ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 201 ยังมีเบื้องหลังซ่อนอยู่
ชางเจียชิงซูได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่นี้ หยุนชางจึงเรียกหมอหลวงให้รีบมาทำการรักษา
"ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท"
จักรพรรดิหนิงพยักหน้า พระองค์ตรัสกับหมอหลวง "ลุกขึ้นเถอะ ท่านไปดูซิว่าบาดแผลที่มือขององค์หญิงหัวจิ้งร้ายแรงมากหรือไม่"
หมอหลวงรับคำแล้วเดินไปทางหัวจิ้ง "องค์หญิง หม่อมฉันขอประทานอนุญาตทำการตรวจบาดแผลที่พระหัตถ์ของพระองค์หน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ?
หัวจิ้งเห็นว่าบรรดาขุนนางกำลังจับตามองอยู่ คงมิอาจผ่านสถานการณ์ในตอนนี้ไปได้แน่ นางคิดหาวิธีอย่างใจร้อน ในใจของนางรู้สึกเกลียดหยุนชางเข้ากระดูกดำ
หมอหลวงตรวจดูสักพักจึงพูดว่า "องค์หญิงทรงโดนของมีคมบาด แม้ว่าบาดแผลจะไม่ใหญ่มาก ทว่ากลับลึกลงไปไม่น้อย แต่ก็จะทรงเจ็บอยู่เพียงไม่นาน หม่อมฉันจะถวายโอสถสำหรับทาให้พระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ"
หยุนชางคลี่ผ้าออก นางถามหมอหลวง "ท่านบอกว่าบาดแผลของเสด็จพี่ไม่ได้ร้ายแรงมาก แต่ทำไมถึงมีพระโลหิตไหลออกมามากขนาดนี้? ผ้านี่ซับพระโลหิตไว้จนแดงไปทั้งผืนเลย……"
หมอหลวงรู้ว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าตนนั้นคือองค์หญิงฮุ่ยกั๋วที่จักรพรรดิหนิงทรงรักใคร่เอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่กล้าเสียมารยาท เมื่อเห็นผ้าในมือของนางเต็มไปด้วยเลือดจึงรีบอธิบายว่า "องค์หญิง หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าผ้านั่นเป็นผ้าประเภทใด แต่ดูเผินๆ น่าจะเป็นผ้าที่ทอมาจากไหม ผ้าไหมนั้นเป็นผ้าที่เนื้อสัมผัสเบาบางและกระจายของเหลวได้ง่าย จึงทำให้ดูเหมือนมีพระโลหิตออกมาเยอะจนน่ากลัว จริงๆแล้วหาได้รุนแรงเช่นนั้นไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"อ้อ" หยุนชางพยักหน้า จากนั้นจึงถอยกลับไปอยู่ที่เดิมพลางเอ่ยวาจากลบเกลื่อน "อ้อ ไม่เป็นไรๆ เช่นนั้นเชิญไต้เท้าสิงตรวจดูอาการบาดเจ็บต่อเถอะ"
พูดจบก็รีบนำผ้าผืนดังกล่าวยัดใส่มือมามาที่อยู่ตรงนั้น เหล่าขุนนางผู้มาเข้าเฝ้าไม่ค่อยเข้าใจในกระทำของหยุนชางเท่าใดนัก สักพักจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่สาวใช้นำผ้าออกมาก่อนหน้านั้น คราบเลือดบนผ้ามีเพียงเล็กน้อย แม้จะมองเห็นได้ชัดว่าเป็นเลือด แต่ก็มิได้มากมายจนน่าตกใจดังเช่นเมื่อครู่
แต่ว่า องค์หญิงหัวจิ้งตรัสว่า บาดแผลบนมือของนางนั้นเป็นแผลที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เมื่อครู่นี้ก็เป็นเพียงแค่ปากแผลฉีกขึ้นมาอีกครั้งก็เท่านั้น บาดแผลที่เกิดจากแผลเก่าแตกก็ดูน่ากลัวเช่นนี้ นี่มิใช่บาดแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่อย่างใด
คงเป็นเพราะองค์หญิงฮุ่ยกั๋วคำนึงถึงประเด็นนี้ ด้วยความที่นางทรงรักพี่สาวของนางมาก เกรงว่าพี่สาวจะเกิดเรื่องร้ายแรง จึงกระทำการเมื่อครู่ลงไป
สายตาที่เหล่าขุนนางมองมาที่หยุนชางก็เริ่มมีความรู้สึกชื่นชมสรรเสริญ เมื่อเทียบกับหัวจิ้งที่ชอบพูดโกหกแล้ว หยุนชางผู้ที่คอยปกป้องดูแลพี่สาวก็ดูใจดีมีเมตตาขึ้นมาไม่น้อย
"ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ……" เสียงอันชัดถ้อยชัดคำดังขึ้น ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างพากันมองไปยังเจ้าของเสียง ก็พบกับชายในชุดทหารเดินเขามาอย่างเร่งรีบ "ทูลฮ่องเต้ หม่อมฉันพบชายผู้หนึ่งได้รับบาดเจ็บอยู่ที่ภูเขาจำลองในอุทยานหลังวังพ่ะย่ะค่ะ ดูท่าทางแล้ว เหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้ในจวนของใครสักคน อาการของเขาสาหัสมาก เมื่อครู่นี้เขาได้สติขึ้นมาชั่วครู่ ก็เอาแต่พูดว่าต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขาบอกว่าต้องการเปิดเผยเรื่องคุณชายของเขาพ่ะย่ะค่ะ……"
เสียงรายงานที่สิ้นสุดลงไปนั้นเปรียบดังสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ หยุนชางมองเห็นหัวจิ้งหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที เวินชิงจู๋ที่คุกเข่าอยู่กับพื้นก็ถึงกับโก่งหลังขึ้นมาเล็กน้อย หยุนชางถูเครื่องประดับหยกที่อยู่บริเวณเอว แววตาแฝงไปด้วยความสะใจ ในที่สุด……
หัวจิ้งเอ๋ยหัวจิ้ง ได้ลองลิ้มรสชาติของผ้ายันต์สั่งตายแล้วเป็นเช่นไรล่ะ?
จักรพรรดิหนิงตรัสเสียงกร้าว "ไปนำตัวมา"
จากนั้นก็มีเหล่าทหารแบกร่างที่อาบเลือดของชายผู้หนึ่งเข้ามาด้านใน ชายผู้นั้นสวมชุดคนใช้สีเท่าอ่อน ใบหน้ามีสีออกเขียวคงเป็นเพราะพิษบาดแผล และยังมีเหงื่อไหลออกมาทั่วทั้งใบหน้า
เมื่อเหล่าทหารวางร่างของบ่าวรับใช้ผู้นั้นลง เขาพยายามใช้เรี่ยวแรงที่ยังคงเหลืออยู่ประคองร่างของตนเองให้คุกเข่า "ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฮ่องเต้ หม่อมฉันเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายเวินชิงจู๋ หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขอกราบทูลฮ่องเต้ ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ เรื่องที่คุณชายของหม่อมฉันแทงองค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลางนั้นยังมีเบื้องหลังที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ขอฮ่องเต้โปรดทรงพิจารณา……"
พูดยังไม่ทันจบ เวินชิงจู๋ที่คุกเข่าอยู่ก็ลุกพรวดขึ้นมาและดิ่งไปหาบ่าวรับใช้ผู้นั้น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แต่ก่อนที่เขาจะได้เข้าถึงตัวบ่าวรับใช้ผู้นั้น เหล่าทหารที่ยืนอยู่ข้างบ่าวรับใช้ก็ออกมาขวางเขาเอาไว้
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมามองเวินชิงจู๋ น้ำตาของเขาค่อยๆไหลออกมา "คุณชายขอรับ ข้าน้อยรู้ดีว่าคุณชายหวังดีกับตระกูลเวิน แต่ว่าคุณชาย ท่านเป็นคุณชายคนเดียวของตระกูลเวิน หากท่านเป็นอะไรไปแล้ว จวนเวินจะอยู่ได้อย่างไร? ท่านคอยสอนข้าน้อยมาโดยตลอด ว่าจะต้องรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี คุณชาย แล้วเพราะเหตุใด ท่านเองกลับแยกแยะไม่ได้ล่ะขอรับ?"
"เจ้าบอกว่าเรื่องนี้ยังมีเบื้องหลังอีก รีบพูดมา เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่" จักรพรรดิหนิงตรัสเสียงเรียบ ไม่มีผู้ใดเดาได้ว่าพระองค์กำลังทรงรู้สึกเช่นไร จะมีก็แต่หยุนชางที่รู้ว่า ความพิโรธนั้นกำลังจะปะทุขึ้นมาในเวลาอีกไม่นาน
สภาพร่างกายของบ่าวรับใช้ผู้นั้นไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร เขาไออยู่สักพักหนึ่งแล้วพูดต่อ "ทูลฮ่องเต้ คุณชายนั้นได้แอบรักองค์หญิงหัวจิ้งมาตั้งแต่เด็ก แต่คุณชายรู้ฐานะตัวเองดี จึงไม่เคยคิดอาจเอื้อม วันนี้คุณชายไปเดินเล่นในอุทยานแล้วได้พบกับองค์หญิงหัวจิ้ง องค์หญิงดูท่าทางไม่ค่อยพอพระทัยกับบางสิ่งบางอย่าง เมื่อทรงชมดอกกุหลาบเสร็จก็ทรงถูกหนามแทงพระหัตถ์จนได้รับบาดเจ็บ คุณชายเป็นห่วงมากจึงได้แอบตามเสด็จองค์หญิง เมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้าตำหนัก ด้วยความที่เกรงว่าตนนั้นจะทำให้องค์หญิงทรงเสื่อมเสียพระเกียรติ จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงขององค์หญิงกรีดร้องออกมา คุณชายเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิง จึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปดู แต่นึกไม่ถึงว่าจะเจอ……"
บ่าวรับใช้ผู้นั้นไอขึ้นมาอีกครั้ง เขาไอจนกระทั่งมีเลือดปนออกมา สักครู่หนึ่งจึงกราบทูลต่อไปว่า "เจอองค์หญิงหัวจิ้งอยู่กับองค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลาง……พวกเขา พวกเขานอนอยู่บนพื้นในตำหนัก องค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลางผู้นั้นได้ถกฉลองพระองค์ขององค์หญิงขึ้นมา แม้แต่กางเกงด้านในก็……คุณชายที่แอบหลงรักองค์หญิง เมื่อได้เห็นภาพไม่พึงประสงค์เช่นนี้ ก็คิดว่าองค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลางนั้นกำลังขืนพระทัยองค์หญิง จึงปรี่เข้าไปช่วยองค์หญิง องค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลางมีฝีมือเชิงการต่อสู้ เขาหยิบมีดสั้นขึ้นมาและพุ่งมาทางคุณชาย หม่อมฉันรีบนำตัวเข้าไปขวางไว้ด้านหน้าของคุณชาย มีดสั้นนั้นปักเข้าที่ร่างของหม่อมฉัน ส่วนคุณชายดูเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เสียแล้ว คุณชายดึงมีดออกและพุ่งแทงไปที่องค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลาง องค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลางในขณะนั้นไม่ทันได้ระวังตัวก็เลยถูกแทงเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ"
หัวจิ้งไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางตัวสั่นงันงก สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเคียดแค้นบ่าวรับใช้ผู้นั้นจนอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ แต่ติดตรงที่ว่าในตอนนี้มีผู้คนอยู่ด้วยมากมาย จึงไม่กล้าลงมือจริง ทำได้แต่เพียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แบกรับสายตาที่แสดงความรู้สึกต่างๆนานาจากผู้คนที่มองมายังนาง
"องค์หญิงหัวจิ้งเห็นเหตุการณ์ดังนั้นแล้ว ก็ทรงกรีดร้องออกมาด้วยความตกพระทัย เสียงกรีดร้องนั้นทำให้เหล่าทหารองครักษ์รีบวิ่งเข้ามาดู องค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลางจึงให้คนนำร่างของหม่อมฉันไปโยนทิ้งในที่ที่ลับหูลับตาคน ภาพสุดท้ายหม่อมฉันจำได้ว่า เหมือนว่าองค์หญิงหัวจิ้งจะทรงตรัสกับคุณชาย แต่หม่อมฉันไม่ทราบว่าองค์หญิงหัวจิ้งตรัสสิ่งใดไปบ้าง หม่อมฉันจำได้แต่เพียงว่าคนที่นำตัวหม่อมฉันมานั้นได้นำหม่อมฉันไปทิ้งไว้ที่ด้านหลังภูเขาจำลอง หม่อมฉันกลั้นหายใจไว้ จนตบตาคนพวกนั้นได้สำเร็จ แล้วหม่อมฉันก็ได้ยินคนพูดว่าเรื่องที่คุณชายแทงองค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลางจนบาดเจ็บนั้นกำลังจะได้รับการไต่สวน……" เสียงของบ่าวรับใช้ยิ่งพูดก็ยิ่งผ่อนเบาลงมาเรื่อยๆ หมอหลวงที่อยู่ ณ ที่นั้นก็ได้เดินเข้าไปดู และนำห่อยาประคบไปที่บาดแผลของเขา
เรื่องราวเริ่มมีความกระจ่างมากขึ้น ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มองไปยังจักรพรรดิหนิง จักรพรรดิหนิงมีสีพระพักตร์แน่นิ่ง สายพระเนตรนั้นราวกับมีลมพายุพัดกระหน่ำอยู่ภายใน
"ทูลฮ่องเต้! หม่อมฉันได้ไปพบกับอาภรณ์ผืนนี้ที่ตำหนักทางด้านตะวันตก ได้ยินบ่าวไพร่แถวนั้นเล่าว่า เมื่อครู่องค์หญิงหัวจิ้งได้เสด็จไปที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ" ทหารนายหนึ่งถือผ้าอยู่ในมือ เป็นชุดกระโปรงสีบานเย็น บนกระโปรงมีลายดอกท้อสีสดปักไว้อย่างสวยงาม ลักษณะตรงกับสิ่งที่บรรดาบ่าวไพร่ได้พรรณนาไว้ทุกประการ
จักรพรรดิหนิงสุดจะทน พระองค์ตบที่วางแขนพระเก้าอี้ที่ประทับอย่างแรง ขุนนางทั้งหลายพากันตกใจ ต่างพากันกุลีกุจอคุกเข่า "ฮ่องเต้โปรดทรงสงบสติอารมณ์ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
"ไป จงไปนำตัวองค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลางมาที่นี่ ข้าจะไต่สวนด้วยตัวเอง เหตุใดจึงบังอาจมาล่วงเกินองค์หญิงแห้งแคว้นหนิงของข้า? หรือหลงคิดว่าแคว้นหนิงของข้ามีเมตตาจนไม่จำเป็นต้องยำเกรงกันแล้ว!"
พระสุรเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างถึงที่สุด
"ฮ่องเต้แห่งแคว้นหนิง ข้าเหอหนู่โม่ไม่เห็นด้วย องค์หญิงหัวจิ้งของพวกท่านคนนี้ เมื่อหลายเดือนก่อน องค์ชายสามเป็นคนช่วยนางออกมาจากป่า นางได้ตกเป็นผู้หญิงขององค์ชายสามไปแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นองค์ชายสามไม่รู้ว่านางเป็นองค์หญิงของพวกท่าน อีกอย่าง องค์หญิงของพวกท่านก็เคยพูดไว้ว่า ก่อนหน้านี้ลูกที่นางแท้งนั้นก็คือลูกขององค์ชายสาม"
เสียงที่ขุ่นเคืองดังมาจากชายผู้หนึ่ง ผู้คน ณ ที่นั้นต่างพากันตกตะลึงและนึกตำหนิในใจ ไยจึงล่วงรู้เรื่องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้ได้ หากฮ่องเต้สั่งจับตัวขึ้นมาแล้วล่ะก็ คงจะโดนโทษหนักแน่ๆ
เขาไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกนึกคิดในใจตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว หลายเดือนก่อนหน้านี้ องค์หญิงหัวจิ้งได้เสด็จไปที่ชายแดนจริงๆ เนื่องจากพระสวามีของนางได้หายตัวไป นางจึงได้เสด็จไปตามหา ตอนนั้นยังมีคนบางส่วนชื่นชมในตัวองค์หญิงหัวจิ้งอยู่เลย ทว่า เมื่อไม่นานมานี้ ในวังดูเหมือนจะมีข่าวลือออกมา เป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์หญิงหัวจิ้ง ได้ยินว่านางทรงแท้งลูกระหว่างออกไปล่าสัตว์ ลูกของนางอายุได้เพียง 3-4 เดือนเท่านั้น เมื่อบรรดาบุคคลใกล้ชิดรู้ข่าว ต่างก็คิดในใจกันไปต่างๆนานา การเป็นแม่หม้ายนั้นก็ย่อมมีชายมาแวะเวียนเกี่ยวพันเป็นเรื่องธรรมดา อีกอย่าง แม่หม้ายนางนี้เป็นถึงองค์หญิงผู้เลอเลิศ จะแอบซ่อนผู้ชายไว้กี่คนก็ยังเป็นเรื่องที่พอรับได้ แต่นางกลับปล่อยให้ทุกอย่างถลำลึกจนตัวเองตั้งครรภ์ ก็ดูออกจะเลยเถิดเกินไป
นึกไม่ถึงเลยว่า เด็กคนนี้ จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลาง ต้องขอเท้าความก่อนว่า ตอนนั้นแคว้นหนิงกำลังทำสงครามกับแคว้นเย้หลาง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้อหากบฏร่วมมือกับศัตรูจึงตกเป็นขององค์หญิงหัวจิ้ง อาจจะด้วยเหตุนี้ นางจึงคิดหาวิธีการสารพัดเพื่อมาปกปิดเรื่องนี้
"ข้ากำลังพูดอยู่ ให้เจ้าบังอาจพูดแทรกขึ้นมาได้หรือ? เด็กๆ นำตัวเหอหนู่โม่ออกไปด้านนอก โบย 50 ที" จักรพรรดิหนิงตรัสด้วยความเกรี้ยวกราด
เหล่าขุนนางรีบก้มศีรษะลงทันที ต่างพากันเกรงกลัวว่าตนจะทำให้ฮ่องเต้ทรงพระพิโรธ ทว่าในใจของพวกเขานั้นเริ่มจะเชื่อในสิ่งที่เหอหนู่โม่ได้กล่าวไปเสียแล้ว
ในขณะเดียวกัน องค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลางก็เสด็จมาถึง เนื่องจากพระองค์ถูกทำร้าย สีพระพักตร์จึงไม่ค่อยสู้ดี แม้ว่าที่เอวของพระองค์จะมีผ้าพันปิดอยู่หลายชั้น พระโลหิตยังคงซึมออกมาให้เห็นอยู่ แต่ก็เห็นพระองค์ก้าวเท้าช้ากว่าเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ถึงกับบาดเจ็บสาหัส
เมื่อพระองค์ได้ยินจักรพรรดิหนิงทรงสั่งลงโทษคนสนิทของตนเอง พระองค์เพียงแต่เลิกคิ้วและตรัสว่า "ฮ่องเต้ตรัสแล้วถูกพ่ะย่ะค่ะ ควรจะโบยเขา 1 ยก พระเกียรติขององค์หญิงหัวจิ้ง จะให้มาเสื่อมเสียเพราะคำพูดลอยๆเช่นนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ"