ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 166 วางกลยุทธ์ (๒)
ทั้งบ่ายของวันนี้ หยุนชางเล่นหมากรุกกับจิ้งอ๋องอยู่ในห้อง เซียวหย่วนซานเป็นคนสอนทักษะหมากรุกให้กับหยุนชางด้วยตัวเอง และนางได้รับคำชื่นชมจากเซียวหย่วนซานมาหลายครั้ง แต่ว่าทั้งบ่ายที่ผ่านมานี้ นางกลับไม่เคยชนะจิ้งอ๋องเลยแม้แต่ครั้งเดียว
"องค์หญิงเจ้าคะ หมอหลวงได้รายงานต่อฝ่าบาทแล้วเจ้าค่ะ โดยกล่าวว่าองค์หญิงหัวจิ้งนั้นไม่เป็นอันใด เพียงแต่ว่าด้วยเหตุที่ท่านแท้งบุตร พระวรกายจึงไม่ค่อยแข็งแรงเจ้าค่ะ" เฉี่ยนอินเดินเข้ามาและรายงานอย่างนุ่มนวล
หยุนชางพยักหน้าและวางหมากลงไปอย่างไม่มีสมาธิ จากนั้นก็ได้ยินเสียงของจิ้งอ๋องดังขึ้น " ชางเอ๋อร์แน่ใจหรือว่าจะวางหมากที่นี่ หากเจ้าวางหมากไว้จุดนี้ เช่นนั้นรอบนี้เจ้าก็คงจะแพ้แล้ว"
หยุนชางตกตะลึงและมองไปที่กระดานหมากรุก กลับไม่ทราบว่าตนถูกจิ้งอ๋องโจมตีจากทางด้านหลังตั้งแต่เมื่อใดกัน และตนก็แพ้แล้ว หยุนชางถอนหายใจ ท่านตาเคยกล่าวเสมอว่า ดูจากหมากรุกเราก็จะทราบตัวตนของคนคนนี้ ตนชอบวิธีการเล่นที่ระมัดระวังเล็กน้อย เดินแต่ละขั้นตอนไปอย่างระมัดระวัง และห่วงหน้าพะวงหลัง แต่หมากรุกของจิ้งอ๋องนั้นดูไม่มีกลใดๆ และทุกครั้งที่เริ่มเล่น ตนมักจะไม่มั่นใจเสมอว่าท่านต้องการอะไร และเมื่อถึงตอนท้ายจึงพบว่าทุกฝีก้าวของตนนั้นถูกท่านคำนวณไว้แล้ว
"เสด็จอามองการณ์ไกล และชางเอ๋อร์รู้สึกละอายใจและเทียบไม่ถึงเพคะ" หยุนชางถอนหายใจและวางหมากในมือลง
จิ้งอ๋องอมยิ้มเล็กน้อย "สุดท้ายจะว่าอย่างไร ชางเอ๋อร์ก็เป็นสตรี และยังขาดประสบการณ์ เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะแพ้ให้กับข้า หากเมื่อเวลาผ่านไป มันก็คงยากที่ข้าจะเอาชนะเจ้าได้"
หยุนชางรู้ดีว่าตนมีความสามารถเท่าใด แต่เมื่อเห็นว่าเขาปลอบโยนตัวเอง จึงไม่เหมาะสมหากไม่รับคำชมนั้นไว้ ดังนั้นนางจึงยิ้มและกล่าวว่า "เสด็จอาชื่นชมชางเอ๋อร์มากเกินไปเพคะ"
จิ้งอ๋องยิ้มและส่ายหน้า เขาดูออกโดยธรรมชาติว่าหยุนชางนั้นมีเรื่องบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ นางดูเหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่สะดวกหากว่าตนจะถามไถ่ จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า "ตอนนี้เสด็จพี่คงผิดหวังต่อฮองเฮาและหัวจิ้งอย่างมาก แต่เพียงเพราะว่าท่านทูตของแคว้นเย้หลางและแคว้นเซี่ยยังอยู่ จึงไม่ควรที่จะเสียชื่อเสียงไปมากกว่านี้ ดังนั้นจึงต้องรอจัดการทีหลัง เจ้าไม่ต้องห่วง หากพวกนางคิดอยากจะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง คงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน คืนนี้ยังมีงานเฉลิมฉลองกองไฟ และได้เวลาที่เราต้องออกเดินทางแล้ว"
หยุนชางพยักหน้า "ข้าสงสัยว่าท่านจับคนที่วางยาท่าหยุนได้หรือยังเพคะ?"
จิ้งอ๋องหยุดชะงัก แล้วหันมามองหยุนชางพร้อมมีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏที่มุมปากของเขา " ชางเอ๋อร์มิได้เป็นคนทำหรือ?"
หยุนชางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่ก็เป็นฝีมือของตนจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ทราบว่าจิ้งอ๋องทราบได้อย่างไร
จิ้งอ๋องยิ้มและกล่าวว่า "ก่อนหน้านี้ข้าได้ตรวจดูถั่วดำพวกนั้นแล้ว และวิธีการวางยานั้นก็ไม่ได้ชาญฉลาดมากนัก อาจเป็นเพราะชางยางอวี้เอ๋อร์และจิ่งเหวินซีคิดว่าแค่วางยากับสัตว์ อีกทั้งเวลาก็มีไม่มากพอ จึงมิได้เตรียมการให้ดี ท่าหยุนไม่กินของแบบนั้นอย่างแน่นอน อีกทั้งก่อนหน้านี้ท่าหยุนบอกกับข้าว่าเจ้าเป็นคนป้อนให้มันกินลงไป"
ว่าอย่างไรนะ? หยุนชางตกตะลึง ม้าพูดได้หรือ? เงียบไปครู่หนึ่ง แต่นางก็เข้าใจขึ้นเล็กน้อย ท่าหยุนติดตามจิ้งอ๋องมานาน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จิ้งอ๋องและท่าหยุนจะรู้ใจกัน โชคดีที่ตนนั้นไม่ได้คิดอยากปิดบังจิ้งอ๋อง จากนั้นจึงกล่าวพร้อมอมยิ้ม " หม่อมฉันเกลียดชังกับการที่มีคนคอยคิดว่าวางกลอุบายต่อหม่อมฉัน และเมื่อมีศัตรูมากเกินไป หม่อมฉันก็ต้องคอยระแวงเสมอว่าตนจะเสียชีวิตไปโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ อีกอย่าง นี่คือปัญหาที่เสด็จอาสร้างให้หม่อมฉัน เสด็จอาควรจัดการให้ดีด้วยตัวเองมิใช่หรือ?"
จิ้งอ๋องพยักหน้า " สิ่งที่ชางเอ๋อร์กล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว ข้าจะจัดการสองคนนั้น จิ่งเหวินซีนั้นหาคนมาเป็นคู่ให้กับนางก็พอ ส่วนชางยางอวี้เอ๋อร์ยังมีประโยชน์อื่น ๆต่อข้า เมื่อถึงเวลานั้นแล้วชางเอ๋อร์ก็คอยดูแล้วกัน"
"หืม?" หยุนชางตอบด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้ว่าตนจะไม่รู้ว่าจิ้งอ๋องคิดจะทำอะไร แต่เมื่อฟังดูแล้วรู้สึกน่าตื่นเต้น
เมื่อหยุนชางและจิ้งอ๋องมาถึงงานกองไฟด้วยกัน งานเฉลิมฉลองกองไฟก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว หยุนชางและจิ้งอ๋องหาที่นั่ง แล้วดูการแสดงร้องเพลงและเต้นรำในสนาม นางกำนัลก็นำเนื้อแกะย่างมาให้ทั้งสอง หยุนชางเลิกคิ้วขึ้น กลิ่นนี้ช่างหอมน่าเสวยอย่างมาก
จิ้งอ๋องยิ้มและรับจานของหยุนชางไป จนทำให้หยุนชางจ้องมองจิ้งอ๋องอยู่นาน จิ้งอ๋องใช้มีดสั้นตัดเนื้อแกะออกเป็นชิ้นๆพร้อมยิ้ม จากนั้นก็ยื่นให้หยุนชาง หยุนชางเลิกคิ้วยิ้มและขอบคุณจิ้งอ๋อง จากนั้นก็เสวยขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจใคร
แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดสลัว และงานร้องเพลงและเต้นรำนั้นครึกครื้นอย่างมาก แต่ก็มีใครบางคนพบเห็นการเคลื่อนไหวนี้ แววตาของชางยางอวี้เอ๋อร์นั้นโกรธเคืองเล็กน้อย เมื่อชางเจียชิงซูเห็นเช่นนี้ จึงกล่าวอะไรบางอย่างต่อชางยางอวี่เอ๋อร์ จากนั้นชางยางอวี้เอ๋อร์จึงได้ละสายตากลับไป
หยุนชางอมยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้สนใจ
ค่ำคืนนี้เงียบสงัด เสียงร้องเพลงและบรรยากาศนั้นครึกครื้นอย่างมาก ดวงตาของหยุนชางขยับไปมาจากนั้นจึงตามเฉี่ยนอินมาเพื่อสั่งการบางอย่าง จากนั้นเฉี่ยนอินก็ถอยกลับไป ผ่านไปครู่หนึ่ง ชางเจียชิงซูก็ออกไปจากงานอย่างเงียบๆ หลังจากที่ชางเจียชิงซูออกไปได้ไม่นาน มหาเสนาบดีหลี่ที่กำลังดื่มร่วมกับคนอื่นๆ ก็ยิ้มและกล่าวไปว่าตนดื่มมากเกินไปแล้ว ขอตัวไปห้องสุขาและจากไป
หยุนชางหรี่ตามอง จากนั้นก็ยืนขึ้น เดินไปหาจักรพรรดิหนิงและกล่าวว่า "เสด็จพ่อเพคะ เมื่อสักครู่นี้มีคนมารายงานว่าพระวรกายของเสด็จพี่ไม่ค่อยดีนัก เสด็จพ่อเพคะ เราไปเยี่ยมเสด็จพี่กันหน่อยดีหรือไม่เพคะ?"
หลังจากเรื่องที่เกิดในวันนี้แล้ว แม้ว่าจักรพรรดิหนิงจะทรงพิโรธหัวจิ้งอย่างมาก แต่ทว่า หากเก็บนางไว้ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง เมื่อได้ยินหยุนชางกล่าวเช่นนี้ แม้ว่าพระองค์จะขมวดคิ้วแต่ก็ยืนขึ้น "หากเป็นเช่นนั้นก็ลองไปดูกันเถอะ"
หยุนชางพยุงจักรพรรดิหนิงออกจากจุดจัดเลี้ยงของงานเลี้ยงกองไฟไป และเดินผ่านสวนดอกไม้ จากนั้นเดินเข้าไปในป่าไม้ไผ่ของตำหนักนอก และเหมือนว่าพวกเขาได้ยินเสียงบางอย่างดังมาอย่างคลุมเครือ หยุนชางขมวดคิ้วและหยุดลงอย่างลังเล หลังจากฟังอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวต่อจักรพรรดิหนิงที่ข้างหูของพระองค์ว่า "เสด็จพ่อเพคะ เสียงนี้ดูคล้ายเสียงของมหาเสนาบดีนะเพคะ"
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ นางก็กล่าวขึ้นมาด้วยความลังเลว่า "เสียงอีกเสียงหนึ่งดูเหมือนจะเป็นเสียงขององค์ชายสามของแคว้นเย้หลางนะเพคะ"
หยุนชางเห็นว่ามีไฟแห่งความพิโรธปรากฏขึ้นในดวงตาของจักรพรรดิหนิง หยุนชางจึงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า "เสด็จพ่อเพคะ เราต้องไปทักทายท่านมหาเสนาบดีและองค์ชายสามของแคว้นเย้หลางหรือไม่เพคะ?"
จักรพรรดิหนิงยิ้มอย่างเย็นชา "เดินอ้อมไปเถอะ"
รอยยิ้มอันเยือกเย็นปรากฏขึ้นที่มุมปากของหยุนชาง ตนเดาถูกแล้วว่าจักรพรรดิหนิงจะเข้าไปทักทายอย่างแน่นอน คนหนึ่งคือขุนนางที่ตนนั้นสงสัยมาตลอด แต่กลับมีอำนาจชี้ขาดในแคว้นหนิงอีกคนหนึ่งคือองค์ชายของแคว้นอื่น ที่มีความอันตรายซ่อนอยู่ แม้ว่าเนื้อหาที่พวกเขาสนทนากันนั้นจะไม่มีเรื่องน่าสงสัยอันใด แต่ถึงยังไงจักรพรรดิก็คงต้องสงสัยอย่างแน่นอน
เมื่อจักรพรรดิหนิงและหยุนชางไปถึงห้องของหัวจิ้ง กลับเห็นว่าหัวจิ้งนั้นนอนหลับอย่างสงบ หมอหลวงที่อยู่ข้างๆก็รีบเร่งเข้ามาถวายบังคม " กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"
จักรพรรดิหนิงพยักหน้า ชี้ไปที่หัวจิ้งและกล่าวว่า "เป็นอย่างไรบ้างหรือ?"
หมอหลวงกล่าวอย่างเร่งรีบว่า "ทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เมื่อสักครู่นี้องค์หญิงอาละวาดไปหนึ่งรอบพ่ะย่ะค่ะ เหมือนว่าตอนนี้จะทรงเหนื่อยจึงได้บรรทมพ่ะย่ะค่ะ"
หยุนชางยิ้มเล็กน้อย ดวงตาของนางมองไปบนผ้าห่มที่ดูโก่งขึ้นมาเล็กน้อย และแน่นอนนี่คือฝีมือของนางเอง ประการหนึ่งคือเพื่อให้จักรพรรดิหนิงได้พบเห็นภาพเมื่อสักครู่นี้ อีกหนึ่งประการคือหมอหลวงได้ทูลกับจักรพรรดิหนิงแล้ว ว่าหัวจิ้งไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด การแสร้งทำเป็นป่วยของหัวจิ้งเป็นเรื่องตลกในสายตาของจักรพรรดิหนิง ยิ่งหัวจิ้งแสร้งทำได้เหมือนจริง และรุนแรงมากเท่าไหร่ จักรพรรดิหนิงก็ทรงเกลียดชังมากเท่านั้น
จักรพรรดิหนิงมิได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา พระองค์ทรงหันหลังและเดินออกจากห้องไป แต่ไม่ได้กลับไปที่ห้องจัดงานเฉลิมฉลอง เพียงแต่กล่าวอย่างเฉยชาว่า "เจิ้นเหนื่อยแล้วเช่นกัน เจิ้นกลับไปพักผ่อนก่อน"
หยุนชางพยักหน้าและเดินตามจักรพรรดิหนิงเพื่อส่งท่านกลับไป หลังจากเดินทางไปเกือบครึ่งทางจักรพรรดิหนิงจึงเอ่ยปากกล่าวว่า " ชางเอ๋อร์เจ้าฉลาดกว่าเสด็จพี่ของเจ้าอย่างมาก และเจิ้นมิต้องเป็นห่วงเจ้า และเจิ้นได้พระราชทานสมรสให้เจ้าและจิ้งอ๋องแล้ว แต่ทว่าเจ้าทั้งสองก็ยังมิได้อภิเษกสมรสกันอย่างเป็นทางการ สองสามวันนี้ท่านทูตของแคว้นเย้หลางและแคว้นเซี่ยก็ยังอยู่ เจ้าต้องระวังตัวให้มาก สองคนนั้นมิใช่คนธรรมดาที่ง่ายที่จะรับมือ"
หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่ง สองคน? นอกจากชางเจียชิงซูแห่งแคว้นเย้หลางแล้ว อีกหนึ่งคนที่เสด็จพ่อกบ่าวถึงนั้นคือองค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นเซี่ยที่ดูอ่อนโยนและอ่อนแอนั้นหรือ?
ฝีเท้าของหยุนชางหยุดลงและจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า สองสามวันที่ผ่านมานี้การเคลื่อนไหวของชางเจียชิงซูนั้นมีมากจนเกินไป และตนได้เพิกเฉยต่อองค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นเซี่ยไปโดยไม่รู้ตัว แต่ที่เป็นเช่นนี้เพราะประการที่หนึ่ง ดูจากภายนอกแล้วท่านดูเป็นคนที่อ่อนโยน ไม่เหมือนคนเจ้าเล่ห์ และเมื่อเทียบกับชางเจียชิงซูแล้ว เขากลับดูไม่มีพิษภัยอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิหนิงกล่าวเมื่อสักครู่นี้แล้ว หยุนชางก็รู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อย องค์ชายเจ็ดนั้นไม่มีพิษภัยก็จริง แต่เขาดูไม่มีพิษภัยจนตนเพิกเฉยไปอย่างไม่รู้ตัว หากว่าคิดๆแล้ว แบบนี้ก็นับได้ว่าเป็นความสามารถชนิดหนึ่งเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าตนต้องสืบเรื่องเกี่ยวกับองค์ชายเจ็ดแคว้นเซี่ยสักหน่อยแล้ว…