ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 167 วางกลยุทธ์ (๓)
"แคว้นเซี่ย ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้นหนิง ค่อนข้างมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรือง ประชาชนของแคว้นเซี่ยนั้นต่างจากประชาชนนักรบผู้กล้าหาญของแคว้นเย้หลาง ประชาชนส่วนมากของแคว้นเซี่ยนั้นค่อนข้างมีความชอบด้านความรู้ ด้วยความที่ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์แคว้นเซี่ยเหนือกว่าที่อื่นๆ แคว้นเซี่ยหันเข้าหาทะเลทั้งสามด้าน อีกด้านหนึ่งนั้นมีภูเขาสูงตระหง่าน ดังนั้นในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาจึงสงบสุขอย่างมาก อ๋องเจ็ดเป็นบุตรชายคนที่เจ็ดของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของแคว้นเซี่ย และเป็นผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดในบรรดาราชโอรสของจักรพรรดิแคว้นเซี่ย ทรงได้ครองตำแหน่งเป็นท่านอ๋องตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดปี แต่ได้เกิดล้มป่วยครั้งใหญ่เมื่อตอนอายุสิบสองปี จากนั้นเป็นต้นมา พระวรกายของท่านก็ไม่ค่อยแข็งแรงนัก จักรพรรดิแคว้นเซี่ยจึงค่อยๆ ละเลยเขา จึงแต่งตั้งองค์ชายเก้าของฮองเฮาเป็นองค์รัชทายาทเมื่อปีก่อน"
เฉี่ยนอินถือแผ่นกระดาษหนังแกะอยู่ตรงหน้าหยุนชาง และอ่านด้วยเสียงเบาๆ หลังจากอ่านจบจึงเก็บกระดาษหนังแพะไป และกล่าวเบาๆ ว่า "พระวรกายของท่านอ๋องเจ็ดทรงไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน และมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับท่านน้อยมาก ข่าวสารที่เราสามารถหาได้นั้นก็เป็นเพียงข่าวที่ทุกคนทราบกันดี ส่วนข่าวสารอื่นๆ หม่อมฉันเกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกนาน"
หยุนชางพยักหน้าและรับกระดาษหนังแพะมา " ดีมากแล้ว สืบต่อไป"
เฉี่ยนอินพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยความสงสัย "องค์หญิงเจ้าคะ สองสามวันนี้หม่อมฉันได้พบอ๋องเจ็บอยู่หลายครั้ง ท่านดูเหมือนคนที่เจ็บไข้มานาน แค่พูดคุยยังเหนื่อยเช่นนั้น คนเช่นนี้……….."
"ว่าอย่างไรนะ? เจ้าคิดว่าคนเช่นนี้ไม่มีภัยคุกคามใด ๆ ใช่หรือไม่?" หยุนชางเลิกคิ้วขึ้น นางเป็นสาวใช้ของตน และแน่นอนว่าหยุนชางทราบดีว่าเฉี่ยนอินกำลังคิดเรื่องอะไร "เมื่อตอนที่ข้ากลับมาที่พระราชวังใหม่ๆ ฮองเฮาและหัวจิ้งก็คงมองข้าเช่นนี้เหมือนกันกระมั้ง ข้าอยู่ในสถานที่เช่นวิหารแคว้นหนิงมาเจ็ดแปดปี และไม่ช่ำชองกลต่างๆ ที่อยู่ในวังหลัง อีกทั้งร่างกายก็ยังอ่อนแอ เพียงแค่พูดก็ไอเป็นเวลานาน พวกนางดูหมิ่นข้า จึงทำให้ข้าได้มีโอกาสโจมตี เจ้าต้องเข้าใจว่าในราชวงศ์นั้น ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของผู้คนนั้น ย่อมเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดเสมอ และผู้ที่รู้จักถ่อมตนและเก็บตัวนั้น จึงถือเป็นผู้ที่ฉลาดมากที่สุด"
เฉี่ยนอินได้ยินเช่นนี้ ก็เข้าใจขึ้นมาก และรีบตอบรับ "หม่อมฉันประมาทไปเจ้าค่ะ"
หยุนชางพยักหน้าและเห็นฉินยีเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแปลก ๆ และยื่นกระดาษใบหนึ่งให้หยุนชาง กล่าวว่า " องค์หญิงเจ้าคะ นี่คือการ์ดเชิญจากชางเจียชิงซูส่งมอบถึงองค์หญิงเจ้าค่ะ ท่านกล่าวว่าท่านมาที่แคว้นหนิงเป็นครั้งแรก จึงอยากเชิญองค์หญิงเป็นมัคคุเทศก์เพื่อที่จะได้เสด็จประพาสชมนครหลวงแคว้นหนิงด้วยกันเจ้าค่ะ"
หยุนชางยิ้มมุมปาก ชางเจียชิงซูกำลังคิดจะทำการอันใด? ประพาสชมนครหลวงด้วยกัน? เป็นมัคคุเทศก์?
ฉินยีกลับกังวลเล็กน้อย "ตอนนี้องค์หญิงมีสัญญาการสมรสแล้ว ตามหลักการแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามไปตามคำเชิญเด็ดขาด แต่ชางเจียชิงซูถือเป็นแขกของเรา แล้วเราจะตอบรับอย่างไรดีเจ้าคะ?"
หยุนชางครุ่นคิดครู่หนึ่งและประกายแห่งความชั่วร้ายก็ฉายแววในดวงตาของนาง "ส่งการ์ดเชิญนี้ไปที่จวนจิ้งอ๋อง กล่าวไปว่าชางเจียชิงซูได้เชิญข้าเป็นมัคคุเทศก์เพื่อประพาสชมนครหลวงด้วยกัน แต่ทว่าหญิงชายไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ ข้าไม่สะดวกนัก ในเมื่อจิ้งอ๋องเป็นพระคู่หมั้นของข้า ก็ต้องให้ท่านเป็นคนรับหน้าที่แทน"
ฉินยีได้ยินเช่นนี้ ก็อมยิ้มขึ้นมา นางพยักหน้าและกล่าวว่า " หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ"
หยุนชางหันไปหาเฉี่ยนอินอีกครั้ง " สองสามวันนี้ ทางองค์หญิงหัวจิ้งและฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้างหรือ?"
เฉี่ยนอินยิ้มและกล่าวว่า "องค์หญิงเจ้าคะ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ องค์หญิงหัวจิ้งได้รักษาตัวอยู่ในตำหนักองค์หญิงเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าสองสามวันนี้ที่ตำหนักองค์หญิงนั้นครึกครื้นเป็นอย่างมาก ทุกคืนจะมีคนอย่างน้อยสองกลุ่มไปที่ตำหนักองค์หญิงเพื่อดูสถานการณ์ มีทั้งคนของฮองเฮา คนของจวนมหาเสนาบดี คนของชางเจียชิงซู และแน่นอนมีคนของเราด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ แม้กระทั่งทางอ๋องเจ็ดของแคว้นเซี่ยก็ดูเหมือนจะส่งคนไปเช่นกันเจ้าค่ะ"
"อย่างนั้นหรือ?" หยุนชางเลิกคิ้ว "อย่าปล่อยให้นางเสียชีวิตก็เพียงพอแล้ว เก็บนางไว้ยังคงมีประโยชน์"
เฉี่ยนอินพยักหน้าและได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอกว่า "องค์หญิงเจ้าคะ คุณหญิงหวังของเจ้ากรมกลาโหมของเข้าพบเจ้าค่ะ"
"หวังจินเหยียน?" หยุนชางยืนขึ้น ตนโปรดหญิงสาวที่ร่าเริงผู้นั้นอยู่เล็กน้อย หยุนชางเดินออกจากตำหนักในไปพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็พบหวังจินเหยียนยืนอยู่ที่ประตู และเมื่อเห็นหยุนชาง นางก็ยิ้มและเดินเข้ามาอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะของนางเต็มไปด้วยความสุข "องค์หญิงทำกระไรอยู่หรือเจ้าคะ เหยียนเอ๋อร์มิได้รบกวนองค์หญิงใช่หรือไม่?"
หยุนชางเงยหน้าและจ้องไปที่หวังจินเหยียนพร้อมยิ้ม " เจ้ารบกวนไปแล้ว ดังนั้นเจ้าบอกข้ามาว่าจะลงโทษเจ้าอย่างไรดี"
เมื่อเห็นหวังจินเหยียนได้ยินหยุนชางพูดเช่นนี้ นางก็มิได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด กลับกล่าวด้วยสายตาที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย "องค์หญิงอย่าได้โกรธเคืองเหยียนเอ๋อร์เลยเพคะ ตอนนี้เหยียนเอ๋อร์เป็นทหารภายใต้การปกครองของจิ้งอ๋อง หากว่าองค์หญิงบอกกล่าวกับจิ้งอ๋อง และจิ้งอ๋องทรงห้ามไม่ให้เหยียนเอ๋อร์เข้าสนามรบ หากเป็นเช่นนั้นเหยีนเอ๋อร์คงจะร้องไห้เสียใจอย่างมากเพคะ"
เมื่อหยุนชางได้ยินเช่นนี้ นางจึงยกมือขึ้นและแสร้งทำเป็นว่าจะตีหวังจินเหยียน " ยังจะกล้าที่จะล้อเลียนข้าหรือ"
ทั้งสองหัวเราะเสียงดัง หลังจากนั้น หยุนชางจึงกล่าวว่า "เหตุใดเจ้าถึงเข้าวังมา?"
หวังจินเหยียนยิ้มและกล่าวว่า "ท่านพ่อของข้าเข้าวังมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท เหยียนเอ๋อร์รู้สึกสนิทใจทันทีที่พบเจอองค์หญิง แต่ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะลืมเหยียนเอ๋อร์ไปแล้ว และไม่ยอมออกวังเลยเพคะ ฉะนั้นเหยียนเอ๋อร์จึงต้องนำเอาป้ายหยกที่องค์หญิงฝากคนนำมาให้อย่างลับๆ นั้นเข้าวังเพื่อมาพบองค์หญิงยังไงล่ะเพคะ"
หยุนชางส่ายหน้า "ข้าไม่กล้าออกไปพบเจ้าที่นอกวังหรอก เจ้าเห็นหรือไม่ นี่ยังอยู่ในวังเจ้าก็ล้อเล่นกับข้าเช่นนี้ หากว่าข้าออกจากวังไป ก็ไม่ทราบว่าเจ้าจะรังแกข้าอย่างไร"
"องค์หญิงทรงใส่ร้ายหนักเกินไปนะเพคะ เหยียนเอ๋อร์มิกล้าหรอก เห้อเมื่อไหร่ข้าจึงจะได้ไปรบเสียที ข้าอยู่ในนครหลวงนี้ช่างไร้ความหมายเสียจริงหวังจินเหยียนถอนหายใจ สีหน้าเศร้าโศกเล็กน้อย
หยุนชางหัวเราะออกมา " วันๆ เอาแค่คิดเรื่องการรบ ไม่มีใครเป็นเช่นเจ้าหรอก"
หวังจินเหยียนยิ้ม และเอนตัวแนบที่ข้างหูหยุนชางพร้อมกล่าว "อันที่จริงจิ้งอ๋องต่างหากที่ให้เหยียนเอ๋อร์เข้ามาในพระราชวัง องค์หญิงอยู่ในวังหลัง ท่านอ๋องทรงเป็นขุนนางชั้นนอก และไม่มีโอกาสได้เข้ามาในวังบ่อยๆ ก่อนหน้านี้เหยียนเอ๋อร์ไปซื้อเครื่องประดับพร้อมท่านพี่ ระหว่างทางนั้นก็พบจิ้งอ๋อง ดูเหมือนว่าท่านกำลังจะออกเมือง จิ้งอ๋องขอให้เหยียนเอ๋อร์เข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงบ่อยๆ และฝากเหยียนเอ๋อร์บอกกับองค์หญิงว่า ท่านมีเรื่องจึงต้องออกจากนครหลวงเป็นเวลาสามถึงห้าวัน และให้องค์หญิงนั้นเฝ้าระวังดูแลตัวเอง และขอให้องค์หญิงทรงคิดถึงท่านเยอะๆ"
หยุนชางอึ้งเล็กน้อย "ประโยคสุดท้ายนี้เจ้าเพิ่มเข้ามาเองหน่ะสิ วันนั้นข้าเห็นท่าทีที่กล้าหาญสง่าเช่นนั้นของเจ้าแล้ว จึงรู้สึกว่าเจ้าต้องเป็นหญิงสาวที่แตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน และจึงคิดที่จะเป็นมิตรกับเจ้า แต่ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะชอบพูดคุยเรื่องผู้อื่นเช่นนี้ เห้อข้ามองคนผิดไป….." หยุนชางแสร้งทำเป็นถอนหายใจอย่างไม่มีความสุข แต่นางคิดในใจว่า ตอนนี้ท่านทูตของแคว้นเย้หลางและแคว้นเซี่ยอยู่ที่พระราชวังนี้ แล้วเหตุใดจิ้งอ๋องจึงต้องออกเมือง? ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตนเพิ่งสั่งให้ฉินยีนำการ์ดเชิญที่ชางเจียชิงซูเชิญนางไปประพาสนครหลวงนั้นไปส่งที่จวนจิ้งอ๋อง จากนั้นนางก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง
"ยังบอกอีกหรือว่าไม่คิดถึง คิ้วของเจ้าขมวดจนสามารถหนีบแมลงวันให้ตายได้แล้ว……….." เมื่อเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของหยุนชาง หวังจินเหยียนก็หัวเราะขึ้นมา
หยุนชางเหลือบมองนาง แล้วจึงนำเรื่องที่ชางเจียชิงซูส่งการ์ดเชิญบอกกล่าวให้นางได้รับรู้ หวังจินเหยียนได้ยินเช่นนี้ก็ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย "ชางเจียชิงซูดูมิใช่คนดีเท่าไหร่ ทั้งตัวเขาเผยกลิ่นอายของความเยือกเย็นออกมา ข้าเกรงว่าเขาจะมีจุดประสงค์ที่ไม่ดี ข้าได้ยินจากพี่ชายของข้าว่าเขามาเพื่อนองค์หญิงหัวจิ้งมิใช่หรือ? หรือว่าเพราะองค์หญิงหัวจิ้งเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น เขาจึงรังเกียจ? ไม่ว่าอย่างไร องค์หญิงไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด เช่นนี้ดีหรือไม่ข้ากลับไปบอกกล่าวให้พี่ชายได้ทราบ แล้วให้ท่านจัดการแทนองค์หญิง?"
หวังจินฮวนหรือ? หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ หวังจินฮวนสนิทกับจิ้งอ๋อง หากบอกว่าจิ้งอ๋องให้เขาไป ทุกคนก็คงจะเชื่อ "หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องรบกวนคุณชายหวังแล้วล่ะ เพียงแต่ว่า ให้พี่ชายของเจ้าไปในนามของจิ้งอ๋องเสียดีกว่า และบอกกับพี่ชายของเจ้าด้วย หากว่าจัดการเรื่องนี้ได้ดี ข้าจะช่วยนัดแม่หญิงเฉียนเฉี่ยนไปทานอาหารกับเขาดีหรือไม่?"
"แม่หญิงเฉียนเฉี่ยน? แม่หญิงที่งดงามอย่างมากที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสองปีที่ผ่านมานี้หรือ องค์หญิงรู้จักนางด้วยหรือ? เหยียนเอ๋อร์เองก็อยากที่จะรู้จักนางเช่นกัน เหยียนเอ๋อร์ได้ยินคนมากมายกล่าวว่า สตรีผู้นี้งดงามราวกับเทพธิดา………" หวังจินเหยียนตาเป็นประกายในทันที
หยุนชางยิ้มและตบไปที่มือของนาง "เจ้าเป็นเช่นนี้ หากว่าไม่ทราบว่าเจ้าเป็นแม่หญิง ข้าคงคิดว่าเจ้าโปรดปรานแม่หญิงเฉียนเฉี่ยนแล้วล่ะ"
ทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหวังจินเหยียนจึงออกวังไปพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ฉินยียืนอยู่ๆ ข้างหยุนชางและมองไปที่ประตูตำหนัก นางยิ้มแล้วกล่าวว่า "แม่หญิงหวังท่านนี้ช่างเป็นคนที่ตรงไปตรงมาเสียจริงนะเจ้าคะ หากว่าองค์หญิงเป็นมิตรกับนางก็ดีเช่นกันเจ้าค่ะ อีกอย่าง เจ้ากรมกลาโหมนั้นได้รับผิดชอบการเคลื่อนไหวของกองทหารสักส่วนใหญ่ของแคว้นหนิงและดูแลเรื่องการแต่งตั้งเหล่าขุนนาง ก็มีผลประโยชน์ต่อองค์หญิงเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ"
หยุนชางยิ้มและพยักหน้า "ฉินยีคิดไม่ต่างจากข้าเท่าไหร่ เจ้ากรมกลาโหมนั้นเป็นคนที่รักครอบครัวอย่างมาก ท่านมีภรรยาเพียงหนึ่งท่านและไม่เคยมีสนม อีกทั้งยังรักและเคารพภรรยาเป็นอย่างมาก รักและดูแลลูกทั้งสองเช่นกัน คนเช่นนี้ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก"