ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 443 ครอบครัวเดียวกัน
หมอหลวงจึงรีบก้าวเข้ามา หยิบผ้าพันแผลมาพันให้หยุนชางแล้วจึงถอยกลับไปอีกด้าน
หยุนกุ้ยเฟยรีบคุกเข่าลงข้างเตียงและน้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง “เชียนหลิงหายใจแล้ว หายใจแล้ว” เสียงนั้นเกือบจะแหบแห้ง
หยุนชางยิ้มน้อยๆ นางถอยออกไปและนั่งลง
องค์หญิงเชียนหลิงพ้นขีดอันตรายแล้วและคนที่หลิวเหวินอันนำไปค้นจวนก็กลับมาแล้วเช่นกัน เซี่ยหวนอวี่พาทุกคนออกไปจากตำหนักชั้นในแล้วจึงให้หลิวเหวินอันรายงาน “ตรวจค้นจวนรุ่ยอ๋องทุกซอกทุกมุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีอะไรมีอะไรน่าสงสัย เพียงแต่…”
เซี่ยหวนอวี่ขมวดคิ้ว “แต่อะไร?”
หลิวเหวินอันเงยหน้าขึ้นกวาดตามองผู้คนในตำหนักแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “แต่หม่อมฉันพบพิษที่หมอหลวงบอกที่ตำหนักเซียงจู๋และตำหนักเว่ยยางพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนในตำหนักต่างก็ตกใจ ตำหนักเซียงจู๋นั้นสามารถเข้าใจได้ นั่นเป็นตำหนักที่เซียงกุ้ยผินพำนักอยู่ เมื่อวานองค์หญิงเชียนหลิงก็ไปที่ตำหนักเซียงจู๋ด้วยเช่นกัน แต่ตำหนักเว่ยยางเป็นที่ประทับของฮองเฮา จะมียาพิษไปได้อย่างไร?
เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปก่อนที่นางจะตบโต๊ะอย่างโกรธจัด “เหลวไหล ตำหนักของข้าจะมีของที่ทำร้ายคนเช่นนั้นได้อย่างไร?”
หลิวเหวินอันหลุบตาลงและตอบเสียงเบา “หม่อมฉันไม่ได้พูดเหลวไหล ผงยาในถุงนี้พบในตำหนักจริงๆ ที่ด้านหลังของตำหนัก ได้ยินมาว่านั่นเป็นที่พักของเหล่านางกำนัล ถุงนี่ถูกพบในข้าวของของนางกำนัลที่ชื่อหย่านู๋”
“หย่านู๋?” เซี่ยหวนอวี่ขมวดคิ้วมองไปที่ฮองเฮา “นั่นเป็นนางกำนัลที่ช่วยเจ้าแต่งตัวหรือไม่?”
ฮองเฮาพยักหน้าพร้อมทั้งขมวดคิ้วมุ่น “หม่อมฉันไม่รู้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงมาอยู่ในตำหนักเว่ยยางได้ เมื่อหม่อมฉันกลับไปแล้วต้องซักหย่านู๋ให้รู้เรื่องแน่ แต่เมื่อวานหย่านู๋อยู่ในตำหนักเว่ยยางตลอด หลังจากยามอู่นางก็ไม่ได้เจอเชียนหลิงอีก แต่หลังจากที่เชียนหลิงกลับมาที่วังเมื่อวานนี้ นางได้ไปที่ตำหนักเซียงจู๋ ไม่สู้ฝ่าบาทไปเรียกองครักษ์เงาของเชียนหลิงมาถามด้วยว่าในตำหนักเซียงจู๋มีใครบ้างที่ได้สัมผัสนาง”
เซี่ยหวนอวี่ไม่ได้แสดงท่าทีเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่เพียงส่งสัญญาณให้หลิวเหวินอัน หลิวเหวินอันจึงพยักหน้าและปรบมือ จึงมีองครักษ์เงาสองคนเดินเข้ามา
“เจ้าลองคิดให้ดี หลังจากยามอู่ องค์หญิงได้พบกับใครบ้าง?” เซี่ยหวนอวี่หมุนนิ้วหยกในมือและพูดเสียงเข้ม
องครักษ์เงาทั้งสองมองหน้ากันและพูดอย่างรวดเร็วว่า “รายงานฝ่าบาท หลังยามอู่ของเมื่อวานนี้ องค์หญิงไปที่จวนรุ่ยอ๋องพบเจอกับพระชายารุ่ยอ๋องแล้วกลับวัง จากนั้นจึงได้ไปที่ตำหนักเซียงจู๋ ฝ่าบาทอุ้มองค์หญิงนั่งตักอยู่พักหนึ่ง ตอนที่องค์หญิงกลับไป นางสะดุดล้มที่ประตูตำหนักเซียงจู๋ มีนางกำนัลคนหนึ่งช่วยพยุงนางขึ้น จากนั้นก็เป็นนางกำนัลของตำหนักหยุนซีที่คอยดูแลรับใช้นางพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาขมวดคิ้ว “เจ้าบอกว่าตอนที่องค์หญิงออกจากตำหนักเซียงจู๋ นางสะดุดล้มที่ประตูและมีนางกำนัลช่วยพยุงนางงั้นหรือ? นางกำนัลผู้นั้นท่าทางเป็นอย่างไรพวกเจ้าจำได้หรือไม่?”
องครักษ์เงาทั้งสองคนพูดพร้อมกัน “จำได้พ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางเงยหน้าขึ้นมองหนิงเชียนที่มีสีหน้าราบเรียบ คิ้วของนางขมวดมุ่นเล็กน้อย เมื่อครู่นางยังคิดว่าเรื่องนี้พุ่งเป้ามาที่นาง เพราะอย่างไรหลักฐานทุกอย่างต่างก็พุ่งเป้ามาที่จวนรุ่ยอ๋องเท่านั้น
หยุนชางไตร่ตรองอย่างละเอียดจึงได้เข้าใจ เรื่องในวันนี้นางเป็นเพียงตัวล่อเท่านั้น
คิดแล้วก็จริง นางเพียงเพิ่งจะมาถึงแคว้นเซี่ยเท่านั้น ตอนนี้เซี่ยหวนอวี่ให้ความสำคัญกับลั่วชิงเหยียน เหล่าหญิงสาวในวังหลังต่างก็มองรูปการณ์ออกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะแตะต้องจวนรุ่ยอ๋องในเวลานี้
ทุกสิ่งทุกอย่างทำขึ้นเพื่อปูทางไปสู่การตรวจค้นวัง ตอนแรกทำให้ผู้คนรู้สึกว่าจวนรุ่ยอ๋องน่าสงสัยที่สุด ในขณะที่ทุกคนสนใจแต่จวนรุ่ยอ๋องและหนิงเชียนไม่ทันได้ระวังตัวกลับลากตำหนักเซียงจู๋เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพียงแต่เรื่องตำหนักเว่ยยางนั้นคงไม่ได้เป็นการตั้งใจจัดฉาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฮองเฮาร้อยเรียงมาตลอด ท่าทางตกใจของนางเมื่อครู่กลับไม่เหมือนกับการเสแสร้งนัก
หยุนชางนึกถึงสิ่งที่สายลับรายงานนางก่อนหน้านี้ได้ เขาบอกเพียงว่าหนิงเชียนเป็นสนมที่ได้รับความโปรดปรานอย่างมากจากเซี่ยหวนอวี่ เพียงสามัญชนคนธรรมดา ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนกลับสามารถไต่ขึ้นมาถึงตำแหน่งกุ้ยผิน เกรงว่าคงจะทำให้หลายคนเกิดความอิจฉาริษยา ประจวบเหมาะกับที่หยุนชางมาถึงพอดีจึงได้ดึงดูดความสนใจของทุกคน หากจะลงมือกำจัดหนิงเชียนในเวลานี้ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะนัก
เมื่อเซี่ยหวนอวี่ได้ยินสิ่งที่องครักษ์เงากล่าว เขาก็เรียกตัวข้ารับใช้ทั้งหมดในตำหนักเซียงจู๋มารวมกันเพื่อให้องครักษ์ทั้งสองระบุตัว
เพียงไม่นาน องครักษ์เงาทั้งสองก็นำตัวนางกำนัลอายุราวสิบหกสิบเจ็ดเข้ามา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาของนางที่จ้องไปที่หนิงเชียนฉายแวววูบไหวเล็กน้อยแล้วจึงรีบก้มหน้าลง
หลิวเหวินอันก็ตามเข้ามาด้วย “ฝ่าบาท นางกำนัลผู้นี้ชื่อว่าจูเอ๋อร์ นางเป็นนางกำนัลที่คอยทำความสะอาดตำหนักเซียงจู๋ ยาพิษที่พบในตำหนักเซียงจู๋นั้นถูกค้นพบที่ใต้เตียงของนาง หลังจากที่องครักษ์ชี้ตัวนางแล้ว หม่อมฉันก็ได้ยินรายงานว่าในป่าไผ่นอกตำหนักเซียงจู๋พบว่ามีดินใหม่ที่เพิ่งกลบฝังอะไรบางอย่าง พบว่ามันเป็นเสื้อผ้าที่จูเอ๋อร์ใส่เมื่อวานนี้
“เสื้อผ้าหรือ?” เซี่ยหวนอวี่เลิกคิ้ว “เสื้อผ้านั่นมีอะไรงั้นหรือ?”
หลิวเหวินอันรับถาดมาจากขันทีที่อยู่ด้านข้าง บนถาดนั้นมีชุดสีชมพูที่เปื้อนไปด้วยโคลน “หม่อมฉันก็ไม่รู้จึงได้นำมา ให้เหล่าหมอหลวงตรวจสอบดูเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงที่อยู่ด้านข้างรีบกรูเข้ามาคลี่ชุดออกและตรวจสอบกันอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยว่า “ฝ่าบาท บนแขนเสื้อนี้มีผงพิษของนกเจิ้น*และพิษนี้ก็คือพิษเดียวกันกับพิษขององค์หญิงเชียนหลิงพ่ะย่ะค่ะ” (*นกเจิ้นเป็นสัตว์ที่ปรากฏอยู่ในตำนานของจีน มีท้องสีม่วงและปลายขนสีเขียว คอยาวและจะงอยปากสีแดง ทุกส่วนของตัวนกรวมไปถึงของเสียที่ขับออกมาเต็มไปด้วยพิษร้ายแรง พิษของมันเรียกว่าพิษเจิ้น)
หยุนชางเห็นว่าเมื่อนางกำนัลจูเอ๋อร์ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นได้ยินเช่นนั้น นางก็ตัวสั่นเล็กน้อยพร้อมกัดริมฝีปาก นัยน์ตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา นางมีท่าทางหวาดผวาสุดขีด หยุนชางยิ้มบางๆ ช่างเล่นละครได้ดียิ่งนัก
เมื่อได้ฟังสิ่งที่หมอหลวงกล่าวออกมา องครักษ์เงาที่ยืนอยู่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เมื่อวานตอนที่องค์หญิงล้ม เป็นนางกำนัลผู้นี้ที่พยุงองค์หญิงขึ้น แล้วยังใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าให้องค์หญิง”
เหล่าหมอหลวงต่างมองหน้ากัน “เกรงว่าคงจะเป็นตอนนั้นที่ผงพิษเข้าปากองค์หญิง องค์หญิงยังทรงพระเยาว์นัก ผงพิษเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้นางมีอันตรายถึงชีวิต”
เซี่ยหวนอวี่ยังไม่ได้พูดอะไร ฮองเฮาก็กล่าวขึ้นว่า “เซียงกุ้ยผิน จูเอ๋อร์เป็นคนในตำหนักของเจ้าหรือไม่?”
หนิงเชียนได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองดูนางกำนัลที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ด้วยตัวสั่นเทา มุมปากของนางกระตุกยิ้มเล็กน้อย “ความที่จะใส่ ไฉนกลัวไร้ข้ออ้าง นางกำนัลผู้นี้ย่อมเป็นคนในตำหนักเซียงจู๋ เมื่อครู่ขันทีหลิวบอกแล้วว่านางเป็นคนทำความสะอาดในตำหนักของหม่อมฉัน แต่เหตุใดนางจึงอยากทำร้ายองค์หญิงเชียนหลิง เรื่องนี้หม่อมฉันเองก็ไม่รู้เพคะ”
ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงหัวเราะออกมา “เซียงกุ้ยผินหมายความว่าข้าปรักปรำเจ้า? หรือเจ้าคิดว่านางกำนัลผู้นี้จะวางยาทำร้ายองค์หญิงเชียนหลิงเองโดยไม่มีผู้บงการหรือ?”
เซี่ยหวนอวี่ขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร ตามหลักแล้วเรื่องของวังหลังเขาไม่ควรเข้าไปแทรกแซง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย
หนิงเชียนได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น “หม่อมฉันก็อยากรู้เช่นกันว่ามีคนใจดำลงมือกับเด็กที่ร่าเริงน่ารักขนาดนั้นได้อย่างไร” ในขณะที่นางพูด นางก็หันไปมองจูเอ๋อร์ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น “หม่อมฉันอยากจะรู้นักว่าจูเอ๋อร์ไปเอาพิษเจิ้นมาจากที่ใด? ตามหลักแล้ว นางกำนัลไม่สามารถรับของเช่นนี้ได้ นอกจากนี้สิ่งของทั้งหมดในตำหนักเซียงจู๋ล้วนเป็นสิ่งที่กรมวังเป็นผู้แจกจ่าย หม่อมฉันไม่มีญาติอยู่นอกวังเลย เพราะฉะนั้นนอกจากสิ่งของที่ฝ่าบาทประทานให้และของที่กรมวังส่งมาแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก ฝ่าบาทและฮองเฮาสามารถไปตรวจดูได้ว่าคนในตำหนักของหม่อมฉันไม่ได้ออกจากวังมานานแค่ไหนแล้ว”