ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 154 ความเปลี่ยนแปลงของฮองเฮา
เพียงแต่การถอนรากถอนโคนตระกูลหลี่นั้นไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน
หยุนชางครุ่นคิดในใจอยู่นานก่อนจะกระซิบเบาๆ "ข้าคิดถึงสิ่งที่ท่านพูดในคืนนั้นอยู่หลายวัน ข้าตัดสินใจว่าจะลองเปิดใจยอมรับท่าน"
มือที่พลิกหนังสือของจิ้งอ๋องหยุดชะงัก ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงตอบรับ "ดี"
หือ? หยุนชางตะลึงงัน แค่นี้เองหรือ?
รออยู่นานก็ไม่มีคำพูดอื่นใด หยุนชางก้มศีรษะลง เย็นชาจริงๆ จึงไม่ได้เห็นมุมปากของจิ้งอ๋องที่ยกขึ้นเล็กน้อยและดวงตาพราวระยับไปด้วยรอยยิ้ม
ใช้เวลากว่าครึ่งวันจึงจะถึงเมืองหลวง จิ้งอ๋องส่งหยุนชางกลับไปที่พระราชวังและพบกับฮ่องเต้ก่อนจะกลับไป
ทันทีที่หยุนชางกลับมาถึงตำหนักชิงซินก็ได้ยินเสียงกรีดร้องตกใจ "องค์หญิงกลับมาแล้ว องค์หญิงกลับมาแล้ว…"
แล้วจากนั้นฉินยีและเฉี่ยนอินก็วิ่งออกมาจากตำหนัก สีหน้าไม่สู้ดีนัก หยุนชางแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว จากนั้นก็ถูกเฉี่ยนอินดึงกลับไปที่ตำหนักใน
หยุนชางถูกกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ ฉินยีและเฉี่ยนอินยืนอยู่ข้างหน้าหยุนชาง มองหยุนชางอย่างด้านบน เฉี่ยนอินพ่นลมหายใจออกมา "องค์หญิง วันนั้นที่ให้หม่อมฉันปลอมเป็นองค์หญิงแกล้งป่วย แต่ท่านกลับไปแล้วไม่กลับมา รู้ไหมว่าหม่อมฉันและพี่ฉินยีกังวลและหวาดกลัวเพียงใด? เห็นว่าองค์หญิงยังไม่กลับมาเสียที หม่อมฉันเกือบจะบุกเข้าไปในจวนองค์หญิงแล้ว โชคดีที่หม่อมฉันยังมีความยับยั้งชั่งใจอยู่บ้างจึงไปหาพี่หนิงเชียน จึงได้รู้ว่าจิ้งอ๋องพาองค์หญิงไปแล้ว แต่ไปหม่อมฉันไปหาจิ้งอ๋อง จิ้งอ๋องกลับบอกว่าองค์หญิงจากไปนานแล้ว องค์หญิงแกล้งหม่อมฉันเล่นแบบนี้สนุกไหมเพคะ?"
หยุนชางยิ้มแห้งพร้อมแววตาขอโทษ "ขอโทษที คราวหน้าจะไม่เป็นอย่างนี้อีก คราวนี้เกิดเรื่องขึ้นกะทันหัน ข้าเลยไม่ได้คิดอะไรให้รอบคอบ"
ฉินยีก็ถอนหายใจเช่นกัน "ต่อไปองค์หญิงไม่ต้องคิดจะสลัดพวกเราทิ้งเลย ต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หม่อมฉันและเฉี่ยนอินจะต้องอยู่ข้างกายท่านหนึ่งคน มิเช่นนั้นเราคงวางใจไม่ได้" หยุนชางรีบพยักหน้าตกลง เฉี่ยนอินและฉินยีจึงยอมหยุด
"องค์หญิงเดินทางมาเกือบทั้งวันคงจะเหนื่อยมาก หม่อมฉันจะไปเอาน้ำมาให้ องค์หญิงล้างหน้าทำผมเสียหน่อยและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเถิด" ฉินยียิ้มบางๆแล้วเดินออกจากตำหนักไป
เฉี่ยนอินเข้ามาที่ข้างกายของหยุนชางและกล่าวว่า "องค์หญิง ฮองเฮาถูกปล่อยตัวแล้วเพคะ"
หยุนชางพยักหน้า "เมื่อตอนที่ข้าอยู่ในรถก่อนหน้านี้ จิ้งอ๋องบอกข้าแล้ว"
"แต่คราวนี้หลังจากที่ฮองเฮาถูกปล่อยตัวแล้ว หม่อมฉันรู้สึกว่านางดูเปลี่ยนไปมาก" เฉี่ยนอินขมวดคิ้ว ดวงตาของนางฉายแววกังวลเล็กน้อย
หยุนชางหันไปมองเฉี่ยนอิน "หือ? เรื่องนี้เป็นอย่างไร?"
เฉี่ยนอินลดเสียงลงอีกเล็กน้อย "สาวใช้รู้สึกว่านางดูสงบเงียบกว่าเมื่อก่อน เมื่อไม่กี่วันก่อน เจาอี๋ที่เข้าวังมาใหม่ถูกฮ่องเต้เรียกรับใช้เป็นเวลาสามวันติดต่อกันนางจึงตื่นสาย พลาดการไปถวายพระพรฮองเฮา แม้แต่นางสนมหลายคนก็เข้าข้างฮองเฮา บอกว่าเจาอี๋เหนียงเหนียงไม่เห็นฮองเฮาอยู่ในสายตา หากเป็นแต่ก่อนแม้ว่านางจะอดทนไม่บันดาลโทสะออกมาแต่อย่างน้อยก็ต้องพูดจาเสียดสีบ้างสักหน่อย แต่ฮองเฮาเพียงยิ้มและบอกว่าเจาอี๋ทำงานหนักมาตลอดในช่วงสองสามวันมานี้ ตื่นสายก็เป็นปกติเช่นกัน แล้วยังเลื่อนยศให้เจาอี๋อีก"
หยุนชางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า "ปฏิกิริยาเช่นนี้ของนางก็เป็นไปตามที่ข้าคาดไว้ หลิวชิงหย่าเดิมเป็นน้องสาวของจอหงวนคนใหม่ พื้นเพของจอหงวนคนใหม่นี้ก็ค่อนข้างเรียบง่าย วันนั้นที่ฮองเฮาเลือกหลิวชิงหย่าเป็นเจาอี๋ก็เพราะมองจุดนี้ ในวังหลังมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาอย่างไรฮ่องเต้ก็คงไม่สนใจนาง แทนที่จะหาคนที่มีภูมิหลังมาแข่งขันกับนาง การสนับสนุนคนที่ไม่มีภูมิหลังเช่นหลิวชิงหย่าจะดีกว่า อีกทั้งหลิวชิงหย่าก็จะรู้สึกขอบคุณนางมากอีกด้วยและฮองเฮาจะสามารถใช้ประโยชน์จากนางได้"
เฉี่ยนอินยังคงส่ายหัว "แต่หม่อมฉันรู้สึกว่าฮองเฮาเปลี่ยนไปมากจริงๆ หม่อมฉันจะอธิบายออกมาเป็นข้อๆ ก็ไม่ได้ เพียงแต่รู้สึกว่านิสัยของนางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง รอองค์หญิงพบนางก็จะรู้เองว่าทำไมหม่อมฉันจึงได้กล่าวเช่นนี้"
หยุนชางพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม "เมื่อเจ้าพูดแบบนี้ ข้าชักรอไม่ไหวแล้วที่จะไปพบนาง เมื่อข้าเตรียมตัวเสร็จแล้วก็ควรจะไปพระราชวังชีอู๋เพื่อถวายพระพรเสียหน่อย ตอนนี้นางคงเกลียดข้าเข้าเข้ากระดูกดำไปเสียแล้วกระมัง"
"องค์หญิง เตรียมน้ำเรียบร้อยแล้วเพคะ องค์หญิงเสด็จไปอาบน้ำที่ห้องสรงเถอะเพคะ" ฉินยีเดินเข้ามาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
หยุนชางพยักหน้าแล้วยิ้มเดินเข้าไปในห้องสรงโดยฉินยีช่วยนางถอดเสื้อผ้า นางก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำ "เสด็จแม่อยู่ที่วังเฟิ่งไหลอย่างสบายดี ท้องของนางใหญ่กว่าเมื่อก่อนมาก อีกไม่นานก็คงจะคลอดแล้ว"
ฉินยีได้ยินคำพูดนั้นนางก็ยิ้มกว้างเต็มใบหน้า "เช่นนั้นหม่อมฉันก็วางใจ นายเก่าก็อยู่ที่นั่น มีนายเก่าคอยดูแลนายท่านต้องไม่เป็นอะไรแน่"
หยุนชางพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ท่านปู่กับเสด็จแม่ไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว คราวนี้คงมีเรื่องให้พูดมากมาย ข้าเห็นว่าหน้าตาท่าทางผิวพรรณของเสด็จแม่ดีขึ้นมาก รอเสด็จแม่คลอดลูกกลับมาที่วังหลังแล้วข้าจะไปเกลี้ยกล่อมให้ท่านตามาอยู่ที่เมืองหลวงเสียด้วยกัน"
"หากเป็นเช่นนั้นได้ย่อมประเสริฐมาก นายท่านใหญ่รักนายท่านเป็นที่สุด เขาย่อมต้องเต็มใจ" ฉินยีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากอาบน้ำแล้ว หยุนชางก็เปลี่ยนชุดและพาฉินยีไปที่วังชีอู๋ ยังไม่ทันได้เข้าไปในวังชีอู๋ นางก็เห็นสาวงามหลายนางยืนอยู่ในสวนนอกวังชีอู๋ หยุนชางยิ้มและก้าวไปข้างหน้า "ชางเอ๋อร์ถวายพระพรเสด็จแม่และเหนียงเหนียงทุกท่าน"
"องค์หญิง"
หยุนชางได้ยินเสียงเบาๆแว่วมา "ชางเอ๋อร์ไปเที่ยวเล่นกับจิ้งอ๋องสนุกไหม?"
เป็นเสียงของฮองเฮา หยุนชางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นางเงยศีรษะขึ้นก็เห็นราชินีในชุดสีแดงสด ฮองเฮาสวมชุดของฤดูใบไม้ผลิบางๆ เอวบางเรียวคอด มีเพียงปิ่นพวงและปิ่นหยกสองชิ้นบนศีรษะของนาง มองแล้วดูบริสุทธิ์ผุดผ่องกว่าเดิมมาก
หยุนชางรีบยิ้มและกล่าวว่า "เสด็จแม่สวมชุดนี้แล้วงามนักเพคะ ชางเอ๋อร์เพียงคัดพระไตรปิฎกอยู่ในวิหารและไม่ได้เที่ยวเล่นมากนัก ชางเอ๋อร์ขอจี้พระหยกมาสองสามองค์ให้เจ้าอาวาสอู๋น่าปลุกเสกให้ เดี๋ยวอีกครู่ชางเอ๋อร์จะส่งมาให้เสด็จแม่"
ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มชืดๆ "ลำบากชางเอ๋อร์แล้ว"
หยุนชางจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเฉี่ยนอินจึงบอกว่าฮองเฮาเปลี่ยนไปมาก แม้หยุนชางจะอยู่ที่นั่นเพียงชั่วครู่แต่ก็สังเกตเห็นความแตกต่างบางอย่างได้เช่นกัน ฮองเฮาเคยชอบเสื้อผ้าและเครื่องประดับหรูหรา แต่ตอนนี้ดูจะเบาบางลงไปมาก แม้กระทั่งนิสัยของนางก็ดูสงบขึ้น
หยุนชางหรี่ตาลง หรือว่านางจะถูกความจริงที่ว่านางไม่อาจมีลูกได้อีกทำให้นิสัยเปลี่ยนไปอย่างมาก เพียงการเปลี่ยนแปลงนี้เองที่ทำให้หยุนชางรู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย ลางสังหรณ์บอกนางว่าความคิดของฮองเฮาดูจะลึกซึ้งขึ้นไปอีกและยิ่งสามารถซ่อนอารมณ์ของนางได้มากยิ่งขึ้น
สายตาของฮองเฮาเบนไปที่สาวงามในชุดสีเขียวพลางยิ้มและพูดกับหยุนชางว่า "ชางเอ๋อร์ นี่คือสนมคนใหม่ของเสด็จพ่อเจ้า หลิวชิงหย่า หย่าผิน ก่อนหน้านี้ที่งานเลี้ยงในวันส่งท้ายปีเก่าเจ้าคงจะเคยเห็นนางแล้ว"
หยุนชางก็เบนสายตาที่หญิงสาวคนนั้นเช่นกัน ผิวของผู้หญิงนั้นดูเนียนนุ่มราวกับหยกอันอ่อนโยน ริมฝีปากสีแดงราวเชอร์รี่โดยไม่ต้องแต่งแต้ม ช่างดูมีเสน่ห์งดงามและนุ่มนวล ผมสองปอยที่ข้างแก้มของนางนุ่มสลวยปลิวสยายตามแรงลมยิ่งขับใบหน้าของนางให้ดูเย้ายวนยิ่งไปอีก ดวงตาเจ้าเล่ห์เฉลียวฉลาด ชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อน เอวคอดเล็กกิ่ว งดงามราวไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดา
เฉี่ยนอินกล่าวว่านางได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผินแล้ว ฮองเฮาช่างใจกว้างเสียจริง ในวังหลังแห่งนี้ มีผู้หญิงไม่มากนักที่สามารถเลื่อนขั้นถึงระดับผินได้
หยุนชางรีบยิ้มและเดินไปหาสตรีผู้นั้น จูงมือนางและกล่าวว่า "ชางเอ๋อร์จำได้ คืนนั้นนางร่ายรำได้อย่างงดงาม ทำให้ชางเอ๋อร์อิจฉามาก ก่อนหน้านี้ชางเอ๋อร์ยังบอกกับเสด็จพ่ออยู่เลยว่าหากหย่าผินเหนียงเหนียงเข้าวังมาแล้วจะให้สอนชางเอ๋อร์เต้นรำสักหน่อย"
ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างสงบราวกับว่านางไม่แปลกใจเลยสักนิด "หากเจ้าชอบก็ให้หย่าผินไปสอนที่วังของเจ้าเถอะ"
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง "แต่หย่าผินเหนียงเหนียงเพิ่งเข้าวัง เสด็จพ่อคงจะกำลังโปรดปรานนาง ชางเอ๋อร์ไม่กล้าย่างคนกับเสด็จพ่อ หากเสด็จพ่อโกรธขึ้นมา ชางเอ๋อร์คงกลัวแย่"
"เจิ้นจะโกรธตอนไหนกัน?" เสียงของจักรพรรดิหนิงดังมาจากด้านหลัง หยุนชางราวกับตกใจและรีบหันกลับมาย่อกายถวายพระพร "ถวายพระพรเพคะ ฝ่าบาท"
"ลุกขึ้นเถอะ" จักรพรรดิหนิงกลับไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้คำถามเมื่อครู่หลุดลอยไป เข้ามองไปที่หยุนชางและกล่าวว่า "ชางเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรที่จะทำให้เจิ้นโกรธหรือ?"
ฮองเฮายิ้มบางๆ นางพูดอย่างสงบเสงี่ยมว่า "ชางเอ๋อร์บอกว่าอยากให้หย่าผินสอนนางเต้นรำ แต่หย่าผินเพิ่งเข้าวังมา ชางเอ๋อร์จึงไม่กล้าแย่งคนกับฝ่าบาทเพคะ"
สายตาของจักรพรรดิกวาดตามองฮองเฮาอย่างเงียบๆ ก่อนที่หันมามองชางเอ๋อร์ "เจ้านี่นะ ถูกจิ้งอ๋องสอนจนแย่แล้ว"
หยุนชางแสร้งทำเป็นซุกซนและแลบลิ้นออกมา บนหน้าปรากฏรอยแดงจางๆ "เสด็จพ่อจะดึงเสด็จอาเข้ามาเกี่ยวข้องทำไมเพคะ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเสด็จอาด้วย?"
"แต่ก่อนคำพูดเช่นนี้เจ้าไม่พูดออกมาหรอก แล้วยังจะบอกว่าไม่ใช่จิ้งอ๋องสอนอีก?" จักพรรดิหนิงตาเป็นประกายลึกเล็กน้อย แล้วเขาก็ยิ้มและพูดว่า "หากเจ้าอยากเรียนเต้นรำก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หย่าผินตื่นสาย เจ้าก็ไปสายหน่อยก็แล้วกัน เรียนหนึ่งชั่วยามก็พอแล้ว นานเกินไปก็จะเหนื่อยเสียเปล่าๆ"
"เสด็จพ่อกลัวหย่าผินเหนียงเหนียงเหนื่อย ไม่ได้กลัวชางเอ๋อร์เหนื่อยใช่ไหมเพคะ" หยุนชางยิ้มตาหยี
จักรพรรดิหนิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างก็แดงก่ำด้วยความเขินอาย ส่วนนางสนมคนอื่นๆ ก็หัวเราะไปกับพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่ในรอยยิ้มนั้นมีความขมขื่นหรือริษยาแฝงอยู่บ้าง มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่มีใบหน้าสงบ มีเพียงมุมปากเท่านั้นที่ถูกยกขึ้นเล็กน้อย