ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 465 เต็มไปด้วยจุดน่าสงสัย (๒)
หลักฐานทั้งหมดชัดเจน หยุนชางหัวเราะเยาะเย้ย นางสงสัยตรงที่หลักฐานชัดเจนเกินไปนี่แหละ มันชัดเจนเกินไป ถือได้ว่าได้มาโดยมิต้องเสียแรงอะไรเลย
หยุนชางเคาะมือที่แขนเก้าอี้เบา ๆ แล้วยืนขึ้น “เดิมทีเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับจวนรุ่ยอ๋อง ข้าจึงไม่สะดวกที่จะออกหน้าเท่าไหร่นัก แต่ข้าต้องไปที่จวนกั๋วกง ตอนนี้จวนกั๋วกงและจวนรุ่ยอ๋องอยู่บนเรือลำเดียวกัน คงมีคนอยากลงมือกับจวนกั๋วกง เพื่อจัดการตัวช่วยของท่านอ๋อง ในเมื่อข้าอยู่ในเมืองจิ่นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
กั๋วกงฮูหยินไม่กังวลกระไรเลย นางสั่งให้คนใช้รินชาผลไม้ให้หยุนชางอย่างช้าๆ ยิ้มและกล่าวว่า “หลายปีแล้วที่จวนกั๋วกงมิได้ยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงเหล่านี้ ข้าคิดว่าคนที่เป็นเส้นสายที่อยู่ในจวนนี้ถูกเรียกตัวกลับไปหมดแล้วเสียอีก ไม่คาดคิดว่าจะยังมีอยู่ แต่ก็ดี หายไปหนึ่งคนก็ยังดี”
“ท่านยายไม่รีบกังวลหรือเจ้าคะ?” หยุนชางถามเบาๆ
“กังวลอะไรกัน? เขาบอกแค่ว่าเป็นฝีมือของคนใช้ในจวนกั๋วกงมิใช่หรือ ข้าจะคอยดู ว่าเขาจะเอาความผิดนี้โยนมาให้จวนกั๋วกงอย่างไร” กั๋วกงฮูหยินกล่าวเบาๆ
หยุนชางค่อยๆ สงบลง “เอาแต่รอไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีสักเท่าไหร่ ทางกรมอาญานั้น ข้าก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ ตอนนี้ร่างของฮูหยินน้อยหลิ่วยังอยู่ในโรงเก็บศพของกรมอาญา ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบอย่างละเอียกอีกครั้ง เพื่อดูว่าจะพบเบาะแสอะไรอีกหรือไม่”
กั๋วกงฮูหยินได้ยินก็อมยิ้มขึ้นมา “หลังจากที่นายท่านหลับมาแล้วยังชมเจ้าให้ข้าฟังอยู่ว่า ชิงเหยียนนั้นโชคดีที่ได้สมรสกับเจ้า แม้ว่าเจ้าจะมีศักดิ์เป็นองค์หญิง แต่กลับเป็นคนที่มีนิสัยดีไม่เหมือนกับเหล่าคุณหญิงของขุนนางชั้นใหญ่ ที่ทำได้แค่เล่นขิมจีน หมากรุก เขียนพู่กัน ภาพวาด และงานปักต่างๆ เรื่องการรบที่เมืองคังหยางและเมืองจิ้งหยางนั้นข้าก็ได้ทราบมาแล้ว แม่ทัพหลายท่านในแคว้นเซี่ยต่างก็ชื่นชมเจ้าเป็นอย่างมาก ชิงเหยียนได้รับการสนับสนุนจากเจ้า พวกเราก็ไว้ใจแล้ว”
หยุนชางตะลึง แต่ก็อมยิ้มขึ้นมา “เรื่องนี้ท่านยายนั้นกล่าวผิดไปเพคะ การที่ได้พบเจอกับท่านอ๋องนั้น เป็นความโชคดีที่สุดในชีวิตของชางเอ๋อร์”
ระหว่างทางกลับไปจวนรุ่ยอ๋อง แต่บังเอิญได้พบกับหลิ่วหยินเฟิงพอดี หยุนชางอยู่ในรถม้าไม่ทราบว่าเป็นหลิ่วหยินเฟิง แต่หลิ่วหยินเฟิงนั้นได้หยุดรถม้าของหยุนชางเอาไว้
“พระชายาขอรับ คุณชายหลิ่วขอพบ” คนขับรถม้ากล่าวอยู่ด้านนอก
หยุนชางตกตะลึง และส่งสัญญาณให้เฉี่ยนอินเปิดประตูรถม้าออก จากนั้นก็เห็นว่าหลิ่วหยินเฟิงยืนด้านนอกรถม้า หยุนชางมองไปรอบๆ แล้วพบว่ามีคนวุ่นวายอยู่รอบๆ พวกเขาอยู่ในเขตใจกลางเมือง
หยุนชางขมวดคิ้ว แววตาของหยุนชางก็จ้องมองไปที่ใบหน้าที่อ่อนโยนของคนที่ยืนอยู่ด้านนอกรถม้า หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กระซิบว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายหลิ่วมีธุระเร่งด่วนกระไรหรือ?”
หลิ่วหยินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองหยุนชาง จากนั้นก็หลับตาลงและพูดเบา ๆ ว่า ” ข้าน้อยมีคำถามจะถามพระชายาขอรับ ท่านรุ่ยอ๋องได้ส่งจดหมายกลับมาที่จวนท่านอ๋องหรือไม่ขอรับ”
หยุนชางตะลึง แววตาของนางแน่วแน่มากขึ้น “ไม่มีจดหมายเลย คุณชายหลิ่ว…….”
หลิ่วหยินเฟิงเงียบเมื่อได้ยินเช่นนี้ และหลังจากนั้นไม่นานก็พูดอีกครั้ง “ข้าน้อยสงสัยว่าพระชายาได้ส่งคนไปตรวจดูสถานการณ์ของรุ่ยอ๋องหรือไม่?”
หยุนชางก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ไม่เคยส่งไป” หลังจากที่ครุ่นคิดดูแล้ว ก็จึงถามด้วยเสียงต่ำๆ ว่า “คุณชายหลิ่วได้รับข่าวอะไรเกี่ยวกับท่านอ๋องมาใช่หรือไม่?”หลิ่วหยินเฟิงส่ายหน้า “ข้าน้อยรู้สึกเพียงแค่ว่า ท่านอ๋องได้ออกทัพไประยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีจดหมายส่งกลับเลย จึงกังวลเล็กน้อย ฉะนั้นจึงมาถามพระชายาขอรับ”
“เช่นนี้เองหรือ……” หยุนชางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“หากเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่ขอรับกวนพระชายาแล้ว ข้าน้อยขอลาขอรับ” หลิ่วหยินเฟิงก้มหน้าลง ยกมือประสานคารวะหยุนชาง จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
หยุนชางเห็นว่าเขาเดินเข้าไปในร้านค้าที่อยู่ข้าง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งจึงได้ละสายตากลับมา และออกคำสั่งให้เฉี่ยนอินปิดประตูรถม้า แล้วจึงกระซิบว่า “ไปกันเถอะ”
เมื่อกลับไปถึงจวนท่านอ๋อง หยุนชางนั่งเงียบ ๆ ในห้องครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกตัวขึ้นมา แต่กลับพบว่าสีหน้าของหยุนชางแปลกไปเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วอย่างหนัก ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เฉี่ยนอิน…” หยุนชางกระซิบ แต่เฉี่ยนอินกำลังเหม่อลอย มิได้ตอบสนอง
หยุนชางตบมือนางเบาๆ และเรียกอีกครั้ง “เฉี่ยนอิน!”
เฉี่ยนอินตกใจกระโดดขึ้นอย่างกะทันหัน “อ้า…” หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ได้สติ นางเกาศีรษะและมองหยุนชางด้วยความร้อนตัว “พระชายาเพคะ”
หยุนชางเหลือบมองสีหน้าของนาง “เจ้ากำลังคิดกระไรอยู่ ข้าเรียกเจ้าหลายทีแล้วแต่เจ้ามิตอบเลย”
เฉี่ยนอินก้มหน้าลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากกล่าวด้วยความลังเล “พระชายายังจำได้หรือไม่เพคะ ตอนที่ท่านอ๋องออกจากเมืองจิ่นไปไม่นาน คุณชายหลิ่วเคยมาขอเข้าพบอยู่หนึ่งครั้ง ตอนนั้นพระชายารู้สึกว่าท่านอ๋องมิได้อยู่ในจวน หากว่าเข้าพบชายอื่นไม่เหมาะสมนัก ฉะนั้นจึงมิได้อนุญาตให้เข้าพบ”
หยุนชางมองไปที่เฉี่ยนอินและพยักหน้า เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลิ่วหยินเฟิงหรือ?
เฉี่ยนอินกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ตอนนั้นสั่งให้พ่อบ้านไปจัดการเรื่องนี้แล้ว พระชายาก็กลับไปพักผ่อนแล้ว ต่อมาพ่อบ้านได้มาขอเข้าพบ แต่พระชายากำลังพักผ่อนอยู่ พ่อบ้านจึงมิได้รบกวนท่าน แต่นำจดหมายฉบับหนึ่งให้หม่อมฉันเพคะ และกล่าวว่าคุณชายหลิ่วกำชับให้ส่งถึงมือพระชายา หม่อมฉันคิดว่าพระชายากำลังพักผ่อนอยู่ จึงนำจดหมายฉบับนั้นวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ด้านนอกห้องโถง และไปทำธุระอื่นๆ แล้วเพคะ พอกลับมาพบว่ากงฮูหยินได้นำจดหมายเชิญงานเลี้ยงวันเกิดมาส่งก็ส่ง จึงได้ลืมเรื่องจดหมายนั้นจนสิ้นเพคะ วันนี้ได้ยินคุณชายหลิ่วถามถึงท่านอ๋อง หม่อมฉันจึงนึกขึ้นมาได้เพคะ”
หยุนชางขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้ ด้วยนิสัยของหลิ่วหยินเฟิง หากว่าเรื่องนั้นมิได้สำคัญอย่างมาก เขาก็คงไม่สั่งให้พ่อบ้านนำจดหมายนี้มาส่งให้นางถึงมือหรอก บวกกับวันนั้นจู่ๆ เขาก็มาหยุดรถม้าของตนเอาไว้ และถามคำถามแปลกๆ นั่น เกรงว่าจดหมายนั้นก็เกี่ยวกับเรื่องที่ท่านอ๋องไปถิ่นชาวหย่ากระมั้ง
“เจ้าไปตามตัวคนใช้ที่ทำความสะอาดมาถามดีกว่าว่าได้พบจดหมายนั้นหรือไม่” หยุนชางครุ่นคิดจากนั้นก็สั่งเฉี่ยนอิน
เฉี่ยนอินตอบรับอย่างรวดเร็วและเดินออกไป
สักพักก็กลับมาที่ห้อง แต่นางกลับขมวดคิ้วไว้แน่น “สาวใช้ที่ทำความสะอาดโถงชั้นนอกบอกเหมือนว่าเคยเห็น แต่ว่าจดหมายนั้นมิได้อยู่บนโต๊ะ แต่อยู่ที่พื้นเพคะ อาจเป็นเพราะลมจึงร่วงลงพื้นเพคะ นางคิดว่าเป็นสิ่งของที่พระชายามิใช้แล้ว ฉะนั้นจึงเก็บกวาดไปแล้วเพคะ เกรงว่าคงยากที่จะตามหากลับมาแล้วเพคะ”
หยุนชางเริ่มสนใจเนื้อหาในจดหมายนั้นมากขึ้นแล้ว หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ไปส่งสารไปที่ลานบ้านน้อยแห่งหนึ่งในเมือง นัดคุณชายหลิ่วให้มาพบกันที่หอหลงเฟิ่ง เวลายามอู่ (ยามเที่ยง) ”
เฉี่ยนอินทราบว่านี่เป็นความผิดของนาง จึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ฉะนั้นก็รีบตอบอย่างรวดเร็วว่า “รับทราบเพคะ หม่อมฉันจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้เพคะ”
หอหลงเฟิ่งเป็นโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองจิ่น มีประวัติศาสตร์มาหลายร้อยปี รสชาติของอาหารดีเยี่ยม สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือหอหลงเฟิ่งนั้นอยู่ที่ชานเมืองจิ่น พื้นที่กว้างขวางอย่างมาก อีกทั้งห้องรับรองนั้นตั้งอยู่กลางป่าไม้ไผ่และต้นท้อ ห้องรับรองแต่ละห้องมีลานสวนส่วนตัว จึงมีความเป็นส่วนตัวสูงมาก
หยุนชางแต่งกายเป็นคนธรรมดา ส่วนใส่ผ้าคลุมหน้าเอาไว้ และนำสาวใช้เพียงสองคนที่ไม่ค่อยติดตามหยุนชางไปปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นติดตามตนไป พวกเขาขึ้นรถม้าและมุ่งตรงไปที่หอหลงเฟิ่ง
ห้องรับรองที่นัดพบมีชื่อว่าจวนจูเหลียน รอบๆ ห้องเป็นป่าต้นท้อ เมื่อเดินเข้าไปด้านในแล้ว การตกแต่งด้านในนั้นโดดเด่นอย่างมาก ไม่มีกำแพง มีเพียงม่านลูกปัดเป็นชั้นๆ ที่บังรอบๆ เอาไว้