ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 170 พระราชินีสลบไป
หยุนชางพยักหน้าแล้วยื่นกระดาษหนังแพะในมือให้ขันทีเจิ้งไป ขันทีเจิ้งรีบนำจดหมายฉบับนี้ไปให้จักรพรรดิหนิง จักรพรรดิหนิงหยิบขึ้นมาอ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยิ้มและกล่าวว่า " นี่คือลายมือของซูจิ่นจริงๆ ซูจิ่นกล่าวว่า มหาราชครูเซียวได้ไปเยี่ยมเยียนนาง และยังกล่าวอีกว่าบุตรในท้องของนางคงเป็นบุตรชาย" มุมปากของจักรพรรดิหนิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความพึงพอใจที่ห้ามไม่ได้ "จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ท้องของซูจิ่นคงจะโตมากแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะเข้าฤดูร้อนแล้ว เจิ้นจะไปพักร้อนที่ตำหนักเฟิ่งไหล และถือโอกาสรอซูจิ่นให้กำเนิดบุตรไปด้วยแล้วกัน"
หมิงไท่เฟยขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่ปลาบปลื้มใจนัก แต่นางก็เมินเฉย จากนั้นจึงหันไปมองหยุนชางและกล่าวว่า " องค์หญิงหายตัวไปทั้งคืน แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องใดกับจดหมายนี้หรือ?"
หยุนชางถอนหายใจ มีความเศร้าเล็กน้อยปรากฏที่หว่างคิ้วของนาง " ชางเอ๋อร์เห็นจดหมายจากเสด็จแม่แล้ว หม่อมฉันก็คิดถึงเสด็จแม่อย่างมากเช่นกัน เพียงแต่ว่าชางเอ๋อร์ทราบเป็นอย่างดี ตอนนี้ท่านทูตทั้งสองก็ยังอยู่ที่พระราชวัง หม่อมฉันคงไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเสด็จแม่ หม่อมฉันรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย ฉะนั้นจึงได้ปิดบังคนในตำหนัก และไปที่ตำหนักเย็นก่อนของเสด็จแม่อย่างลับๆ"
เมื่อหมิงไท่เฟยได้ยินเช่นนี้ ก็เบิกตากว้างด้วยความเกลียดชัง ให้ตายเถิด นางวางแผนคิดกลอุบายมาอย่างดี แต่ลืมตำหนักเย็นไปได้อย่างไรกัน? ตนค้นหาทั้งวังหลังแล้ว แค่ไม่คาดคิดว่าหยุนชางจะใช้ตำหนักเย็นเป็นข้ออ้าง"
เสียงของหยุนชางที่แผ่วเบายังคงดังก้องอยู่ในหูของนาง "เสด็จแม่อยู่ที่นั่นมาสิบกว่าปี แม้ว่าท่านจะย้ายออกมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว แต่ในตำหนักเย็นนั้นยังคงมีกลิ่นอายของเสด็จแม่หลงเหลืออยู่เพคะ ชางเอ๋อร์คิดถึงเสด็จแม่ จึงได้บรรทมบนพระแท่นบรรทมของเสด็จแม่ไปหนึ่งคืน วันนี้เมื่อตื่นขึ้นมาจึงกลับไปที่ตำหนักชิงซิน ฉะนั้นจึงทราบว่าไท่เฟยเหนียงเหนียงตามหาหม่อมฉันไม่พบ และคิดว่าหม่อมฉันหายตัวไปเพคะ ชางเอ๋อร์จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินทางมาเพคะ และการเข้าใจผิดครั้งนี้ช่างหนักหนาเสียจริง ชางเอ๋อร์ทราบดีว่าชางเอ๋อร์มิควรไปที่ตำหนักเย็นเพียงเพราะอารมณ์ไม่ดีโดยไม่บอกกล่าวกระไร เพียงแต่ว่าโดยปกติแล้วตำหนักชิงซินนั้นมิค่อยมีใครมาเยือน ชางเอ๋อร์เองก็ไม่คาดคิดว่าไท่เฟยเหนียงเหนียงจะเสด็จมาที่ตำหนักชิงซินแต่เช้าด้วยความเป็นห่วงเพคะ เรื่องนี้ชางเอ๋อร์ประมาทเองเพคะ ไท่เฟยเหนียงเหนียงโปรดลงโทษหม่อมฉันเถอะเพคะ"
ระหว่างทางที่กลับมาหยุนชางก็สืบมาเรียบร้อยแล้วว่าวันนี้หมิงไท่เฟยได้ค้นที่วังใดบ้าง เมื่อได้ทราบว่านอกจากวังซีอู๋และตำหนักฉินเจิ้งของจักรพรรดิหนิง อีกทั้งตำหนักและวังต่างๆ ที่เอาไว้พบเหล่าขุนนางแล้ว ก็เหลือเพียงตำหนักเย็นที่ไม่ได้ค้น นางจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา เพียงแต่ว่าคำพูดเมื่อสักครู่นั้นหยุนชางกล่าวด้วยความจงใจ นางต้องการเตือนจักรพรรดิหนิงว่า นานมากแล้วหมิงไท่เฟยไม่เคยได้มาที่ตำหนักชิงซินเลย แต่ทันทีที่ตนไม่อยู่ในตำหนักชิงซิน หมิงไท่เฟยก็นำคนมาค้นที่ตำหนักอย่างโจ่งแจ้ง ท่านคงได้วางกลอุบายไว้ก่อนแล้วกระมั้ง
เป็นอย่างที่คิด เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินสิ่งที่ชางเอ๋อร์กล่าว พระองค์ก็ทรงไม่ปลาบปลื้มอยู่ในใจ พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าหากวันนี้หยุนชางพูดออกมาไม่ได้ว่าตนนั้นหายไปที่ใดมา เช่นนั้นหมิงไท่เฟยก็จะกล่าวหาหยุนชางในข้อหาที่เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของนาง เช่นออกนอกพระราชวังโดยลำพัง และมิได้กลับเข้ามาทั้งคืนให้กับนางอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าเรื่องในวันนี้หมิงไท่เฟยจงใจสร้างมันขึ้นมา พระองค์ได้ทราบข่าวรายงานจากคนของหมิงไท่เฟยทันทีที่เสร็จกิจยามเช้า กล่าวว่าหยุนชางหายตัวไป เช่นนั้นจึงได้รีบเดินทางมา แต่เมื่อสักครู่นี้ฟังจากที่นางสอบสวนคนของตำหนักชิงซินแล้ว พระองค์ก็ทรงคาดเดาไว้ในใจอยู่บ้าง และเมื่อได้ยินหยุนชางกล่าวเช่นนี้ เรื่อง
ที่พระองค์ทรงคาดเดาก็เป็นจริงทันที
ไม่ว่าวันนี้หยุนชางจะอยู่ในตำหนักเย็นจริงหรือไม่ แต่ทว่าหมิงไท่เฟยถือเป็นคนที่ควบคุมวังหลังนี้ กลับเอาเรื่องนี้มาหารืออย่างโจ่งแจ้ง อีกทั้งยังตามนางสนมทุกคนในวังหลังมาเพื่อฟังคำตัดสิน เห็นได้ชัดว่านางต้องการให้ชางเอ๋อร์เสื่อมเสียชื่อเสียง โดยปกติแล้วพระองค์ไม่ถามเรื่องในวังหลัง แต่มิได้หมายความว่าพระองค์นั้นมิทราบเรื่องเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ ที่อยู่ภายใน เป็นอย่างที่เห็น คนของตระกูลหลี่นั้นไม่มีใครที่มีจิตใจเมตตา
หมิงไท่เฟยยังคงไม่ยอม นางทราบเป็นอย่างดีว่าหยุนชางไปที่ใดมา ตนประมาทไปเองที่ลืมตรวจค้นตำหนักเย็น แต่มิได้หมายความว่านางจะยอมรับในคำแก้ตัวของหยุนชาง " เจ้าไม่พานางกำนัลไปเลยหรือ? หากว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาจะทำเช่นไรหรือ?"
หยุนชางเบิกตากว้างและมองไปที่หมิงไท่เฟย แววตาของนางมีความสงสัยเล็กน้อย "ไท่เฟยเหนียงเหนียงเพคะ นี่คือพระราชวังนะเพคะ องครักษ์ของพระราชวังนี้มีแต่ทหารยอดฝีมือทั้งนั้น ชางเอ๋อร์จะกังวลกระไรไปเพคะ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนลักพาตัวชางเอ๋อร์ไปอย่างไร้ร่องรอยกระมั้ง? หากเป็นเช่นนี้จริง ผู้บัญชาการทหารองครักษ์ก็คงต้องรับโทษด้วยการประหารชีวิตกระมั้ง ไท่เฟยเหนียงเหนียงไม่เชื่อชางเอ๋อร์ แต่ก็คงไม่ถึงขั้นที่ไม่เชื่อใจผู้บัญชาการทหารองครักษ์จริงหรือไม่เพคะ ชางเอ๋อร์จำได้ว่า ผู้บัญชาการทหารองครักษ์นั้นคือบุตรชายคนเล็กของมหาเสนาบดีหลี่มิใช่หรือเพคะ หากคิดดูแล้ว ชางเอ๋อร์ต้องเรียกท่านว่าน้าเพคะ"
แววตาแห่งความพิโรธปรากฏขึ้นที่ดวงตาของหมิงไท่เฟย นังหยุนชางนังตัวดี ได้!ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่ครั้งต่อไปข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน
"อีกทั้งในตำหนักเย็นนั้นก็มีนางกำนัลเช่นกัน แม้ว่าเสด็จแม่จะย้ายออกแล้ว แต่ก็ยังมีนางกำนัลที่คอยทำความสะอาดอยู่หนึ่งคน เมื่อวานนี้นางเป็นคนปรนนิบัติชางเอ๋อร์เพคะ หากว่าไท่เฟยเหนียงเหนียงมิเชื่อ ก็เสด็จไปถามประเดี๋ยวนี้เลยเพคะ ว่าเมื่อคืนนี้ชางเอ๋อร์อยู่ที่ตำหนักเย็นจริงหรือไม่หยุนชางก้มหน้าลง ราวกับว่าตนนั้นถูกรังแก
หมิงไท่เฟยบีบที่วางมือเก้าอี้อย่างแรง ภายในใจของนางแทบจะหมดสติไปเพราะความพิโรธ ผ่านไปอยู่นานนางจึงสงบลงได้ นางยิ้มอย่างเย็นขาอยู่ในใจ ในเมื่อกล้ากล่าวเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่านางเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว หากว่าตนยังคงตรวจสอบต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จักรพรรดิหนิงต้องรู้สึกไม่ปลาบปลื้มตนอย่างแน่นอน ฮองเฮาได้สูญเสียอำนาจไปแล้ว และตอนนี้ตนได้รับอำนาจนี้มา และแน่นอนว่าต้องรักษาตราประทับพระราชินีไว้ให้ดี ห้ามให้มันหลุดไปได้อีกเป็นอันขาด หากว่าตนก็ถูกพรากอำนาจไป ในพระราชวังแห่งนี้ก็ไม่มีใครสามารถดูแลตระกูลหลี่ได้อีกแล้ว
"ข้าเชื่ออยู่แล้วล่ะ ข้าก็แค่เป็นห่วงชางเอ๋อร์ก็เท่านั้นเอง คราวหน้าชางเอ๋อร์อย่าลืมพานางกำนัลไปด้วย มิเช่นนั้นก็ตรัสกับนางกำนัลในตำหนักไว้ เผื่อว่าจะทำให้ผู้อื่นเป็นห่วง"
หยุนชางตอบกลับอย่างเร่งรีบ "ชางเอ๋อร์ทราบแล้วเพคะ ชางเอ๋อร์สำนึกในความเป็นห่วงของไท่เฟยเหนียงเหนียงเพคะ หากว่าไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว ชางเอ๋อร์ขอน้อมลาเพคะ"
หมิงไท่เฟยพยักหน้าและหันไปมองจักรพรรดิหนิง ดูเหมือนว่าจักรพรรดิหนิงจะเหม่อลอยเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน นางจึงกล่าวว่า "ไปกันเถอะ"
หยุนชางพาทุกคนกลับไปที่ตำหนักชิงซิน จากนั้นจึงเก็บรอยยิ้มกลับไป และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง " เส้นสายในตำหนักนี้คงจะยังไม่จัดการหมดสิ้น เฉี่ยนอินเจ้าตรวจดูอีกรอบอย่างละเอียด ต้องไม่มีการตกหล่น ข้าได้ยินเฉี่ยนหย่ากล่าวว่า เช้านี้คนที่หมิงไท่เฟยนำมานั้นมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม เขาเป็นใครหรือ?"
เฉี่ยนอินกล่าวอย่างรวดเร็ว "เป็นขันทีฝ่ายในที่ไม่คุ้นเคยเจ้าค่ะ หม่อมฉันมองแล้วเขาคงจะมีอายุสี่สิบกว่าเจ้าค่ะ หม่อมฉันไม่กล้ามองใกล้ๆ แต่หม่อมฉันเห็นว่าชายคนนั้นสวมมีเชือกสีม่วงอยู่ที่ข้อมือเจ้าค่ะ"
ขันทีฝ่ายใน? หยุนชางหรี่ตาลง นางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับบุคคลดังกล่าวในพระราชวังมาก่อน เฉี่ยนอินเองก็เข้าออกตำหนักฉางชุนพร้อมตนอยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าไม่เคยพบชายคนนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นมา แต่กลับไม่เป็นที่สังเกต แสดงว่าก็เป็นคนที่มีความสามารถเลยทีเดียว ข้าเกรงว่า เขาจะไม่ใช่ขันทีฝ่ายใน……….
เมื่อสักครู่นั้นหยุนชางสังเกตเห็นว่า ไม่พบขันทีที่เฉี่ยนอินกล่าวถึงอยู่ในตำหนักฉางชุน นางจึงยิ้มอย่างเย็นชา " หากว่าจับชายคนนั้นได้ ก็สามารถแว้งกัดหมิงไท่เฟยได้อย่างหนักเลยทีเดียว แต่ข้าคิดว่ามันคงไม่ง่ายเช่นนั้น"
"ปล่อยมันไปเถอะ ให้เรื่องนี้จบอยู่แค่นี้ก็พอ ข้าจะสั่งให้คนไปตรวจสอบตัวตนของชายผู้นั้น ต่อไปพวกเจ้าต้องระวัง อย่าให้คนในพระราชวังพบว่าพวกเจ้ามีศิลปะการต่อสู้" หยุนชางกล่าวเบาๆ
เฉี่ยนอินตอบรับ วันนี้นางเกือบจะทำให้หยุนชางโดนใส่ร้าย สีหน้าของนางจึงเศร้าโศกเล็กน้อย
เมื่อเห็นหยุนชางเห็นเช่นนี้ หยุนชางก็ยิ้มและกล่าวว่า "ข้าให้โอกาสเจ้าได้ทำงานไถ่โทษ อีกประเดี๋ยว เจ้าก็หาโอกาสและไปบอกกับฮองเฮาว่า ความจริงแล้วเมื่อวานนี้ข้าไปพบจิ้งอ๋อง และอาศัยที่จวนจิ้งอ๋องไปหนึ่งคืน เจ้าบอกไปว่าจิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บ และจิ้งอ๋องสงสัยว่าเป็นฝีมือของชางเจียชิงซู และองค์หญิงหยุนชางกำลังคิดจะล้างแค้นแทนจิ้งอ๋อง"
"อะไรนะเจ้าคะ?" เฉี่ยนอินประหลาดใจ "องค์หญิงเจ้าคะ นี่มัน…" นางขมวดคิ้ว และมองไปที่หยุนชางด้วยความสงสัย "อย่าบอกนะว่าองค์หญิงกำลังทดสอบเฉี่ยนอินอยู่? องค์หญิงวางใจได้เพคะ แม้ว่าผลประโยชน์ที่ฮองเฮาเสนอมานั้นน่าดึงดูดอย่างมาก แต่เฉี่ยนอินจะไม่ทำเรื่องที่หักหลังนายเพื่อผลประโยชน์อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ"
หยุนชางตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ "ข้าสั่งให้เจ้าไปเจ้าก็ไป ข้ามีแผนของข้า"
เฉี่ยนอินตอบตกลง "เจ้าค่ะ หม่อมฉันทราบเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าฮองเฮามิได้ส่งข่าวให้หม่อมฉันมานานแล้ว หม่อมฉันเกรงว่าท่านคงสงสัยหม่อมฉันกระมั้งเจ้าค่ะ"
หยุนชางอมยิ้มเล็กน้อย "ด้วยเหตุนี้แหละ เจ้าจึงควรนำข่าวนี้ไปแจ้งอย่างมาก แม้ว่าฮองเฮาอาจทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เมื่อเจ้าไปทูลแล้วก็ดีกว่าไม่ไป อีกอย่างเจ้าต้องคิดหาวิธีทูลกับนางว่า ดูเหมือนข้าจะสงสัยในตัวเจ้า แต่ระวังอย่ากล่าวอย่างโจ่งแจ้งเกินไป"
ดวงตาของเฉี่ยนอินหมุนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยิ้มและกล่าวว่า " หม่อมฉันรับทราบเจ้าค่ะ" จากนั้นนางก็ถอยออกไปพร้อมรอยยิ้ม กลับด้วยรอยยิ้ม
ฉินยีก็เดินเข้ามา มองดูหยุนชางด้วยความเป็นห่วงและกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า "ช่วงนี้ที่พระราชวังไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ องค์หญิงควรระวังให้มากนะเจ้าคะ"
หยุนชางพยักหน้า " ข้าทำให้เจ้ากังวลมากเกินไป เรื่องนี้เจ้าอย่ากล่าวต่อเสด็จแม่นะ ตอนนี้เสด็จแม่รับเรื่องเหล่านี้มิได้"
ฉินยีครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับไปว่า "หม่อมฉันดูแล้ว เหมือนว่าเฉี่ยนอินเปลี่ยนคนในตำหนักเราไปทั้งหมดอย่างเงียบๆ แล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่คาดคิดว่ายังมีเส้นสายอยู่ ในพระราชวังนี้ช่างอันตรายเหลือเกินเจ้าค่ะ จิ้งอ๋องเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? อาการของท่านสาหัสหรือไม่เจ้าคะ?"
เมื่อนึกถึงผ้าพันแผลที่หนาๆ ที่ท้องของจิ้งอ๋องแล้ว หยุนชางก็ถอนหายใจและกล่าวว่า "ตอนที่ข้าออกมาท่านฟื้นตัวแล้ว เพียงแต่ว่าท่านบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าคงต้องพักอีกยาวเลยล่ะ"
สีหน้าของฉินยีกังวลเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ จึงพยักหน้าอย่างลำบากใจ "ไม่เป็นกระไรก็ย่อมดีแล้วเจ้าค่ะ ทั้งจิ้งอ๋องและองค์หญิงเกิดเรื่องในเวลาเดียวกัน นี่เป็นเหมือนแผนการต่อเนื่อง อีกทั้งดูจากฝีมือวิธีการแล้ว ไม่เหมือนวิธีการของเหล่านางสนมในวังเจ้าค่ะ" ฉินยีมองไปที่หยุนชาง ผ่านไปสักครู่หนึ่งจึงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "องค์หญิงเจ้าคะ ถึงแม้ว่าหม่อมฉันจะไม่ทราบว่าองค์หญิงได้สร้างกองกำลังไว้เท่าไหร่ และมียอดฝีมืออยู่ในกำมือกี่คน แต่ว่า หากว่านำมารับมือกับเหล่าสตรีที่อยู่ในพระราชวังนี้ หม่อมฉันไม่เป็นห่วงเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่า หากมีกองกำลังอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้ว่าองค์หญิงจะทรงฉลาดเพียงใด แต่สุดท้ายองค์หญิงก็เป็นเพียงหญิงสาวที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะนะเจ้าคะ หม่อมฉันเกรงว่า….."
แน่นอนว่าหยุนชางรู้ถึงความกังวลของนาง แต่หยุนชางก็ทราบดีว่า ตนอยากแก้แค้น และหากอยากจัดการทั้งฮองเฮาและหัวจิ้ง ก็ตนก็ต้องต่อสู้กับคนของตระกูลหลี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลี่อี้หรานคือคนที่ตระกูลหลี่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้นางได้ครองตำแหน่งราชินี หากว่าไม่จำเป็นจริงๆ พวกเขาจะไม่ทิ้งหมากตัวนี้อย่างแน่นอน
"ข้าทราบดีว่าควรทำเช่นไร ข้าจะรับปากกับเจ้า ต่อไปนี้ข้าจะไม่ประมาทแล้วปล่อยให้คนอื่นได้โอกาสอีกแล้ว" เรื่องนี้ก็เป็นความประมาทของนางเช่นกัน และแน่นอนว่าตนจะไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด
"องค์หญิงเจ้าคะ องค์หญิงเจ้าคะ…" เสียงที่กังวลของเฉี่ยนอินดังมาจากด้านนอก หยุนชางขมวดคิ้ว หันหน้าไปมองเฉี่ยนอินที่เปิดผ้าม่านและเดินเข้ามา "เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
เฉี่ยนอินเดินมาอยู่หน้าหยุนชาง และกล่าวด้วยเสียงเบาๆ ว่า "องค์หญิงเจ้าคะ พระราชินีทรงสลบไปแล้วเจ้าค่ะ…….."