ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 164 สอบถามหัวจิ้ง
จักรพรรดิหนิงเคาะโต๊ะเบา ๆ หยุนชางหรี่ตาลงและกล่าวว่า "เสด็จพ่อเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่า มีแม่ทัพหญิงท่านหนึ่งในหมู่วีรบุรุษผู้ก่อตั้งของแคว้นหนิงเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าถึงแม้นางจะเป็นสตรี แต่กลับกล้าหาญและชาญฉลาดมีกลยุทธ์แข็งแกร่งกว่าชายหลายๆ คนเพคะ และนางได้สร้างผลงานดีๆให้กับแคว้นหนิงมามาก หม่อมฉันเห็นว่าคุณหญิงหวังมีความทะเยอทะยานต่อเป้าหมายเช่นนี้ แล้วเหตุใดจึงไม่ให้นางได้สมหวังเพคะ"
สิ่งที่หยุนชางกล่าวมา คือหนึ่งในแม่ทัพผู้ก่อตั้งแคว้นหนิง สตรีผู้นั้นมีชื่อว่าจี้หยุนหยี แม้ว่านางจะเป็นสตรี แต่นางก็เป็นตำนาน ได้ยินมาว่าบิดาของสตรีผู้นี้เป็นแม่ทัพการทหาร จี้หยุนหยีติดตามบิดาของนางไปรบทุกๆที่ตั้งแต่นางยังเด็ก ต่อมาบิดาของนางได้เสียชีวิตลงในสนามรบ นางจึงรับหน้าที่ของบิดา และตามจักรพรรดิผู้ก่อตั้งแคว้นหนิงไปสู้รบทั่วอาณาจักร อีกทั้งนางยังมีผลงานที่โดดเด่น ถือได้ว่าเป็นตำนานของแคว้นหนิง
เมื่อจักรพรรดิหนิงเห็นว่าหยุนชางกล่าวเช่นนี้แล้ว พระองค์จึงพยักหน้า "ในเมื่อคุณหญิงหวังมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ เจิ้นก็จะทำให้เจ้าได้สมหวัง เจิ้นของแต่งตั้งให้เจ้าเป็นร้อยตรีหญิง ให้เจ้าติดตามจิ้งอ๋องเรื่องการรบเถิด เจ้ารอคำสั่งอยู่ในนครหลวง โดยฝึกทหารตามปกติ หากมีสงคราม เจ้าก็ออกรบพร้อมจิ้งอ๋อง"
หวังจิ้นเหยียนรู้สึกดีใจอย่างมาก และรีบขอบพระคุณพระองค์ย่างรวดเร็ว "หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ"
มหาเสนาบดีหลี่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป แววตาของเขาจับจ้องไปที่ฮองเฮาที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ แล้วพบว่านางหน้าขาวซีดอย่างมาก แววตาของนางดูเหม่อลอย ก็ยิ่งทำให้เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีออกมาเล็กน้อย มหาเสนาบดีหลี่นึกขึ้นได้ว่า ตอนที่เขาออกมาจากป่าทึบนั้น ก็พบว่าหลี่เย่าฉีได้ประทับอยู่ที่นั่งของเขาแล้ว และดูจากสีหน้านั้นไม่เหมือนว่าเพิ่งออกมาจากป่าทึบ
มหาเสนาบดีหลี่มองไปที่หลี่เย่าฉี และเห็นว่าเขาก็ดูเหม่อลอยเช่นกัน เหตุการณ์จึงตอบรับการคาดเดาในใจของตน เพียงแต่ว่าตอนนี้ฝ่าบาทยังทรงประทับอยู่ คงไม่ดีนักหากว่าตนจะเข้าไปถามไถ่ เขาจึงทำได้แค่นั่งลง และครุ่นคิดว่าทำอย่างไรจึงได้มีโอกาสไปสอบถามหลี่เย่าฉี
จักรพรรดิหนิงเงยหน้าขึ้นมองดูใบหน้าของผู้คนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย แต่ดวงตาของพระองค์นั้นเย็นชาเล็กน้อย "หญิงสาวที่เพิ่งแสดงรายการไปเมื่อสักครู่นี้ก็มีรางวัลเช่นกัน จิ้งอ๋องเจ้าไปสั่งให้คนนำของราวัลนั้นไปมอบให้เหล่าหญิงสาว วันนี้ทุกคนเหนื่อยมากแล้ว ดังนั้นช่วงบ่ายนี้ก็จงพักผ่อนให้ดี ยังมีงานรื่นเริงในตอนค่ำของวันนี้ ดังนั้นทุกคนแยกย้ายกันเถอะ"
"กระหม่อมน้อมส่งฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ……" ฝูงชนเร่งถวายบังคม และรอให้จักรพรรดิหนิงลุกขึ้นยืนและเดินหายไป จึงได้ลุกขึ้นยืน
ฮองเฮา หยุนชางและจิ้งอ๋องได้ตามจักรพรรดิหนิงไปแล้ว ทุกคนก็เริ่มกระซิบกัน คนที่ได้เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่นั้นมีไม่น้อย แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่ทราบเรื่องนี้ จึงขยับเข้าไปถามไถ่ มหาเสนาบดีหลี่ได้ยินชื่อของหัวจิ้งถูกกล่าวถึงเป็นหลายครั้ง เพียงแต่ว่าเมื่อพวกเขาพูดคุยกันดูเหมือนจะพยายามหลีกเลี่ยงเขาอย่างจงใจ เขาเองก็ไม่สามารถทราบเรื่องได้ จึงขมวดคิ้ว แล้วเรียกตัวหลี่เย่าฉีมา พาเขาเดินไปที่ที่เงียบสงบ มองไปรอบ ๆ แล้วจึงกล่าวว่า " เมื่อสักครู่ที่ข้าไม่อยู่นั้น มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?"
หลี่เย่าฉีรีบคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกล่าวว่า " ท่านปู่ขอรับ มันเป็นความผิดของฉีเอ๋อร์เองขอรับ ฉีเอ๋อร์ทำให้องค์หญิงและเสด็จป้าต้องลำบากไปด้วยขอรับ……."
หลี่เย่าฉีเป็นหลานชายที่มหาเสนาบดีหลี่พอใจมากที่สุด เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาดูแย่มาก เขาก็ทราบดีว่าสถานการณ์นี้อาจจะรุนแรงอย่างมาก จึงรีบกล่าวว่า "เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?"
หลี่เย่าฉีมิอาจปิดบัง จึงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา "หลานกำลังตามล่าสัตว์และเห็นหมีดำตัวหนึ่ง หลานจึงยิงหมีดำด้วยลูกธนู แล้วพบว่าหวังจินฮวนก็ยิงหมีดำนั้นไปหนึ่งธนูเช่นกัน หมีดำนั้นได้รับบาดเจ็บและเกิดบ้าคลั่งจึงวิ่งไปทั่ว หลานรีบวิ่งไล่ตามไปและพบหมีดำอยู่ที่ชายป่าทึบ แต่กลับพบว่ามันกำลังโจมตีองค์หญิงหัวจิ้ง หมีดำจับองค์หญิงหัวจิ้งกระแทกลงกับพื้นไปสองที แล้วหลานก็ควบคุมหมีดำนั้นไว้ได้ แต่องค์หญิงหัวจิ้งกลับได้รับบาดเจ็บ หลานเห็นว่าองค์หญิงหัวจิ้งมีเลือดเปื้อนเต็มตัว จึงมิได้คิดกระไรมาก แล้วรีบส่งนางกลับมา……" หลี่เย่าฉีหยุดชั่วคราว และเงยหน้าขึ้นมองดูสีหน้าตาของมหาเสนาบดีหลี่
"แล้วยังไงต่อ?" เสนาบดีหลี่ขมวดคิ้ว ที่แท้แล้วหัวจิ้งได้รับบาดเจ็บนี่เอง มิน่าล่ะสีหน้าของฮองเฮาดุไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังมีอะไรผิดปกติ หากเป็นเพียงเรื่องที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วเหตุใดเมื่อสักครู่ที่คนเหล่านั้นกล่าวถึงหัวจิ้งจึงต้องจงใจหลีกเลี่ยงตนล่ะ?
หลี่เย่าฉีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า "ท่านหมอได้จับชีพจรขององค์หญิงหัวจิ้งและกล่าวว่า นางแท้งขอรับ…"
มหาเสนาบดีหลี่ตกตะลึง สายตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น มหาเสนาบดีหลี่อยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งมาโดยตลอด แต่เดิมท่านก็มีศักดิ์ศรีอยู่แล้วเล็กน้อย เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ท่านจึงรู้สึกตะลึงเป็นอย่างมาก
หลี่เย่าฉีก้มหน้าลง ดวงตานั้นเต็มไปด้วยรู้สึกผิด "มันเป็นความผิดของหลานเองขอรับ หากหลานทราบว่าองค์หญิง…… หลานก็จะทำทุกอย่างเพื่อนส่งองค์หญิงไปอย่างเงียบๆ …"
มหาเสนาบดีหลี่แอบบีบมือที่อยู่ในแขนเสื้อ และพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อระงับความโกรธ "ไอ้สารเลว เรื่องใหญ่โตเช่นนี้เหตุใดจึงไม่บอกกล่าวให้พวกเราได้ทราบ เรื่องนี้ทำให้พระราชวงศ์เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยหัวจิ้งไปง่ายๆอย่างแน่นอน เหล่าขุนนางมิอาจพูดคุยเรื่องนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาท แต่พวกเขาต้องต่อว่าให้เสียชื่อเสียงของตระกูลเราอย่างแน่นอน แม้แต่ฮองเฮาก็คงยากที่จะมีศักดิ์ศรีอยู่ในวังหลังได้ ไอ้สารเลว! ก่อนหน้าที่นางมีความขัดแย้งกับทางตระกูลจ้าว ข้าก็กล่าวไว้แล้วว่าสักวันนางต้องสร้างเรื่องจนได้อย่างแน่นอน และแต่ละคนยังเอาแต่ปกป้องนาง เป็นอย่างไรล่ะตอนนี้!เกิดเรื่องขึ้นแล้วใช่ไหม! ไอ้สารเลว! บัดซบจริงๆ!"
มหาเสนาบดีหลี่ด่าว่าสารเลวติดกันอยู่หลายที สีหน้าของหลี่เย่าฉีก็แย่ลงกว่าเดิมอย่างมาก ผ่านไป ครู่หนึ่ง มหาเสนาบดีหลี่ก็ได้ระงับความโกรธในใจเอาไว้ "ตอนนี้ข้ามีหน้าที่รับเหล่าท่านทูต ฝ่าบาทคงจะไม่ทำให้ข้าลำบากใจในเวลานี้อย่างแน่นอน แต่แน่นอนว่าพระองค์ทรงไม่หยุดเช่นนี้! เอาเถอะ! กลับไปก่อนแล้วเชิญบิดาและเหล่าอาของเจ้ามา พวกเรามาหารือวิธีรับมือกัน"
หลี่เย่าฉีพยักหน้าและเดินตามมหาเสนาบดีหลี่กลับไปที่ตำหนักนอกวังในชานเมืองตะวันออก
จักรพรรดิหนิงมองดูหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าตนด้วยสีหน้าที่เฉยชา ในแววตานั้นฉายความเยือกเย็นที่ไม่อาจปกปิดออกมา " ฮองเฮาช่างสอนลูกสาวได้ดีเสียจริง และทราบอย่างดีว่าทำเยี่ยงไรจึงจะทำให้เจิ้นอับอายมากที่สุด หึหึ คราวนี้ได้ผลดีแล้ว แม้แต่แคว้นเย้หลางและแคว้นเซี่ยก็ทราบเรื่องนี้กันหมด…"
ฮองเฮาคุกเข่ายืดหลังตรง แต่มือของนางสั่นเล็กน้อย "หม่อมฉันทราบดีเพคะว่าหม่อมฉันมีความผิดอย่างมาก ฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่อมฉันเถอะเพคะ"
"ลงโทษงั้นหรือ? ฮองเฮาตรัสมาสิว่าเจิ้นจะลงโทษอย่างไร? ลงโทษเจ้าอย่างไร จะลงโทษหัวจิ้งอย่างไร?" จักรพรรดิหนิงหัวเราะอย่างเย็นชา
หยวนเจินฮองเฮานิ่งเงียบ นางทราบดีว่าจักรพรรดิหนิงได้ทรงเสียหน้าต่อหน้าท่านทูตของทั้งสองแคว้น และพระองค์ทรงไม่ปล่อยหัวจิ้งไปง่ายๆอย่างแน่นอน หากตนยืนกรานที่จะขอร้องท่าน เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งฮองเฮาของตน…….ก็คงต้องเสียไปด้วย…….
ฮองเฮากัดฟัน ไม่ได้ นางเสียไปมากแล้ว จะเสียตำแหน่งพระราชินีนี้ไปอีกไม่ได้เป็นอันขาด หากตนไม่สามารถแม้แต่รักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้ เช่นนั้นตนก็จะล้มเหลวจริงๆ ทุกๆอย่างที่ตนทนมาในก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า
"ฝ่าบาทเพคะ องค์หญิงหัวจิ้งในฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นหนิง แต่นางมีความประพฤติที่ไม่เหมาะสม จนเป็นอันทำให้ราชวงศ์อัปยศเสียชื่อเสียง หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาททรงปลดตำแหน่งองค์หญิงหัวจิ้งไป และลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชนเพคะ…" ฮองเฮาก้มลงกับพื้น แล้วมีน้ำตาไหลออกมา "หม่อมฉันมีความผิดที่มิอาจสั่งสอนพระราชธิดาได้ จึงยอมที่จะกักบริเวณสามเดือนเพคะ เพื่อเป็นการสวดภาวนาบุญให้กับบุตรของจิ่นเฟยและสนมซู่ที่ยังไม่ถือกำเนิดเพคะ.."
เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ แววตาที่มองฮองเฮาก็เผยความเยาะเย้ยเล็กน้อย นางยอมที่จะให้ตนปลดตำแหน่งหัวจิ้งและลดให้เป็นสามัญชน แต่ก็ไม่ยอมทิ้งตำแหน่งพระราชินีนี้ไป ช่างเป็นวิธีการรับมือของหลี่อี้หรานของจริง ไม่ว่าอย่างไรก็จะครองตำแหน่งพระราชินีให้ได้ใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนี้ พระองค์จะทรงทำให้นางได้สมหวัง เมื่อถึงตอนนั้น ก็ให้ตำแหน่งพระราชินีฝังไว้กับนางเลยแล้วกัน เมื่อใดเขามีหลักฐานของมหาเสนาบดีหลี่ และกำจัดตระกูลหลี่ออกไปแคว้นหนิงไปได้ เมื่อนั้นย่อมเป็นวันสิ้นพระชนม์ของหลี่อี้หราน
หยวนเจินฮองเฮารออยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากจักรพรรดิหนิง นางเริ่มรัสึกหมดหวังเรื่องๆ แต่นางต้องอดทน นางทราบดีว่าตอนนี้จักรพรรดิหนิงจะไม่ทำอะไรตนอย่างแน่นอน อย่างมากที่สุด จักรพรรดิหนิงก็ขู่นาง ขู่เฉยๆ หึหึ อย่างเศร้าโศกยิ่งนัก………
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาจากภายนอก จักรพรรดิหนิงลืมตาขึ้น มองไปที่ประตู และเห็นหัวหน้าเจิ้งเดินเข้ามา "ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงหัวจิ้งฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
จักรพรรดิหนิงจ้องมองไปที่ฮองเฮาที่สั่นเล็กน้อยและพยักหน้า " ฟื้นแล้วหรือ? หากเป็นเช่นนั้นเจิ้นไปเยี่ยมนางหน่อยก็แล้วกัน" ขณะที่พูด พระองค์มิได้สนใจหยวนเจิ้นฮองเฮาที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พระองค์ทรงเสด็จออกไปนอกประตู
หลังจากนั้นอยู่นาน ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใด ร่างกายของฮองเฮาจึงค่อยๆสั่นเล็กน้อย ทีแรกยังสั่นเพียงเล็กน้อย แต่ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงสะอื้นดังขึ้นมา หยวนเจินฮองเฮาหมอบลงกับพื้น น้ำตาของนางเปียกชุ่มไปทั่วพื้น
จักรพรรดิหนิงตามหลังหัวหน้าเจิ้งไป และมาถึงห้องที่ทำการรักษาหัวจิ้ง ทันทีที่ก้าวเข้าไป ก็พบว่าหยุนชางและจิ้งอ๋องอยู่ที่นั่นทั้งคู่ เมื่อพบว่าจักรพรรดิหนิงเข้ามา หยุนชางและจิ้งอ๋องจึงรีบยืนขึ้นและถวายบังคมต่อจักรพรรดิหนิง
จักรพรรดิหนิงพยักหน้าและทรงตรัสว่า " เหตุใดชางเอ๋อร์และพระอนุชาจึงไม่ไปพักผ่อน?"
หยุนชางก้มหน้าลงและกล่าวว่า "ชางเอ๋อร์เห็นว่าเสด็จพี่มีอาการสาหัสอย่างมาก ชางเอ๋อร์ไม่สบายใจ จึงมาเยี่ยมเสด็จพี่เพคะ เสด็จอามาพร้อมชางเอ๋อร์เพคะ"
จักรพรรดิหนิงจ้องมองไปที่จิ้งอ๋องแล้วจึงพยักหน้า " นางฟื้นแล้วหรือ?"
หยุนชางพยักหน้า ก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากด้านใน อาจเป็นเพราะหัวจิ้งได้ยินเสียงของจักรพรรดิหนิง นางจึงกล่าวอย่างเร่งรีบ "เสด็จพ่อเพคะ จิ้งเอ๋อร์ก็ไม่ทราบเช่นกันว่เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เพคะ จิ้งเอ๋อร์ไม่ทราบอะไรเลยเพคะ จิ้งเอ๋อร์ไม่ทราบเรื่องอันใดจริงๆ…………"
จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้ว แล้วเดินอ้อมฉากกั้นไป แล้วเดินตรงไปที่พระแท่นบรรทม แล้วพบว่าใบหน้าที่งดงามแต่เดิมของหัวจิ้งนั้นกลายเป็นใบหน้าที่ขาวซีดเป็นอย่างมาก และยังมีคราบเลือดบนผ้าห่ม แววตาของหัวจิ้งเหม่อลอยเล็กน้อย และนานนางจึงเห็นจักรพรรดิหนิง สีหน้าของนางก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที และรีบยื่นมือไปคว้าที่มุมเสื้อของจักรพรรดิหนิงและกล่าวว่า "เสด็จพ่อเพคะ เชื่อจิ้งเอ๋อร์เถอะเพคะ จิ้งเอ๋อร์ไม่ทราบเรื่องอันใดเลยเพคะ"
จักรพรรดิหนิงหัวเราะอย่างไม่แยแสและเยือกเย็น "เจิ้นได้ยินมาว่าทารกในครรภ์ของเจ้ามีอายุมากกว่าสามเดือนแล้วหรือ? สามเดือนกว่าแล้วเจ้าไม่ทราบเลยหรือว่าเจ้าตั้งครรภ์?" หัวจิ้งดูมึนงง เล็กน้อย น้ำตาของนางไหลลงมา นางยังคงส่ายหัวไม่หยุด และพึมพำอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่านางกำลังพูดอะไร " เจิ้นแค่อยากทราบว่า พ่อของทารกนี้คือใคร หากว่าเจ้าบอกเจิ้น เจิ้นก็จะปล่อยเจ้าไป….."