ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 190 ฮองเฮากลับมากุมอำนาจอีกครั้ง
เฉี่ยนอินตัวสั่น "สตรีในวังหลวงนี่น่ากลัวจริงๆเลยเพคะ ขนาดเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ยังทำกันได้ลงคอ แก่งแย่งชิงดีกันชนิดที่ว่าคนหนึ่งอยู่อีกคนหนึ่งต้องตาย"
หยุนชางยิ้มเล็กน้อย แล้วจู่ๆนางก็ทำหน้าเศร้า "ก็คงจะรู้สึกเดียวดายกันทั้งนั้น นอกจากการชิงดีชิงเด่นก็ไม่มีกิจกรรมอื่นให้ทำฆ่าเวลาแล้ว"
ผ่านไปสองวัน หมิงไท่เฟยรู้สึกตัวแล้ว แต่พระวรกายกลับไม่ปกติ จากเดิมที่เป็นเจ้าจอมผู้ทรงพระสิริโฉมงดงามดูน่าเกรงขาม บัดนี้ กลับกลายมาเป็นสตรีปากเบี้ยวพูดจาไม่รู้ความ
เมื่อหมิงไท่เฟยเป็นเช่นนี้แล้ว วังหลังก็ไร้ผู้ดูแล ผู้ที่มีอำนาจดูแลปกครองวังหลังได้นั้น จะต้องมีฐานันดรศักดิ์เป็นพระสนมขึ้นไปเท่านั้น ด้านฮองเฮานั้นยังคงถูกกักบริเวณอยู่ นอกเหนือจากนี้แล้ว ก็เห็นจะมีแต่จิ่นเฟยที่เหมาะสม ทว่าในตอนนี้นั้น จิ่นเฟยกำลังรอประสูติอยู่ที่เมืองเฟิ่งไหล ไม่สามารถเสด็จกลับวังในตอนนี้ได้ จึงไม่อาจขึ้นเป็นผู้นำวังหลังได้ในเวลานี้
"องค์หญิงเพคะ พระองค์ทรงลงมือจัดการหมิงไท่เฟยรวดเร็วเช่นนี้ ต่อจากนี้จะเอาอย่างไรต่อไปเพคะ จิ่นเฟยเหนียงเหนียงก็มิได้ประทับอยู่ที่นี่ เกรงว่าฮ่องเต้จะสั่งปล่อยตัวและให้ฮองเฮาออกมาควบคุมวังหลังแทน เมื่อถึงตอนนั้น ฮองเฮาคงจะทรงวางอำนาจใหญ่โตไปทั่ว" เฉี่ยนอินรู้สึกกังวล แม้ว่าวังหลังจะเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ แต่นางก็เห็นแล้วว่าเบื้องลึกนั้นกลับมีความปั่นป่วนวุ่นวายซ่อนอยู่ "เมื่อวานนี้ หม่อมฉันเห็นมีนางสนมและนางในจำนวนหนึ่งไปถวายพระพรต่อฮองเฮาด้วยเพคะ"
หยุนชางยิ้มอย่างใจเย็น สายตาจ้องมองไปที่โคมไฟแปดเหลี่ยมที่ห้อยระย้า "จะต้องให้นางกลับมาดูแลวังหลัง หากว่านางยังคงอยู่แต่ภายในวังชีอู๋ แล้วข้าจะลงมือได้อย่างไรกันล่ะ?"
เฉี่ยนอินรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก แต่ไหนแต่ไรนางก็เป็นคนแสดงออกตรงไปตรงมา แม้ว่าหลายปีมานี้ หนิงเชียนจะฝึกให้นางควบคุมอารมณ์มาบ้างแล้ว แต่ทว่านางก็ไม่อาจสลัดความเป็นเด็กออกไปได้ทั้งหมด
"หม่อมฉันอยากจะไปฆ่านางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย" เฉี่ยนอินพูดเบาๆ หยุนชางเมื่อได้ยินก็ถึงกับเลิกคิ้ว "โอ้โห ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเฉี่ยนอินของพวกเราจะเป็นคนอารมณ์ร้ายเช่นนี้ หากเจ้าสังหารนางแล้ว ก็คงสาแก่ใจเจ้าเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยว แต่สิ่งที่จะตามมาภายหลังล่ะ?" ฮองเฮาแห่งแผ่นดินเสด็จสวรรคตโดยไม่มีสาเหตุ และยังเสด็จสวรรคตที่วังหลังซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถึงตอนนั้น เมื่อตระกูลหลี่เอาเรื่องเอาราวขึ้นมา ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ให้กับเสด็จพ่อเสด็จแม่"
เฉี่ยนอินได้ฟังแล้วก็คอตก นางอิงกายไปกับผนัง ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง "เฮ่อ ยุ่งยากจริง"
หยุนชางอดหัวเราะไม่ได้ นางส่ายหน้า "ช่วงนี้ที่ข้าบอกให้เจ้าพยายามนำข่าวคราวเกี่ยวกับตัวข้าไปเปิดเผยให้ฮองเฮาทรงทราบ เรื่องเป็นอย่างไรบ้าง?"
เฉี่ยนอินได้ยินเช่นนี้อารมณ์ค่อยดีขึ้นมาหน่อย "ช่วงนี้ฮองเฮาทรงเริ่มยอมฟังสิ่งที่หม่อมฉันกราบทูลแล้วเพคะ วันก่อนหม่อมฉันไปเข้าเฝ้า กราบทูลว่าองค์หญิงทรงนำตัวคนของหมิ่นไท่เฟยทั้งสองส่งไปให้จิ้งอ๋องสอบสวน และยังให้จิ้งอ๋องสอบสวนไปถึงเรื่องราวต่างๆในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในวังหลวง เมื่อกราบทูลเช่นนี้ออกไป หม่อมฉันก็สังเกตเห็นว่าสายพระเนตรของฮองเฮาดูแปลกไป ดูคล้ายกับว่าอยากจะฆ่าใครสักคน เมื่อฮองเฮาได้ฟังเรื่องที่หมิงไท่เฟยเป็นผู้ปองร้ายหมิ่นกุ้ยเฟยจากหม่อมฉันแล้ว พระนางทรงกำพระหัตถ์แน่น จากนั้นก็ทรงถามหม่อมฉันว่ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ หม่อมฉันจึงกราบทูลว่าไม่มีแล้ว หรืออาจจะมี แต่ว่าองค์หญิงยังไม่ได้เปิดเผยเพคะ"
หยุนชางชักเริ่มสนใจ "นางก็คงอยากจะฆ่าใครสักคนจริงๆนั่นแหละ ในเมื่อนางเคยก่อเรื่องไม่ดีเอาไว้ในอดีต ว่าแต่ช่วงนี้น้องสาวของนางยังอยู่ในวังหรือไม่ล่ะ? ฝูเหม่ยเหริน ส่วนเกินของนางนั่นน่ะ"
เนื่องจากถูกมหาเสนาบดีหลี่บีบบังคับ หลี่ฝูยีจึงต้องเข้าวังมา น่ากลัวว่าจะกลายมาเป็นเข็มคอยทิ่มแทงใจหยวนเจินฮองเฮา มาวันนี้ หลี่ฝูยีหามีหมิงไท่เฟยคอยหนุนหลังแล้ว จำต้องมาพึ่งบารมีฮองเฮา แต่ฮองเฮานั้นหาได้ไว้ใจนางไม่ หนทางชีวิตของนางดูท่าจะไม่สวยงามเท่าใดนัก ตระกูลหลี่รู้แต่เพียงว่า ในวังจะต้องมีลูกหลานตระกูลหลี่ได้เข้าไปยืนยึดครองอำนาจอย่างมั่นคง ในอนาคตพวกนางจะส่งเสริมกันและกันเพื่อหนุนนำความเจริญมาสู่วงศ์ตระกูล แต่กลับไม่รู้เลยว่า ในสถานที่อย่างเช่นวังหลังนี้ สามารถเปลี่ยนแปลงคนคนหนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง ทำให้ด้านมืดของคนเรานั้นปรากฏออกมาได้อย่างง่ายดาย
ในเมื่อบรรดาสตรีชั้นสูงในวังต่างพากันไปเข้าเฝ้าฮองเฮา และฮองเฮาก็ทรงยอมให้เข้าเฝ้าโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นก็แสดงว่า ที่ประทับฮองเฮานั้นเริ่มมีการคลายมาตรการลงบ้างแล้ว ในฐานะที่เป็นพระธิดาในนาม เห็นทีว่าหยุนชางจะต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮาบ้างแล้วล่ะ
"เสด็จแม่ดูซูบผอมลงไปนะเพคะ พวกนางกำนัลดูแลท่านไม่ดีหรือ?" หยุนชางมองไปยังสตรีผู้สูงศักดิ์ พระนางยังคงทรงพระสิริโฉมงดงามและดูสูงส่ง ทว่าสายพระเนตรในเวลานี้กลับดูเหมือนบ่อน้ำรกร้างที่ปราศจากคลื่น
หยวนเจินฮองเฮาแย้มพระสรวลเล็กน้อย "มิใช่หรอก เพียงแต่ช่วงนี้อากาศอุ่นขึ้นก็เลยรู้สึกอบอ้าว ทำให้ไม่ค่อยอยากกินอะไรเท่าไร ก็เลยผอมลง รอให้ฤดูร้อนผ่านไปก็คงจะดีขึ้นเอง"
หยุนชางพยักหน้า "ชางเอ๋อร์ทราบดีว่าเสด็จแม่ทรงเป็นห่วงเสด็จพี่ ชางเอ๋อร์ได้ไปขอร้องเสด็จพ่อแล้ว อย่างไรเสีย เสด็จพี่ก็ยังคงเป็นธิดาของเสด็จพ่อ เห็นเสด็จพี่ถูกทำโทษ เสด็จพ่อก็ทรงเจ็บปวดพระทัยเช่นกันเพคะ อีกสองวันก็จะมีงานชมบุปผชาติ เมื่อถึงเวลานั้น หม่อมฉันจะทูลขอพระบรมราชานุญาตจากเสด็จพ่อให้ปล่อยตัวเสด็จพี่ออกมาเดินชมงาน เสด็จพี่เพิ่งถูกทำโทษไป หากได้ออกมาเดินเล่นภายนอกบ้างก็คงจะดีนะเพคะ"
ฮองเฮาถึงกับเอะใจ นางหันมาสอดส่องหยุนชาง แต่กลับพบกับสีหน้าที่กำลังหนักใจ หาใช่สะใจแต่อย่างใดไม่ และสายตาของหยุนชางนั้นก็ดูหนักแน่นมาก ฮองเฮาเงียบอยู่พักหนึ่งจึงตรัสว่า "ก็ดี เช่นนั้นแล้ว ก็ลำบากเจ้าหน่อยนะ"
"เสด็จแม่ตรัสอะไรเช่นนั้นเพคะ เสด็จพี่ก็คือพี่สาวของชางเอ๋อร์นะเพคะ"
สองพระองค์สนทนากันต่อสักครู่ ไม่นานนัก หยุนชางก็ทูลลากลับ
"องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันสังเกตเห็นว่าข้างกายฮองเฮามีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง มีอยู่ 2 คนที่ฝีมือการต่อสู้เก่งกาจมากเพคะ……" เฉี่ยนอินกล่าว
หยุนชางรู้ว่านางอยากจะพูดอะไรต่อ จึงหยุดเดินและพูดเบาๆ "บริวารคนที่นางไว้ใจที่สุดได้ถูกพวกเรากำจัดไปแล้ว นางเป็นถึงฮองเฮา ย่อมถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย พวกเราชิงลงมืออย่างรวดเร็วในขณะที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว ข้าคิดว่า คนที่มาใหม่พวกนั้นส่วนใหญ่คงเป็นคนที่จวนหลี่ส่งเข้าวังมา แต่ว่า ผู้ที่ฝีมือดีจริงๆนั้นต้องใช้เวลานานหลายปีในการฝึกฝน เจ้าจงส่งคนมาคอยจับตาดูไปก่อน ไม่ต้องรีบร้อน"
เฉี่ยนอินพยักหน้ารับคำ
ทางด้านพระราชวังชีอู๋ ฮองเฮากำลังกุมขมับครุ่นคิดและถอนหายใจ หยุนชางผู้นี้ นับวันก็ยิ่งดูสงบเสงี่ยมขึ้นเรื่อยๆ ความคิดความอ่านก็สุขุมลุ่มลึกมากขึ้นทุกที ตนอ่านความคิดของเด็กคนนี้ไม่ค่อยออกเลยจริงๆ
"ฮองเฮาเพคะ พระโอสถมาแล้วเพคะ" มามาสูงวัยนางหนึ่งนำยาถ้วยหนึ่งมาถวาย ฮองเฮาทอดพระเนตรถ้วยยาอยู่สักพัก นางแย้มพระสรวลอย่างเศร้าๆ "นำออกไปเถอะ ข้าไม่อยากดื่ม ดื่มไปก็ไม่มีประโยชน์……"
มามาสูงวัยนางนั้นขมวดคิ้ว นางรู้สึกลังเล "แต่ว่าฮองเฮาเพคะ นี่เป็นตำรับยาจากหมอใหญ่ที่ท่านมหาเสนาบดีไปเชิญมาโดยเฉพาะเลยนะเพคะ ได้ยินว่ามีประสิทธิภาพที่วิเศษมาก ฮองเฮาโปรดเชื่อหม่อมฉันเถิด ในวังหลวงนี้ความรักของฮ่องเต้ก็เป็นเพียงภาพลวงตา ทุกๆปีก็มีหญิงงามหน้าใหม่เข้าวังมาเรื่อยๆ ความรักของฮ่องเต้นั้นไม่อาจพึ่งพาได้ สิ่งเดียวที่จะทรงพึ่งพาได้ก็คือพระโอรสพระธิดาเท่านั้นเพคะ……"
"มีเพียงลูกเท่านั้น……" ฮองเฮาเอ่ยทวนกับตัวเอง สักพักหนึ่ง นางกลับหัวเราะขึ้นมา หัวเราะไปหัวเราะมา จู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาอาบแก้ม "มีลูกงั้นหรือ มีลูกแล้วอย่างใดเล่า จิ้งเอ๋อร์ก็เป็นลูกของข้าเช่นกัน แต่ข้ากลับปกป้องนางเอาไว้ไม่ได้"
เมื่อมามาสูงวัยได้ยินดังนั้นแล้วก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่เมื่อเห็นท่าทางของฮองเฮาในตอนนี้แล้ว นางก็ถอนหายใจ "ฮองเฮาเพคะ พระองค์ยังมีพระชนมพรรษาไม่มาก ยังคงมีเวลาอีกหลายสิบปีนะเพคะ……"
ฮองเฮาแย้มพระสรวลออกมา นางยกถ้วยยาขึ้นมาแล้วดื่มทีเดียวจนหมด "ใช่ ข้ายังอายุไม่มาก ผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ ยังไม่อาจตัดสินกันได้"
แม้ว่าฮองเฮาจะทรงเริ่มพบปะเหล่าสนมและนางในแล้ว แต่ทว่า ยังไร้วี่แววที่จะได้กลับมาเป็นผู้นำวังหลังอีกครั้ง หยุนชางกำลังชมดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในเขตอุทยาน หยุนชางยิ้มและพูดขึ้นว่า "ตอนที่นางคืนตราประทับฮองเฮานั้นท่าทางของนางดูหมดอาลัยตายอยาก มาครานี้ หากว่าเสด็จพ่อไม่ทรงพระกรุณาแล้วล่ะก็ ไม่รู้ว่านางจะกู้หน้าตัวเองกลับมาได้อย่างไร"
สองวันผ่านไป หยุนชางได้ยินคนมารายงานว่ามหาเสนาบดีหลี่ได้เข้ามาในวัง เขาหารือกับจักรพรรดิหนิงอยู่ที่ตำหนักฉินเจิ้งเป็นเวลานาน เห็นว่าหารือกันเรื่องงานชมบุปผชาติ เมื่อมหาเสนาบดีหลี่กลับไป จักรพรรดิหนิงก็ได้เสด็จไปที่พระราชวังชีอู๋
เป็นไปตามที่หยุนชางคาดการณ์ ในคืนนั้นเอง จักรพรรดิหนิงก็ได้ออกมาแถลงว่าฮองเฮาเป็นผู้ไร้มลทิน มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้นางเป็นผู้ดูแลตำหนักทั้งหก และยังทรงมอบตราประทับฮองเฮาให้กับนางด้วยตนเองอีกด้วย
ฮองเฮากลับมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ครานี้ มิได้ดูอวดดีเช่นแต่ก่อน เช้าวันถัดมาก็ให้คนมาเข้าเฝ้าถวายพระพร และมีพระราชเสาวนีย์ชัดแจ้งว่า ต่อจากนี้ไป ในวันปกติไม่จำเป็นต้องมาถวายพระพร ทุกอย่างให้ปฏิบัติตามเดิม แล้วนางก็ไม่เรียกพบปะฝูงชนจำนวนมากอีกเลย