ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 469 เพ้อหาดวงใจ
“ทำอย่างไรกันดี?” หยุนชางทวนคำพูดของเฉี่ยนอิน แล้วจึงพูดออกมาอย่างหน้าชื่นอกตรม “รอ ตอนนี้เราทำได้แค่รอเท่านั้น คนที่เราส่งไปชุมชนชาวหย่าต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะถึงที่หมาย ตอนนี้เรายังไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัด หากบุ่มบ่ามทำอะไรไป อาจจะเข้าทางของผู้ที่คิดร้ายต่อเราอยู่ก็เป็นได้ ตอนนี้ก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของเสิ่นซู่เฟยไปก่อนก็แล้วกัน”
เฉี่ยนอินรับคำ นางช่วยหยุนชางถอดชุดคลุมด้านนอกออก ระหว่างนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “กรมอาญาส่งข่าวมาว่า การเสียชีวิตของฮูหยินน้อยหลิ่ว มิได้เป็นไปตามคำสารภาพของบ่าวไพร่ในจวนกั๋วกงเลยเพคะ ยาพิษนั่นถูกใส่ลงไปในถ้วยน้ำชาของฮูหยินน้อยหลิ่ว และยาพิษชนิดเดียวกันนั้นก็เคลือบอยู่ที่หยกแขวนที่ฮูหยินน้อยหลิ่วห้อยไว้บริเวณเอวเพคะ”
“หยกแขวน?” หยุนชางหันมามองเฉี่ยนอินด้วยความสงสัยใคร่รู้
เฉี่ยนอินพยักหน้าแล้วหยิบภาพวาดภาพหนึ่งออกมาจากใต้แขนเสื้อ คลี่ออก แล้วส่งให้หยุนชางดู “ใต้เท้าหลี่บอกว่าไม่สะดวกที่จะนำหยกแขวนส่งมาให้พระชายาทอดพระเนตร จึงได้วาดภาพภาพนี้ขึ้นมา พระชายาทรงรู้สึกคุ้นๆหยกแขวนอันนี้บ้างไหมเพคะ?”
หยุนชางพินิจพิเคราะห์ นี่เป็นเพียงหยกแขวนรูปมังกรเคียงหงส์ฟ้า มิได้มีจุดเด่นอะไร จากนั้นนางก็มองมาที่เฉี่ยนอิน
เฉี่ยนอินอ่านสายตาของหยุนชางก็รู้ว่าหยุนชางนั้นยังนึกสิ่งใดไม่ออก นางจึงพูดขึ้นว่า “พระชายาทรงจำตอนที่ฮูหยินน้อยหลิ่วโวยวายได้ไหมเพคะ นางบอกว่าหยกแขวนที่ทำมาจากหยกเนื้ออุ่นของนางหล่นหาย ดูจากลวดลายแล้ว น่าจะเป็นอันนี้นี่แหละเพคะ”
หยุนชางคิดตามที่เฉี่ยนอินพูด เคยเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริงๆด้วย นางครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วจึงพูดว่า “เรื่องหลิ่วฮวานเชิง ข้ามั่นใจว่าจะต้องเป็นฝีมือของอ๋องเจ็ด เรื่องการใส่ร้ายเป็นผลงานของอ๋องเจ็ด แต่เรื่องการวางยาที่บ่าวไพร่พูดมา อาจจะไม่ใช่สาเหตุหลักของการตายของฮูหยินน้อยหลิ่ว ดังนั้น การตายของนางอาจจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอ๋องเจ็ดก็เป็นได้”
“หยกแขวน……” หยุนชางเคาะโต๊ะพลางครุ่นคิด “เรื่องหยกแขวน เวลาที่จะวางยาพิษได้ก็มีความเป็นไปได้อยู่ 3 อย่าง เวลาแรก ก็คือตอนมีคนนำหยกแขวนออกไปจากตัวฮูหยินน้อยหลิ่ว เวลาอย่างที่สองนั้น คือตอนที่บ่าวไพร่ได้นำหยกแขวนมอบให้แก่ฮูหยินน้อยหลิ่ว เวลาอย่างที่สาม คือภายหลังจากที่ฮูหยินน้อยหลิ่วได้รับหยกแขวนมาแล้ว แล้วจึงโดนยาพิษ”
“จะต้องเป็นภายหลังจากที่ฮูหยินน้อยหลิ่วได้รับหยกแขวนมาแล้วแน่ๆเลยเพคะ” เฉี่ยนอินรีบพูด “หากโดนยาพิษก่อนหน้านี้ บ่าวไพร่ก็ได้สัมผัสกับหยกแขวนเหมือนกัน แต่ทำไมเขาจึงไม่เป็นอะไรเลย? หากเป็นตอนที่บ่าวไพร่นำหยกแขวนมอบให้แก่ฮูหยินน้อยหลิ่ว ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็มีอยู่ไม่น้อย จะวางยากันต่อหน้าคนจำนวนมาก ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย”
หยุนชางยิ้ม “การคาดเดาของเจ้าถือว่ามีเหตุมีผล แต่ถ้าหากว่าฮูหยินน้อยหลิ่วถูกพิษภายหลังจากที่นางได้รับหยกแขวนมา เหตุใดจึงต้องทำให้หยกแขวนนั่นหลุดออกมาจนเป็นที่น่าสงสัยเช่นนี้ด้วยเล่า?”
เฉี่ยนอินเป็นคนที่คิดอะไรตรงไปตรงมา นางไม่ถนัดคิดเรื่องที่มีความซับซ้อน เมื่อได้ฟังที่หยุนชางพูด นางก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด “แต่ว่าสองอย่างแรกก็ยังสรุปไม่ได้เลยนะเพคะ แล้วอีกอย่าง คนจะโดนพิษได้ก็ต้องผ่านการสัมผัสพิษโดยตรง พระชายาทรงคิดว่า ฮูหยินน้อยหลิ่วนั่นไปโดนยาพิษได้อย่างไรหรือเพคะ?”
หยุนชางเห็นท่าทางของเฉี่ยนอินแล้วก็รู้สึกเอ็นดู “คนที่วางยาพิษ ต้องวางยาหลังจากที่หยกแขวนของฮูหยินน้อยหลิ่วหายไป”
“เอ๋?” เฉี่ยนอินไม่ค่อยเข้าใจ “เหตุใดพระชายาจึงทรงคิดเช่นนั้นล่ะเพคะ?”
“ยาพิษนั่นคือโหราเดือยไก่ โดยส่วนมากมักจะออกฤทธิ์เมื่อถูกรับประทานเข้าไป ดังนั้น บ่าวไพร่คนนั้นจึงได้พูดว่ายาพิษถูกใส่ลงไปในถ้วยน้ำชา แต่ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ยาพิษถูกเคลือบไว้ที่หยกแขวน เพียงแค่ลูบคลำหยกแขวนอาจจะไม่ถึงกับตาย แต่ผู้ที่วางยาคงจะรู้จักฮูหยินน้อยหลิ่วเป็นอย่างดี รู้ว่าหยกแขวนนั่นเป็นสิ่งที่หลิ่วฮวานเชิงได้มอบให้กับนาง นางจึงหวงแหนมากเป็นพิเศษ และจะคอยลูบคลำเล่นอยู่เสมอ เพื่อระลึกถึงผู้ที่มอบให้” หยุนชางอธิบาย
“หลังจากที่หยกแขวนหายไป ก็มีคนจากจวนกั๋วกงเป็นผู้เก็บได้แล้วนำไปส่งคืน เขามิได้รู้สึกอย่างไรกับหยกแขวนนั่นเลย ความจริงแล้ว เขาก็ถูกพิษเช่นเดียวกัน แต่เป็นเพียงปริมาณเล็กน้อย เล็กน้อยจนพวกเราดูไม่ออก เมื่อครู่นี้เจ้าได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้ข้านึกขึ้นได้ว่า วันที่หลิ่วฮวานเชิงก่อเรื่อง แต่ตอนนั้นข้าไม่ได้ใส่ใจ พอวันนี้มานึกย้อนกลับไป นั่นก็คืออาการเบื้องต้นที่เกิดจากพิษโหราเดือยไก่”
เฉี่ยนอินฟังแล้วก็ครุ่นคิด “คนคิดการรอบคอบขนาดนี้ก็มีด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้ จะไม่ตามสืบยากหรอกหรือเพคะ?”
หยุนชางเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ นางพูดออกมาว่า “อาจจะไม่ใช่แบบที่เราคิด คนที่วางยาจะต้องเป็นคนที่อยู่ในจวนวันนั้นแน่นอน คนอื่นไม่มีโอกาส อีกอย่าง คนที่วางยาก็รู้จักฮูหยินน้อยหลิ่วเป็นอย่างดี เขารู้ที่มาของหยกแขวนนั่น เจ้าจงส่งคนไปสำรวจโดยละเอียด กำหนดขอบเขตการสำรวจไม่ต้องให้กว้างมาก เช่นนี้ก็คงจะทำการสำรวจกันได้ง่ายขึ้น”
เฉี่ยนอินรับคำและถามหยุนชางต่อว่า “พระชายา ในจวนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วนะเพคะ
หยุนชางยิ้ม “เจ้าไปนำสมุดปฏิทินมาให้ข้าดูที ช่วงนี้มีวันมงคลอะไรบ้าง เลือกวันมงคลมาสักวันแล้วเรามาจัดงานเลี้ยงเล็กๆกันดีกว่า”
เฉี่ยนอินเดินไปหยิบสมุดปฏิทินที่โต๊ะมาให้ หยุนชางเปิดดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เดือน 7 วันที่ 21 เหมาะกับการเริ่มต้นกิจการ การย้ายที่อยู่อาศัย เช่นนั้นก็เอาวันนี้ก็แล้วกัน เจ้าไปปรึกษากับพ่อบ้าน แล้วไปเชิญแขกคนสำคัญที่อยู่ในเมืองจิ่น เชิญมาเฉพาะเหล่าฮูหยินและคุณหนู จดหมายเชิญข้าจะออกแบบเอง เจ้ารวบรวมรายชื่อเสร็จเมื่อไรค่อยนำมาให้ข้าดู”
เฉี่ยนอินรับคำ นางครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงถามหยุนชางอีกครั้ง “เหล่าองค์หญิงในวังจะให้เชิญมาด้วยไหมเพคะ?”
“ในวังไม่ต้องหรอก แต่ถ้าเป็นองค์หญิงที่ประทับอยู่องค์เดียวก็เชิญมาด้วยละกัน” หยุนชางนวดขมับ แล้วถอนหายใจ “การจัดงานเลี้ยงเป็นเรื่องที่กินแรงใช่ย่อย ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดยังมีคนหลายๆคนที่ชื่นชอบความวุ่นวายในการจัดงานเลี้ยง”
เฉี่ยนอินหัวเราะและพูดขึ้นมาว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่ที่แคว้นหนิง องค์หญิงหัวจิ้งทรงโปรดการจัดงานเลี้ยงเป็นอย่างมาก แต่หม่อมฉันคิดว่า การจัดงานเลี้ยงสามารถแสดงให้เห็นถึงฐานะและรสนิยมของผู้จัดงานได้ หากจัดงานออกมาได้ดี เหล่าฮูหยินและคุณหนูก็จะพออกพอใจ ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีนะเพคะ”
แล้วเฉี่ยนอินก็ออกไปจัดการตามคำสั่งของหยุนชาง หยุนชางเอนกายพักผ่อนอยู่บนตั่ง นางรู้สึกอบอ้าวเล็กน้อย ไม่นานนัก นางก็ได้ผล็อยหลับไป
ในความฝัน หยุนกลางปรากฏตัวขึ้นกลางป่าทึบ นางสวมชุดสีขาวที่เปื้อนเลือด แถมบนใบหน้าของนางก็ยังเต็มไปด้วยเลือดอีกด้วย นางร้อนใจมาก ได้แต่เดินไปเดินมาอยู่ในป่าแห่งนั้น ราวกับว่ากำลังมองหาทางออก แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ นางรู้สึกกังวลยิ่งนัก
หยุนชางเห็นภาพตัวเองในความฝันมีน้ำตานองหน้า ปากเหมือนกำลังร้องเรียกใครบางคน เมื่อเพ่งดูไปสักพัก จึงรู้ว่าชื่อที่นางร้องเรียก ก็คือชิงเหยียนนั่นเอง
ชิงเหยียน……ชิงเหยียน……
พลันมีเสียงบางอย่างดังแทรก หยุนชางสะดุ้ง นางค่อยๆลืมตาขึ้นมา
“พระชายา เป็นอะไรไปหรือเพคะ? ฝันร้ายหรือเพคะ?” เฉี่ยนอินถามนางด้วยความเป็นห่วง หยุนชางรู้สึกตัวแล้วลูบไปที่แขน จับไปมีแต่เหงื่อเปียกชุ่ม
“ข้าคงจะคิดมากเกินไปน่ะ เมื่อครู่นี้ข้าฝันว่าข้ากำลังตามหาท่านอ๋อง แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ……” หยุนชางถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วรับผ้ามาจากเฉี่ยนอิน นางใช้ผ้าเช็ดเหงื่อตามจุดต่างๆ “ยังดีที่เป็นแค่ความฝัน”
แต่เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาเช่นนี้แล้ว หยุนชางก็นอนต่อไปไม่ได้ นางบอกกับเฉี่ยนอินว่า “ข้าเหงื่อออกเต็มตัวเลย ไปเตรียมน้ำให้ข้าที ข้าว่าจะสรงน้ำเสียหน่อย ประเดี๋ยวข้าต้องไปที่จวนกั๋วกง”
เฉี่ยนอินมองออกไปข้างนอกก็เห็นท้องฟ้าค่อยๆมืดครึ้ม “นี่มันก็ใกล้ค่ำแล้วนะเพคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของหนูซีนั่นเท่าไร แต่กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ ข้าจะไปบอกให้ท่านยายได้รู้ นางจะได้ทำการตรวจสอบ เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิด” หยุนชางลุกขึ้นยืน นางมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดขึ้นมาว่า “อากาศนี่ทั้งร้อนทั้งอบอ้าวจริงๆเลย……”
เฉี่ยนอินนิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยว่า “เช่นนั้นหม่อมฉันจะให้คนนำน้ำแข็งมาวางไว้ในห้องนะเพคะ แคว้นเซี่ยอากาศร้อนกว่าแคว้นหนิง พระชายาคงจะยังไม่ชินน่ะเพคะ”
หยุนชางพูดขึ้นมาว่า “ได้ยินว่า ที่ชุมชนชาวหย่าอากาศก็ทั้งร้อนและอบอ้าวเช่นเดียวกัน แถมฝนยังตกอยู่บ่อยๆด้วย”
เฉี่ยนอินได้ฟังก็เข้าใจ พระชายาทรงเป็นห่วงท่านอ๋องขึ้นมานั่นเอง