหารนับหมื่นของแคว้นเซี่ยก็คงจะไม่มีผู้นำอีกต่อไป คนสำคัญเช่นนี้สมควรได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างดี ไปเถอะ ไปนำกำลังทั้งหมดของจวนรุ่ยอ๋องไปคุ้มครองจวนและคนในจวนของท่านไท่เว่ยให้ดี”
ทุกคนในจวนกั๋วกงที่อยู่เบื้องหลังได้ยินคำพูดนั้นก็มองหน้ากันไปมา บุตรชายคนโตของฮวากั่วกงหัวเราะออกมาเล็กน้อย “จะว่าไปแล้วพวกเราก็มีกำลังกว่าร้อยคนที่ไม่ได้เฝ้าอยู่ที่จวน พวกเขาอยู่ที่ค่ายฝึกแถบชานเมืองสามารถโยกย้ายได้ แม่นางท่านนี้ก็โปรดนำไปด้วยกันเถอะ” เขาพูดพลางหยิบป้ายคำสั่งสีดำจากเอวให้เฉี่ยนอิน
เมื่อซูฉีได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นในทันใด เขาตบแขนเก้าอี้อย่างโกรธเคือง “เจ้ากล้าดียังไง!”
“ท่านไท่เว่ยไม่ต้องมากพิธีนัก นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ จริงสิ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักเช่นท่าน หากถูกคนหลอกใช้ประโยชน์และในจวนกั๋วกงไม่มีหลักฐานกบฏอันใด อย่างไรท่านก็มีอำนาจน่าเกรงขามกว่ากั๋วกงที่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองมากว่ายี่สิบปีแล้วยิ่งนัก เขียนฎีกาในนามของข้าขอให้ฝ่าบาทส่งคนไปค้นจวนไท่เว่ย” หยุนชางขึ้นเสียง ดวงตาของนางยิ่งเย็นเยียบลง
“ได้ยินที่พระชายาพูดหรือไม่? ถวายฎีกาในนามของฮวากั๋วกงไปด้วยอีกฉบับเถอะ จะได้ส่งเข้าวังพร้อมกันเลย”
ซูฉีลุกขึ้นยืนและชี้นิ้วไปที่หยุนชางก่อนจะพูดอย่างเกลียดชัง “พระชายารุ่ยอ๋อง วันนี้ท่านจะขัดขวางข้าให้ได้งั้นหรือ?”
“ขัดขวาง?” หยุนชางแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจและพูดอย่างอึดอัดใจ “ใต้เท้าซูพูดอะไรเช่นนี้ ข้าเองก็เป็นพระชายาแห่งแคว้นเซี่ยย่อมต้องทำทุกอย่างเพราะเห็นแก่แคว้นเซี่ย”
เมื่องมองดูใบหน้าบูดเบี้ยวของซูฉีแล้ว หยุนชางก็เย้ยหยันเขาอยู่ในใจครู่หนึ่ง ก่อนหน้าที่คังหยางยามที่นางเผชิญหน้ากับฉีหล่างนั้น นางก็ได้รู้ว่าการรับมือกับบุคคลเหล่านี้ ไม่สามารถเอ่ยอ้างถึงตรรกะหรือกฎเกณฑ์ใดๆ ได้ แต่จะต้องทำตัวให้ไร้เหตุผลยิ่งกว่าพวกเขา อย่างไรหยุนชางเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าซูฉีคิดเล็กคิดน้อยกับนางมากเกินไป เขาก็แพ้แล้ว
หยุนชางไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น นางรีบให้เฉี่ยนอินรีบไปนำคนมาล้อมจวนไท่เว่ย ทั้งยังเขียนฎีกาเรียบร้อยแล้วและให้สายลับนำป้ายประจำตัวนางเข้าวังไป
ซูฉีนั่งอยู่ด้านนอกประตู หยุนชางและผู้คนในจวนกั๋วกงก็นั่งเป็นเพื่อนไปกับเขาด้วย เสิ่นอี๋หลานเห็นดังนั้นก็เข้าใจสิ่งที่หยุนชางกำลังคิดอยู่และเรียกสาวใช้ให้ไปหยิบผลไม้แช่เย็นจากห้องเก็บน้ำแข็งมาที่ประตู แล้วยังมีอ่างน้ำแข็งหลายอ่าง แม้ว่าแสงจากดวงอาทิตย์จะค่อยๆ แรงขึ้นก็ไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีสาวใช้ถือคอยพัดก้อนน้ำแข็งจึงมีลมเย็นพัดมา