ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 222 สู่ยอดภูผา
หยุนชางได้คัดเลือกสายลับที่ทำงานดีที่สุดมาจำนวน 10 คน พลันนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องอยากจะถามจิ้งอ๋อง "เสด็จอาเพคะ ป่าทึบบนเขากิเลนสภาพอากาศร้อนชื้นอันตรายนี่นา แล้วพวกเราจะเข้าไปได้อย่างไรล่ะเพคะ?"
จิ้งอ๋องกางแผนที่ออก เขาชี้ไปยังจุดจุดหนึ่งที่แยกออกจากกันบนเขากิเลน "นี่คือแม่น้ำสายหนึ่ง พวกเราจะไปทางแม่น้ำสายนี้"
หยุนชางอึ้งไปสักพัก แล้วนำแผนที่มาดูอยู่นาน "หากแม่น้ำสายนี้สามารถเข้าไปภายในภูเขาได้ แล้วเหตุใดสัญลักษณ์ชี้แจงรายละเอียดบนแผนที่จึงมีอยู่น้อยมาก ไม่มีการระบุความกว้างของแม่น้ำ และไม่มีการบอกเล่าลักษณะทางกายภาพว่าเป็นเช่นไรเลยเพคะ……"
"เพราะแม่น้ำสายนี้มีหน้าผาอยู่ทางตอนกลาง น้ำจากแม่น้ำไหลลงมากลายเป็นน้ำตก หน้าผานี้สูงหลายร้อยเมตร ตลอดหน้าผาไม่มีจุดที่จะสามารถให้เกาะเพื่อปีนป่ายได้เลย ต้องคนมีวิทยายุทธขั้นสูงเท่านั้น ที่จะอาศัยกำลังภายในเพื่อขึ้นไปได้" จิ้งอ๋องกล่าวด้วยสีหน้าแน่นิ่ง
"……" หยุนชางหันไปมองสายลับทั้งสิบคนซึ่งล้วนมีทีท่าหนักใจ "มิน่าล่ะ พระองค์จึงไม่มอบหมายให้สายลับคนใดทำงานนี้เลย……" นางพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ "เหตุใดพระองค์จึงไม่บอกหม่อมฉันตั้งแต่แรกล่ะเพคะ……"
แต่ว่า ระหว่างที่หันหลังมานั้น ก็ฉุกคิดเรื่องสำคัญอีกเรื่องขึ้นมาได้ "เมื่อครู่นี้ท่านบอกว่าต้องใช้คนมีวิทยายุทธขั้นสูง และต้องอาศัยกำลังภายในใช่ไหมเพคะ? เช่นนั้นก็ต้องใช้ผู้ที่มีกำลังภายในขั้นสูงน่ะสิ?"
จิ้งอ๋องพยักหน้า จากนั้นเขาก็ได้ยินหยุนชางพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แน่นิ่งผิดปกติ "แต่ว่า หม่อมฉันไม่มีกำลังภายใน"
หยุนชางนั้นลำพังวิทยายุทธของตนเองแม้จะนับได้ว่าไม่เลว ทว่านางนั้นหามีกำลังภายในไม่ ร่างกายของนางนั้นไม่เหมาะสมที่จะฝึกฝนกำลังภายในสักเท่าไร นางได้แต่เพียงใช้ยามาเสริมพลังให้กับร่างกาย การใช้วิทยายุทธแต่ละครั้งก็ไม่สู้จะเต็มร้อยเท่าใดนัก
จิ้งอ๋องเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยว่า "หากบนหน้าผาพอจะมีที่ยึดเหนี่ยวบ้าง ข้าก็คงพาเจ้าขึ้นไปได้ แต่ว่า……"
"ไม่เป็นไรเพคะ พวกเราลองไปดูกันก่อนเถอะ" หยุนชางลุกขึ้น จูงม้าเตรียมจะออกเดินทาง
"ช้าก่อน เรายังไม่ได้ทำลายร่องรอยการเดินทางของพวกเราเลย แม้เซี่ยโหจิ้งจะไม่รู้ว่าเป็นเรา แต่ก็ต้องรู้แน่ๆว่ามีคนต่างถิ่นเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านเถาซี แล้วก็จะมีการเพิ่มมาตรการการเฝ้าระวังแน่นหนาขึ้นกว่าเดิม ข้าเกรงว่า อาจจะมีใครบางคนกำลังจับตาดูพวกเราอยู่ หากพวกเราจะขึ้นไปบนภูเขา จำเป็นจะต้องสละเวลาเพิ่ม เพื่อปกปิดร่องรอยการเดินทางที่หลงเหลือไว้เบื้องหลังให้มิดชิด" จิ้งอ๋องยังคงนั่งต่อไป
หยุนชางพยักหน้า นางรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ดูเหมือนว่าตอนที่มีจิ้งอ๋องอยู่ด้วย นางมักจะด่วนตัดสินใจทำเรื่องต่างๆโดยไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน
โชคยังดี สิ่งที่สายลับถนัดที่สุดก็คือการปกปิดร่องรอยของตนเอง จากนั้นไม่นาน ที่แห่งนั้นก็เหลือเพียงแค่หยุนชางและจิ้งอ๋องสองคน ท้องฟ้าเริ่มมืด จิ้งอ๋องลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า "ข้าจะออกไปล่าสัตว์มาเป็นอาหาร เจ้าอยู่คนเดียวก็ระวังตัวด้วยล่ะ"
หยุนชางรับคำ นางมองดูจิ้งอ๋องเดินออกไป แล้วลุกขึ้นหาเศษกิ่งไม้มาเตรียมก่อไฟ แต่นางกลับนึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่ได้นำหินก่อไฟมาด้วย หยุนชางยิ้มหน้าเศร้า นางนั่งลงไปใต้ต้นไม้ ดูท่าแล้ว คืนนี้คงต้องนอนที่นี่ไปก่อน
ดีที่จิ้งอ๋องไปไม่นาน เพียงครู่เดียวก็หิ้วไก่ป่า 2 ตัวกลับมาได้ เขาก่อไฟอย่างชำนิชำนาญ เมื่อนำไก่ไปล้างที่ริมลำธารจนสะอาดแล้วก็เดินกลับมา เขานำกิ่งไม้เสียบเข้าไปในตัวไก่ แล้วจัดการย่างโดยการนำไก่แขวนไว้เหนือกองไฟ
"หม่อมฉันรู้สึกว่า หม่อมฉันเริ่มจะทำให้พระองค์ต้องลำบากเสียแล้วเพคะ" หยุนชางพูดพลางยิ้ม แม้ว่าหลายปีมานี้นางจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมามากมาย แต่นางก็ไม่เคยขาดเหลือในด้านเสื้อผ้าอาภรณ์หรืออาหารการกิน และไม่เคยมาลองใช้ชีวิตท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นแล้ว หลายๆเรื่องที่เรียนมาก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่จารึกไว้บนกระดาษเท่านั้น เมื่อต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์จริงจึงได้รู้ว่าตนนั้นไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
ลั่วชิงเหยียนมองไปยังหยุนชาง "เจ้ามีความโดดเด่นซึ่งคนอื่นไม่มี ข้าจำได้ว่า เจ้ามีความสามารถด้านการแพทย์ นั่นแสดงว่าเจ้าสามารถแยกแยะว่าหญ้าชนิดใดมีพิษ ชนิดใดไม่มีพิษ ข้าคิดมาตลอดว่า สภาพอากาศที่ร้อนชื้นรุนแรงนั้นแม้จะมีสารพิษเจือปนอยู่ ทว่าสรรพสิ่งบนโลกใบนี้สามารถส่งเสริมและหักล้างกันและกันได้ ในเมื่อมีสารพิษในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น บริเวณโดยรอบก็ต้องมีแหล่งกำจัดสารพิษชนิดนี้ได้เช่นกัน เหล่าทหารของแคว้นเซี่ยกล้าหาญไม่หวาดหวั่นต่อพิษนี้ หากแม้นเจ้าได้ลองศึกษาเจาะลึกถึงวิธีขจัดพิษดังกล่าวได้ ก็จะเป็นการสร้างผลงานชิ้นเลิศ"
หยุนชางยิ้มเล็กยิ้มน้อย "ถึงหม่อมฉันจะรู้ว่าพระองค์เพียงแค่ตรัสเพื่อปลอบใจหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันก็รู้สึกดีมากๆเลยเพคะ"
จิ้งอ๋องย่างไก่ป่าเสร็จเรียบร้อย เขาฉีกน่องไก่ 1 น่องส่งให้หยุนชาง หยุนชางรับมาแล้วกัดเข้าไป 1 คำ ก็สัมผัสได้ถึงความหอมที่ค่อยๆกระจายกลิ่นออกมาภายในปาก ถึงแม้จะไม่มีการปรุงรสใดๆ แต่ก็มีรสดั้งเดิมของเนื้อไก่ที่ไม่เคยได้ทานที่ไหนมาก่อน
สองคนทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็อิงหลังนั่งพักที่ใต้ต้นไม้
ราตรีดึกสงัด เป็นช่วงเวลาที่กำลังหลับๆตื่นๆ หยุนชางกลับได้ยินเสียงสวบสาบแว่วเข้ามา หยุนชางสะดุ้งตกใจ ทว่านางกลับไม่ยอมลืมตา นางใช้มือขวาล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ ในนั้น มีเข็มเงินที่นางมักจะใช้อยู่เป็นประจำ
มือซ้ายค่อยๆยื่นออกมาโดยวางไว้ข้างลำตัว แล้วนางก็ค่อยๆขยับตัวไปด้านข้าง หากจำไม่ผิดล่ะก็ จิ้งอ๋องอยู่ทางด้านซ้ายของนาง หยุนชางคลำไปเจอดาบของจิ้งอ๋อง แล้วค่อยๆเลื่อนมือเหนือขึ้นมาเรื่อยๆ ก็ไปสัมผัสกับมือที่เย็นเฉียบของจิ้งอ๋อง มือนั้นพลิกมือของหยุนชางแล้วกดไว้ เขาเขียนคำสองคำลงไปบนฝ่ามือของหยุนชางคือคำว่า มีคน
หยุนชางค่อนข้างจะเบาใจขึ้นมาหน่อย ที่แท้เขาก็รู้สึกตัวอยู่ หยุนชางสัมผัสได้ว่าสายลับรอบตัวนางก็คอยจับตาเฝ้าดูอยู่เช่นกัน จึงรู้สึกวางใจขึ้นมาอีกขั้น
พลันมีเสียงแหลมดังขึ้นจนหยุนชางรู้สึกปวดแก้วหู นางครุ่นคิด ในเมื่อศัตรูส่งสัญญาณชัดเจนเช่นนี้แล้วก็คงจะต้องการทำให้นางและจิ้งอ๋องตกใจกลัว นางตัดสินใจลืมตา แต่กลับพบว่ารอบๆมีแต่ความมืดมิด แม้แต่แสงจันทร์ก็มิอาจมองเห็น
ห่างออกไปไม่มากพลันปรากฏชุดสีขาวลอยพุ่งเข้ามา ชุดสีขาวนั้นดูเหมือนจะเรืองแสงได้ แสงนั้นสะท้อนให้เห็นโฉมหน้าเจ้าของชุดสีขาวซึ่งมีใบหน้าเขียวคล้ำ นัยน์ตาขาวโพลน กำลังลอยมาหาหยุนชาง
ก่อนที่หยุนชางจะมีปฏิกิริยาใดๆ ก็มีเสียงร้องตะโกนดังมาจากด้านหลัง "ฮะ……มีผีหรือนี่……"
เสียงนั้นเป็นเสียงที่หยุนชางคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หยุนชางตัวสั่นงันงก แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็ถูกจิ้งอ๋องดึงตัวพาวิ่งไปตามถนนด้านนอกดงป่า จิ้งอ๋องวิ่งไปตะโกนไป "ผี มีผี มีผี รีบหนีเร็ว มีผี……"
หยุนชางหยุดหายใจพักหนึ่ง แล้ววิ่งตามจิ้งอ๋องต่อด้วยความทุลักทุเล ทั้งสองวิ่งมาได้เป็นระยะทางที่ยาวไกลมิใช่น้อย แล้วจิ้งอ๋องจึงหยุดลง เขาหันหลังกลับไปมองหมู่บ้านเถาซี เบื้องหลังเต็มไปด้วยความมืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใดตามมาแล้ว
หยุนชางหันไปมองจิ้งอ๋อง เห็นแต่เพียงเค้าร่างเลือนลาง
แต่ดูเหมือนว่าจิ้งอ๋องจะรู้สึกตัวว่านางกำลังมองเขาอยู่ เขาพูดเบาๆ "คนในหมู่บ้านเถาซีไม่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของพวกเราเป็นใคร พวกเขาคงกลัวว่าเราจะอยู่ในหมู่บ้านนี้ต่อ แต่ก็ไม่อยากลงมือฆ่าพวกเราแล้วต้องถูกทางการเพ่งเล็ง ก็เลยใช้วิธีปลอมเป็นผีมาหลอกพวกเรา ให้พวกเราตกใจน่ะ"
หยุนชางผงกหัว "คนที่ปลอมเป็นผีโรยตัวด้วยผงที่สกัดมาจากหิ่งห้อยเพคะ" นางยังพูดอีกว่า "เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แสดงว่า เซี่ยโหจิ้งไม่รู้ตัวว่าพวกเราอยู่ที่นี่ เมื่อคนในหมู่บ้านเถาซีเห็นว่าพวกเราหนีไปแล้ว ก็คงจะไม่ตามพวกเรามาอีก ประจวบเหมาะ พวกเราก็กำลังหาเหตุผลในการออกจากหมู่บ้านอยู่พอดี"
"ไปกันเถอะ ร่องเขานั้นอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตก 120 ลี้ พวกเราจะเดินทางโดยการขี่ม้าตลอดคืน เมื่อฟ้าสางก็น่าจะถึงที่หมาย" เสียงของจิ้งอ๋องเบามาก เบาจนหยุนชางรู้สึกว่า เสียงนั้นช่างอ่อนโยนเหลือเกิน
จิ้งอ๋องเป่าปากเป็นสัญญาณ หยุนชางก็เห็นม้า 2 ตัววิ่งเข้ามาหา หยุนชางยิ้มและจูงม้า "ม้าตัวนี้ช่างรู้ภาษาจริงๆเลยนะเพคะ"
"ม้าตัวนี้ชื่อไฉ่หยุน เป็นม้าตัวเมีย มันเชื่องมาก เป็นม้าคู่ของจุยหยุนม้าของข้าตัวนี้ ข้าขอมอบไฉ่หยุนให้กับเจ้า" จิ้งอ๋องกล่าวแล้วปีนขึ้นไปบนตัวม้า "ไปกันเถอะ"
หยุนชางยังไม่ทันจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นี้ แต่เมื่อได้ยินเสียงเขาเริ่มควบม้า หยุนชางก็มิได้ใส่ใจความคิดเมื่อชั่วครู่ นางรีบขึ้นม้า ตบไปบนตัวม้า เจ้าไฉ่หยุนก็ควบฝีเท้าตามหลังจิ้งอ๋องไป
เป็นไปตามที่จิ้งอ๋องคาดการณ์ รุ่งเช้า ทั้งสองก็ได้มาถึงจุดหมายตามที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ หยุนชางขมวดคิ้วมองไปยังน้ำตกสูงตระหง่านที่อยู่ตรงหน้า นางสังเกต เนื่องจากหน้าผาถูกน้ำไหลกลบติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน หน้าผาแห่งนี้จึงลื่นมาก สองด้านของน้ำตก ก็คือป่าทึบที่มีความร้อนชื้นแพร่กระจายอยู่ทั่วไป
หยุนชางพินิจพิเคราะห์น้ำตกตรงหน้าอยู่นานแล้วส่ายหน้า "หม่อมฉันเกรงว่าคงขึ้นไปไม่ได้แน่เพคะ"
จิ้งอ๋องพยักหน้า ครั้งก่อนเขาแค่เพียงรับฟังสิ่งที่สายลับรายงานมา แต่ตนยังมิได้เห็นสถานที่จริง ตอนนี้ได้มาถึงสถานที่จริงแล้ว ขนาดตัวเขาเองจะลองขึ้นไปคนเดียวก็ดูจะมีความเสี่ยงสูง หากต้องพาหยุนชางขึ้นไปพร้อมกันแล้วล่ะก็ เกรงว่าจะลื่นตกมาตายกันทั้งคู่
หยุนชางสอดส่องสายตามองไปมองมาอยู่ริมน้ำตก นางชี้ไปยังต้นไม้ที่อยู่บนยอดของน้ำตก "หากพระองค์ไปหาเชือกที่ยาวพอมาผูกไว้ที่ต้นไม้นั่นได้ หม่อมฉันก็สามารถไต่ขึ้นไปได้เพคะ ไม่เพียงแค่หม่อมฉันขึ้นไปได้ สายลับอีก 10 คนก็ขึ้นไปได้เหมือนกันนะเพคะ"
จิ้งอ๋องขมวดคิ้วคิดตามอยู่นาน สุดท้ายก็พยักหน้า เขาสั่งให้คนไปซื้อเชือก แต่ชานเมืองที่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ห่างออกไปร้อยกว่าลี้ กว่าจะเทียวไปเทียวมา ก็กินเวลา 1 วันพอดี
เมื่อสายลับกลับมาก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ท้องฟ้ามืดครึ้มมองสิ่งใดไม่เห็น หยุนชางเองก็ไม่มีหนทางอื่น จึงหาที่เหมาะๆเพื่อพักผ่อน เช้าวันที่สองในยามที่ฟ้าเริ่มสว่าง ทุกคนก็ลุกขึ้นมาเตรียมตัว
จิ้งอ๋องเหาะขึ้นไปบนยอดผา การเหาะ 1 ครั้งกินระยะทางหลายร้อยเมตร หยุนชางเฝ้ามองด้วยความทึ่ง นางรู้มาโดยตลอดว่าวิทยายุทธของจิ้งอ๋องยอดเยี่ยมมาก แต่นึกไม่ถึงว่าจะน่าทึ่งถึงเพียงนี้ ในใจนางอดชื่นชมเขาไม่ได้ ฝีมือเขาช่างร้ายกาจนัก หากมีวันหนึ่งตนกลายมาเป็นศัตรูกับเขา ตนคงไม่มีทางเอาชนะเขาได้เป็นแน่
จิ้งอ๋องนำเชือกไปผูกไว้กับต้นไม้ที่หยุนชางพูดถึง ตรวจสอบเพื่อความแน่ใจอีกรอบ แล้วจึงพยักหน้า ต้นไม้ต้นนั้นเป็นต้นไม้เก่าแก่อายุหลายร้อยปี ขึ้นอยู่บนยอดผา แผ่กิ่งก้านออกไปรอบๆ กิ่งไม้ที่จิ้งอ๋องใช้เชือกผูกเอาไว้มีความหนาพอสมควร รองรับน้ำหนักคนคนหนึ่งได้ไม่มีปัญหา
หยุนชางโถมตัวลงในน้ำ ว่ายไปยังปลายเชือกที่ห้อยลงมา นำเชือกมัดเอวของตนเองจนกระชับ มือทั้งสองดึงเชือกเอาไว้แน่น แล้วไต่ขึ้นไปด้านบน พื้นผิวของหน้าผาลื่นมาก หยุนชางไม่สามารถใช้เท้าดันเอาไว้ได้ ทำได้เพียงอาศัยแรงของเชือก ค่อยๆเคลื่อนย้ายร่างกายขึ้นไปทีละนิด จิ้งอ๋องเห็นดังนั้นแล้วก็ขมวดคิ้ว หน้าผานี้สูงชันนัก ให้ปีนขึ้นมาเช่นนี้ มือของนางก็คงจะเจ็บไม่น้อยเลย
คิดได้ดังนั้นแล้ว เขาก็ใช้กำลังภายในดึงเชือกขึ้นมา หยุนชางซึ่งเป็นเพียงหญิงสาวอายุ 15-16 ปี จิ้งอ๋องดึงนางขึ้นมาก็มิใช่เรื่องยากลำบากอะไร ใช้เวลาอยู่สักพัก หยุนชางก็ขึ้นมาอยู่บนยอดผาได้สำเร็จ
ทั้งสองถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่ง พลันได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากป่าทึบด้านข้าง หยุนชางและจิ้งอ๋องสะดุ้ง ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วรีบซ่อนตัวภายใต้ผืนน้ำ