ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 279 มีผู้ลอบสังหาร
แม้ว่าจะเป็นสภาพอากาศในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม แต่บนหน้าผากของชายผู้นี้ก็มีเหงื่อออกมาอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นครู่จึงกล่าวว่า "เหตุใดทหารแคว้นเซี่ยจึงกล้าประจำการแค่นอกเมือง แต่ไม่กล้าโจมตีเมืองคังหยาง? "
ทันทีที่คำถามนี้ถามออกมา สีหน้าของทุกคนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย พระชายาและสาวใช้คนนี้เพิ่งมาถึงเมืองคังหยาง จึงมิได้ทราบทุกอย่างในเมืองอย่างชัดเจน ดังนั้นพวกนางจะไม่ทราบว่าเพราะเหตุอันใด
เฉี่ยนอินหัวเราะพร้อมกับเสียดสีเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ "คำถามของคุณชายท่านนี้ช่างแปลกยิ่งนัก ไม่กล้าอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่เพราะว่าแคว้นเซี่ยไม่กล้า แต่เพราะกุนซือแคว้นเซี่ยมีชื่อว่า หลิ่วหยินเฟิง สิ่งที่หลิ่วหยินเฟิงคือถนัดที่สุดก็คือ การรู้เขารู้เรา เขาอาจทราบนิสัย ความชอบของเหล่าแม่ทัพที่อยู่ในนี้อย่างชัดเจนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เหตุที่เขาไม่โจมตี เพียงเพราะเขาทราบดีว่าแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังทหารของเมืองคังหยางมีชื่อว่าฉีหล่าง เรื่องการสู้รบของแม่ทัพฉีไม่มีจุดบกพร่องให้ตำหนิ เพียงแต่ท่านมีปัญหาอย่างหนึ่ง นั่นคือ ความเย่อหยิ่ง เหตุที่หลิ่วหยินเฟิงไม่โจมตีเพราะเขาทราบจุดอ่อนจุดนี้ของแม่ทัพฉี นี่เป็นเพียงกลยุทธ์ของเขาก็เท่านั้นเอง "
ทันทีที่เสียงของเฉี่ยนอินหยุดไป ข้างล่างนั้นเงียบเป็นอย่างมาก หยุนชางเห็นเส้นเลือดสีฟ้าจาง ๆ พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงบนหน้าผากของฉีหล่าง หยุนชางยิ้มเล็กน้อย เจ้าเด็กนี้คงไม่รู้จักคำว่าพูดทางอ้อมกระมั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน ฉีหล่างก็พูดว่า " เมื่อสักครู่นี้ได้ยินแม่หญิงท่านนี้พูดถึงหลิ่วหยินเฟิง เจ้าบอกว่าเขาถนัดการรู้เขารู้เรามากที่สุด ข้าอยากจะถามแม่หญิงคนนี้ว่า เช่นนี้จุดอ่อนของหลิ่วหยินเฟิงคืออะไรหรือ"
หยุนชางอมยิ้มและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "หลิ่วหยินเฟิงงั้นหรือ เขาชอบผู้ชาย อีกทั้งชายที่เขาชอบคืออ๋องเจ็ดแห่งแคว้นเซี่ย เซี่ยโหจิ้ง นี่นับว่าเป็นจุดอ่อนของเขาหรือไม่?"
ทันทีที่หยุนชางพูดจบ ก็พบว่าแววตารอบด้านนั้นจับจ้องมาที่ตน หยุนชางไม่คิดที่จะกล่าวต่อ แต่เฉี่ยนอินกลับเอ่ยปากต่อว่า " พระชายาได้ส่งคนไปสืบตัวตนของหลิ่วหยินเฟิงตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้ว โดยทราบมาว่าเขาแทบไม่มีงานอดิเรกอะไรเลย จึงไม่สามารถสืบอะไรได้ เพียงแต่ว่า พระชายาขอให้เหล่าสาวใช้จับตาดูการจัดแต่งเรือนของหลิ่วหยินเฟิง สุดท้ายคนที่เราส่งไปได้พบภาพวาดที่เขาซ่อนไว้ในห้องหนังสือของเขา ภาพด้านในล้วนเป็นอ๋องเจ็ดแห่งแคว้นเซี่ย เซี่ยโหจิ้งเพคะ"
มีคนที่อยู่ด้านล่างตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น "ไม่น่าล่ะ ก่อนหน้านี้ข้าได้พาผู้หญิงที่งดงามดั่งเทพธิดาไปพบเขา หลิ่วหยินเฟิงทำท่าทีนิ่งเฉยราวกับภูเขา ที่แท้ไม่ชอบผู้หญิงนี่เอง แต่กลับชอบผู้ชายอย่างนั้นหรือ? น่าคลื่นไส้จริงๆ "
หยุนชางยิ้มอย่างเย็นชา "ประลองทั้งทางด้านวิชาการ ทั้งทางด้านศิลปะการต่อสู้แล้ว ทุกท่านควรทำตามสัญญาใช่หรือไม่? เมื่อสักครู่เราคุยกันแล้ว หากว่าพวกเจ้าแพ้ พวกเจ้าต้องยืนขึ้น และโคงคำนับด้วยความเคารพต่อข้าและเฉี่ยนอินพร้อมกล่าวคำว่า ขอโทษ"
ทุกคนมองหน้ากัน แต่บางคนก็ค่อยๆ ๆ ลุกขึ้นยืน มีคนยืนขึ้น แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่อยากทำ แต่ก็ไม่อยากเสียหน้าไป จึงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าทุกคนลุกขึ้นจนใกล้จะหมด ผ่านไปสักครู่จึงได้คารวะ "หม่อมฉันขอโทษขอรับ"
หยุนชางยิ้มเบา ๆ "วันนี้เพียงแค่เป็นการสอนบทเรียนให้กับทุกท่าน เพื่อบอกพวกเจ้าว่าสิ่งที่ผู้ชายทำได้ ผู้หญิงก็ทำได้อีกทั้งไม่เลวไปกว่าพวกเจ้าเสมอไป หวังว่าพวกเจ้าจะจำบทเรียนนี้ไว้ได้ และอย่าได้ดูถูกผู้หญิงอีกเลย"
หลังจากหยุนชางพูดจบ นางก็ยืนขึ้นและพูดว่า "วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ฉะนั้นข้าขอตัวก่อน พวกเจ้าเล่นให้สนุกเถิด"
เฉี่ยนอินรีบก้าวเข้าไปพยุงหยุนชาง แล้วเดินไปทางหลังจวนอย่างช้าๆ
เมื่อเดินไปที่มุมทางเดินริมทะเลสาบในสวนหลังบ้าน ก็พบชายชุดขาวยืนอยู่ตรงโถงทางเดินแล้วมองมาที่ทะเลสาบ ราวกับว่าเขากำลังเหม่อลอย หยุนชางขมวดคิ้ว หากจำไม่ผิด เพราะนางได้ออกคำสั่งพิเศษว่า นางไม่ชอบการถูกรบกวน ฉะนั้นส่วนของฝั่งทะเลสาบนี้นางอาศัยเพียงคนเดียว และทางเดินนี้เป็นทางเดินเข้าไปทางที่นางประทับอยู่
เหมือนว่าชายผู้นั้นจะรู้สึกได้ถึงการมาถึงของนาง เขาหันกลับมามองไปที่หยุนชาง ดูเหมือนว่าเขาจะตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรีบกล่าวว่า "ที่แท้ก็เป็นพระชายานี่เอง หม่อมฉันฉีวี้เฟิง ขอคารวะพระชายาขอรับ"
ฉีวี้เฟิง สายตาของหยุนชางจับจ้องไปที่ชายที่คุกเข่าลงหนึ่งข้างต่อหน้าตน ชื่อนี้นางคุ้นเคยอย่างมาก ช่วงที่ผ่านมานั้นมักมักปรากฏบนเอกสารข้อมูลที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของนางส่งถึงนาง เขาคือลูกชายคนโตของฉีหล่าง ได้ยินมาว่าเขาเป็นลูกชายที่ดีที่สุดของฉีหล่าง และศิลปะการต่อสู้นั้นดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาลูกชายทั้งสาม กลยุทธ์ก็ไม่เลวเช่นกัน
หยุนชางครุ่นคิด สายตาของนางเต็มไปด้วยความพินิจพิเคราะห์เล็กน้อย "ลุกขึ้นยืนเถอะ วันนี้คุณชายฉีมิได้อยู่ลานหน้าบ้านหรือ?"
ฉีวี้เฟิงลุกขึ้นยืนและพยักหน้า " วันนี้ถึงหม่อมฉันไปลาดตระเวนที่ประตูเมือง เมื่อกลับมาจากการลาดตระเวนก็สายมากแล้ว เดิมทีคิดว่าจะไปสักหน่อย แต่เมื่อเดินถึงตรงจึงคิดได้ว่างานเลี้ยงคงจะจบลงแล้ว หากจะไปตอนนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ กำลังครุ่นคิดว่าจะไปหรือไม่ แล้วก็พบพระชายาเสด็จกลับขอรับ"
แววตาของหยุนชางส่องประกายระยิบระยับ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็สดใสมากขึ้น จนทำให้ฉีวี้เฟิงตกตะลึง ดวงตาของเขามีแสงวาบผ่าน เดิมทีโถงทางเดินนี้จุดโคมไฟเพียงไม่กี่ดวง แต่โชคดีที่วันนี้แสงพระจันทร์งดงามยิ่งนัก จึงเห็นได้ชัด เขาว่ากันว่าหญิงงามใต้แสงจันทร์ มองดูหญิงงามใต้แสงจันทร์ จะทำให้หญิงงามนั้นงดงามมากขึ้นกว่าเดิมยิ่งนัก หญิงสาวที่งดงามอย่างยิ่งดั่งหยุนชาง เมื่ออยู่ใต้แสงจันทราที่พร่ามัวนี้ ทำให้ผิวกายของนางสวยงามดั่งหยก ซึ่งทำให้ไม่สามารถละสายตาไปได้
"คุณชายฉีทำงานหนักมากนะ" หยุนชางกล่าวอย่างเฉยเมย โดยจงใจแสร้งทำเป็นไม่เห็นแสงที่เปล่งประกายในดวงตาของเขา
ฉีวี้เฟิงยิ้มและส่ายหน้า รูปทรงตาและคิ้วโค้งงอ รูปลักษณ์ของเขาดูดีกว่าของฉีวี่จืออย่างมาก เสียงของเขาก็อ่อนโยนเช่นกัน "มันเป็นหน้าที่ของหม่อมฉันที่ต้องปกบ้านป้องเมืองขอรับ พระชายาชมมากเกินไปขอรับ พระชายากลับจากงานเลี้ยงรวดเร็วเช่นนี้ เพราะต้อนรับไม่ดีหรือขอรับ ทำให้พระชายาไม่พอใจหรือไม่ขอรับ?"
"มิใช่เช่นนั้น ข้าแค่ร่างกายอ่อนแอ นอนดึกมิได้ จึงอยากกลับมาพักผ่อนโดยเร็วก็เท่านั้นเอง"
"ขอรับ" ฉีวี้เฟิงตอบรับเบาๆ น้ำเสียงของเขาดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย "พระชายาดูแลตัวเองให้ดีขอรับ วี้เฟิงได้ยินท่านแม่พูดถึงเรื่องที่พระชายาเจ็บไข้ แต่หม่อมฉันไม่สะดวกมาเยี่ยม ตอนนี้พระชายาดีขึ้นหรือยังขอรับ?"
"ดีขึ้นแล้ว" หยุนชางไม่เข้าใจว่าฉีวี้เฟิงดึงนางไว้เช่นนี้เพื่อถามไถ่เรื่องแค่นี้เองหรือ?
ด้วยความสงสัยในใจ หยุนชางจึงสงบลง ทำให้ฉีวี้เฟิงเหลือบมองโดยไม่ตั้งใจอยู่หลายที "มีสถานที่หลายแห่งในเมืองคังหยางที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมชม หากพระชายาเบื่อที่จะอยู่ในจวนนี้แล้ว ก็สามารถส่งคนมาหาหม่อมฉันได้ขอรับ หากว่าหม่อมฉันมิได้ลาดตระเวนเมือง เช่นนั้นก็สามารถนำพระชายาเที่ยวได้ขอรับ ตอนนี้ก็ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว บนภูเขาทางตอนเหนือมีต้นไม้ผลมากมาย ดูสวยงามมากเช่นกัน คังหยางอุดมไปด้วยน้ำ และน้ำในฤดูใบไม้ร่วงก็อ่อนนุ่มเป็นพิเศษ คุ้มค่าแก่การชมเช่นกันขอรับ"
………..
ตอนนี้หยุนชางไม่รู้ว่าควรตอบรับอย่างไร นางแอบคาดเดาจุดประสงค์ของเขาอยู่ในใจ หลังจากนั้นไม่นานจึงกล่าวว่า "หากข้ามีเวลา ข้าจะไปเยี่ยมชม"
เหมือนว่าฉีวี้เฟิงจะรู้สึกถึงความเฉยเมยของหยุนชาง จึงยิ้มอย่างรู้สึกเศร้าใจ " ร่างกายของพระชายาไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นรับไปพักผ่อนเสียเถิด"
หยุนชางพยักหน้าและกำลังจะจากไป แต่ได้ยินเสียงดังขึ้นกะทันหัน ฉีวี้เฟิงและเฉี่ยนอินตะโกนพร้อมกันว่า " พระชายา ระวัง"
หยุนชางทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉีวี้เฟิงอยู่ที่นั่นด้วย นางจึงไม่สะดวกที่จะเปิดเผยว่านางมีศิลปะการต่อสู้ จึงยืนนิ่งปล่อยให้เฉี่ยนอินลากตัวนางถอยออกไป
มีชายชุดดำสามคนพุ่งเข้ามา ฉีวี้เฟิงชักดาบออกมาแล้วพุ่งเข้าไปต่อสู้กับชายชุดดำเหล่านั้น
เฉี่ยนอินอยากเข้าไปช่วยเหลือ แต่หยุนชางดึงมือนางไว้และส่ายหน้า แม้ว่าเฉี่ยนอินจะมีความสงสัยอยู่ในใจ แต่นางก็มิได้แสดงออกมา นางพยุงหยุนชางไว้และยืนอยู่กับที่ มองดูฉีวี้เฟิงต่อสู้กับชายชุดดำสามคนนั้น
ไม่ว่าฉีวี้เฟิงจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่มีเขาแค่คนเดียว ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เสียเปรียบลงเล็กน้อย ชายชุดดำคนหนึ่งใช้โอกาสพุ่งเข้ามาหาหยุนชาง หยุนชางดึงมือของเฉี่ยนอินไว้เพื่อไม่ให้นางรับมือ ที่ในขณะที่ชายชุดดำกำลังจะเข้าใกล้หยุนชาง ฉีวี้เฟิงดูเหมือนมีตาอยู่ข้างหลัง เขาหันกลับมาและพุ่งตัวเข้ามาหาหยุนชาง และกอดหยุนชางไว้
ชายชุดดำฟันดาบของเขาและแทงไปทางฉีวี้เฟิง หยุนชางได้ยินเสียงผ้าขาดแล้วได้ยินเสียงที่ดูเหมือนจะเป็นเสียงขององครักษ์ " มีผู้ลอบสังหาร เร็วเข้า มีผู้ลอบสังหาร! "
ชายชุดดำสบตากันและรีบหนีจากไป
มุมปากของหยุนชางโค้งงอขึ้นเล็กน้อย ช่างบังเอิญเสียจริง
"พระชายาไม่เป็นกระไรใช่หรือไม่ขอรับ?" บนหน้าผากของฉีวี้เฟิงมีเหงื่อออก เขายืนขึ้น ขมวดคิ้ว และเอ่ยปากถามด้วยความยากลำบาก "ผู้ลอบสังหารพวกนั้นได้ทำร้ายท่านหรือไม่ขอรับ?" น้ำเสียงของเขามีความเร่งรีบเล็กน้อย
หยุนชางส่ายหน้า กัดริมฝีปากและกล่าวเบาๆ " ข้าไม่เป็นกระไร ผู้ลอบสังหารเหล่านั้นมิได้ทำร้ายข้า คุณชายฉีเป็นอย่างไรบ้าง?"
"ข้าไม่เป็น…." ฉีวี้เฟิงไอเล็กน้อย หยุนชางเห็นเพียงร่างของเขาสั่นเล็กน้อยจากนั้นก็ล้มลงกับพื้นทันที