ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 155 บุตรีราชครูแห่งแคว้นเย้หลาง
หยุนชางเหม่อลอยเล็กน้อย นึกไปถึงความรักลึกซึ้งของฮองเฮาในวันนั้นเข้ามาในความคิดของนางทีละเล็กทีละน้อย ดวงตาของนางค่อยๆ เย็นเยียบลง เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้วฮองเฮาสงบลงมาก แต่ความสงบนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
"ทำไม? หรือว่าเจ้ากลัวแล้ว? รู้สึกว่าฮองเฮาที่เป็นเช่นนี้ลึกล้ำยากหยั่งถึง?" จิ้งอ๋องเงยหน้าขึ้นมองสาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาแล้วส่ายหัวเล็กน้อย "แล้วเจ้ายังจงใจไปเปิดเผยภาวะเรื่องที่นางมีลูกไม่ได้อีก?"
หยุนชางจ้องมองไปที่ถ้วยชาตรงหน้า มองดูใบชาที่ค่อยๆ คลี่ออกมาในถ้วยชาแล้วยิ้ม "ดังนั้นหม่อมฉันจึงหนีออกมาจากความวุ่นวายที่หม่อมฉันก่อไว้ไม่ได้ แต่ก่อนฮองเฮามีจุดอ่อนเพราะนางต้องการจะให้กำเนิดองค์ชาย นางจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะเอาใจเสด็จพ่อ ให้เสด็จพ่อไปที่วังของนางมากขึ้น แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่านางมีลูกไม่ได้ แต่กลับดูเหมือนจะไม่ใส่ใจเลยสักนิดว่าเสด็จพ่อจะโปรดปรานใคร"
จิ้งอ๋องส่ายหัว "ตอนนี้จุดอ่อนของนางไม่ได้ลดลง แต่กลับใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก ความสัมพันธ์ของนางกับตระกูลหลี่ก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น หากได้ดีก็จะได้ดีด้วยกัน หากล่มจมก็จะล่มจมด้วยกัน"
หยุนชางครุ่นคิดครู่หนึ่ง "เสด็จอาหมายความว่าเราควรเริ่มต้นลงมือจากตระกูลหลี่? แต่อำนาจของตระกูลหลี่กระจายอยู่หลายที่ในราชสำนัก ทุกศาลาว่าการต่างก็มีคนของพวกเขาสอดแทรกอยู่ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี?"
"เจ้าเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด ไม่มีทางที่จะไม่มีวิธีจริงๆ น้ำเซาะทุกวันหินยังกร่อน เพียงต้องจับจุดอ่อนที่อ่อนแอที่สุดและใช้กำลังทั้งหมดโจมตี ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถค่อยๆ ทลายอำนาจของตระกูลหลี่ลง เหล่ากษัตริย์ตั้งแต่โบราณนานมากลัวสิ่งใดที่สุด เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ" จิ้งอ๋องยกมุมปาก ความรู้สึกสงบแผ่วเบาผุดขึ้นมาในหัวใจของเขา
เหล่ากษัตริย์กลัวสิ่งใดที่สุด? หยุนชางหรี่ตาลงและทันใดนั้นก็มีเสียงดังแว่วมาจากชั้นล่าง หยุนชางเลิกคิ้วขึ้น "มาแล้วหรือ?" นางพูดพลางยืนขึ้น เดินไปที่หน้าต่างมองออกไปข้างนอกและเห็นขบวนม้าและคนเดินเข้ามาจากระยะไกล ด้านหน้ามีทหารองครักษ์ประมาณยี่สิบคน ตามด้วยรถม้างดงามห้าคันและที่ด้านหลังยังมีรถม้าหลายคันบรรทุกหีบขนาดใหญ่ ท้ายขบวนก็มีทหารอีกห้าหรือหกสิบคน
"ในที่สุดก็มา เพียงแต่ไม่รู้ว่าชางเจียชิงซูที่อยู่ในรถม้าคันนี้เป็นตัวปลอมหรือตัวจริง" หยุนชางพึมพำกับตัวเอง
จิ้งอ๋องเดินไปที่ด้านข้างของหยุนชางและยืนนิ่งมองดูขบวนที่ผ่านไปอย่างช้าๆ ด้านล่าง ทุกคนในขบวนสวมชุดของแคว้นเย้หลาง พวกเขาดูสวยงามระคนดุร้าย "ในเมื่อพวกเขามาถึงเมืองหลวงแล้ว เช่นนั้นก็ย่อมเป็นตัวจริง"
ม่านบนหน้าต่างของรถม้าคันที่สองถูกแหวกออกเผยให้เห็นใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ คิ้วเฉียงขึ้น ตาโตสีน้ำตาล จมูกโด่ง ริมฝีปากหนาเล็กน้อย มองเพียงแวบเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้หลงใหล ผู้คนที่มุงดูอยู่ด้านล่างต่างก็พากันส่งเสียงอุทานอย่างตกใจ ดูเหมือนหญิงสาวจะพอใจกับความวุ่นวายที่นางก่อขึ้นมาก นางกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แววความภูมิใจฉายขึ้นในดวงตาของนางและลดม่านลง
"สาวงาม ไม่เคยได้ยินว่าแคว้นเย้หลางส่งเจ้าหญิงองค์ไหนมา? ผู้หญิงคนนี้คือ?" หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย หากแคว้นเย้หลางส่งองค์หญิงมาอีกองค์ก็คงน่าสนใจอยู่ไม่น้อย…
จิ้งอ๋องหันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วนั่งลง "นั่นคือบุตรีของราชครูแห่งแคว้นเย้หลาง" บุตรีของราชครูแห่งแคว้นเย้หลาง? หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ที่แคว้นเย้หลางราชครูเป็นบุคคลที่ค่อนข้างพิเศษ เขามีความน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง อำนาจเดียวคือการกำกับดูแลทุกย่างก้าวของกษัตริย์ แล้วเหตุใดบุตรีของราชครูจึงได้มาที่แคว้นหนิง?
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของหยุนชาง จิ้งอ๋องก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ "การพาผู้หญิงมาที่นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เมื่อไม่มีศักดิ์เป็นองค์หญิงก็ยิ่งยืดหยุ่นกว่า เป้าหมายของการแต่งงานนี้อาจเป็นฝ่าบาท ราชนิกุลหรือขุนนางก็ได้"
หยุนชางแอบพยักหน้าอย่างเงียบๆ "หญิงสาวคนนี้ก็ดูเอาเรื่องไม่เบา เกรงว่าแคว้นหนิงของเราจะครึกครื้นขึ้นมาแล้ว"
"ก๊อก…" เสียงเคาะประตูดังขึ้น จิ้งอ๋องกล่าว "เข้ามา"
ประตูถูกผลักเปิดเข้ามา เฉี่ยนอินและหวังซุ่นเดินเข้ามาจากด้านนอก "องค์หญิง ท่านอ๋อง คณะทูตของแคว้นเย้หลางเกือบจะถึงประตูพระราชวังแล้ว พวกเราควรรีบกลับวัง"
จิ้งอ๋องพยักหน้าและยืนขึ้น "ไปกันเถอะ พวกเราเข้าวังไปด้วยกันเถอะ ข้าส่งเจ้าที่ตำหนักชิงซินแล้วจะแวะไปที่ตำหนักจินหลวนด้วย"
หยุนชางรับคำ ตามจิ้งอ๋องลงไปที่ชั้นล่าง เดินออกจากโรงเตี๊ยมไป ขึ้นรถแล้วมุ่งหน้าไปทางประตูวัง
หลังจากกลับมาที่ตำหนักชิงซินแล้ว หยุนชางก็นอนลงบนเบาะนุ่มและไม่ต้องการขยับตัวอีก ฉินยีเดินเข้ามาช่วยหยุนชางถอดปิ่นบนศีรษะออกแล้วพูดเสียงเบา "องค์หญิง ก่อนนี้ที่ท่านไม่อยู่ในวัง หม่อมฉันเห็นว่าขันทีที่คอยทำความสะอาดนอกตำหนักออกไปจากตำหนัก หม่อมฉันไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นจึงไม่ได้ไปขวางไว้ จากนั้นหม่อมฉันจึงแอบสืบทีหลัง ขันทีผู้นั้นชื่อเสี่ยวมู่จื่อ พี่ชายของเขาเคยเป็นขันทีใกล้ชิดของหลานผินเหนียงเหนียง หลังจากที่หลานผินเหนียงเหนียงจากไป พี่ชายของเขาก็ถูกฝูเหม่ยเหรินขอตัวไปแล้วเพคะ"
ฝูเหม่ยเหริน… หยุนชางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะนึกได้ว่านางคือหลี่ฝูยีน้องสาวของฮองเฮาและไม่ได้ยินข่าวคราวของนางมานานแล้ว
"ฝูเหม่ยเหรินเป็นอย่างไรบ้าง?" หยุนชางเงยหน้าขึ้นถามเฉี่ยนอิน
เฉี่ยนหยินรีบตอบ "ระยะนี้ฝูเหม่ยเหรินสงบเสงี่ยมมาก เดือนนี้ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จไปที่วังของนางเลย ฝูเหม่ยเหรินมักจะอยู่ข้างกายไท่เฟยเหนียงเหนียง คอยช่วยไท่เฟยเหนียงเหนียงคัดพระไตรปิฎกอะไรเช่นนี้เพคะ"
"หือ?" หยุนชางเลิกคิ้ว "ฮองเฮาไม่ได้ไปหาฝูเหม่ยเหรินเลยหรือ?"
เฉี่ยนอินพยักหน้า "ยกเว้นมาถวายพระพรประจำวันแล้ว ฮองเฮาแทบจะไม่มีการเกี่ยวข้องใดใดกับฝูเหม่ยเหรินเลยเพคะ"
เห็นได้ชัดว่าเป็นพี่น้อง แต่ดูราวกับคนแปลกหน้าเช่นนี้เป็นเรื่องปกติผิดมาก… ยิ่งกว่านั้น หลี่ฝูยีก็เป็นคนที่ไม่ได้สงบเสงี่ยมเท่าใดนัก ในช่วงนี้เสด็จพ่อไม่ได้โปรดปรานนาง แต่นางกลับดูไม่ร้อนรนอะไรนัก ความผิดปกติเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี ราวกับว่านางกำลังจงใจทำให้คนอื่นลืมไปว่านางยังมีตัวตนอยู่เสียอย่างนั้น
"ขันทีผู้นั้น เจ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิด ด้านฝูเหม่ยเหรินก็อย่าได้ละเลย หากมีอะไรผิดปกติก็รีบรายงานให้ข้ารู้โดยเร็วที่สุด" หยุนชางกล่าวอย่างเคร่งขรึม
เฉี่ยนอินพยักหน้าและตอบว่า "ทราบแล้วเพคะ"
"ถวายพระพรหย่าผินเหนียงเหนียง" มีเสียงถวายพระพรดังแว่วมาจากด้านนอก หยุนชางหรี่ตาลงและนั่งตัวตรง
"องค์หญิงฮุ่ยกั๋วอยู่หรือไม่?" เสียงนุ่มนวลราวสายลมอันอ่อนโยนพัดผ่านมาทำให้สดชื่นขึ้นเป็นพิเศษ
หยุนชางยืนขึ้นทักทายนางด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า "หย่าผินเหนียงเหนียงมาแล้วหรือเพคะ ชางเอ๋อร์พูดถึงอยู่ตั้งนาน ไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนเหนียงเหนียงหรือไม่ ที่ให้หย่าผินเหนียงเหนียงสอนเต้นรำเป็นเพราะอาการเหนื่อยเพลียตามฤดูกาล ช่วงนี้ชางเอ๋อร์ขี้เกียจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าหย่าผินเหนียงเหนียงจะเป็นฝ่ายมาหาก่อน"
หย่าผินยิ้มเล็กน้อยและพูดเบาๆ "เป็นหม่อมฉันที่มารบกวนองค์หญิง วันนั้นที่อุทยานหม่อมฉันได้พบองค์หญิง รู้สึกว่าองค์หญิงพระทัยดีจึงรู้สึกสนิทสนมด้วย เมื่อองค์หญิงบอกว่าอยากให้หม่อมฉันสอนเต้นรำ หม่อมฉันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่อดทนรอให้องค์หญิงเสด็จไม่ไหวจึงมาหาเองเสียก่อน"
หยุนชางฟังแล้วนางไม่ได้ใช้คำว่า "ข้า" แต่กลับเรียกตนเองว่าหม่อมฉัน ในใจนางก็รู้สึกยินดีไม่น้อย "เป็นความผิดของชางเอ๋อร์เอง เชิญหย่าผินเหนียงเหนียงนั่งเถอะเพคะ"
นางกำนัลพยุงหย่าผินนั่งลง ฉินยีรีบรินน้ำชาอย่างรวดเร็ว หยุนชางยิ้มและมองดูชุดเขียวมรกตของนางแล้วก็ยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น "นี่คือชาดอกกุ้ยฮวาที่ชางเอ๋อร์ให้คนตากแดดตั้งแต่ปีที่แล้ว หย่าผินเหนียงเหนียงลองจิบดูสิเพคะว่าถูกปากหรือไม่?"
หย่าผินได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มบาง ยกถ้วยชาขึ้นมาดมเล็กน้อยก่อนจิบแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ในปากอวลไปด้วยกลิ่นหอม"
นางพูดพลางวางถ้วยน้ำชาลง มองไปที่หยุนชางและกล่าวด้วยรอยยิ้ม "หม่อมฉันโตมาในเมืองเล็กๆ ในวังกฎระเบียบมากมารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ตอนที่พบองค์หญิงในวันนั้นเห็นว่าองค์หญิงเป็นคนตรงไปตรงมา ดังนั้นหม่อมฉันจึงอยากเข้าใกล้ ตำหนักชิงซินขององค์หญิงนั้นงามบริสุทธิ์ดีจริงๆ"
หยุนชางยิ้มเล็กน้อย "หากหย่าผินเหนียงเหนียงชอบก็มาได้ทุกเมื่อ"
หย่าผินปิดปากหัวเราะเบาๆ "องค์หญิงอย่าเอ่ยคำเกรงใจหม่อมฉันเลยเพคะ เพราะหม่อมฉันอาจจริงจังก็เป็นได้"