ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 130 หัวจิ้งถูกคุมตัวไปที่ศาลต้าหลี่
"พูดในสิ่งที่เจ้าเพิ่งกล่าวมาอีกครั้งซิ" ดวงตาเย็นชาของฮ่องเต้จ้องมองตรงไปที่ขันทีผู้นั้นจนเขาตัวสั่นเทิ้ม เขาหมอบอยู่บนพื้นอย่างสั่นๆ
"หม่อมฉันพูดแล้วๆ หม่อมฉันเป็นขันทีที่มีหน้าที่ทำความสะอาดหอเหมยอิ่ง บ่ายนี้เมื่อหิมะหยุดตกแล้ว หม่อมฉันเหนื่อยจากการกวาดหิมะจึงแอบงีบพักอยู่ใต้ต้นไม้นอกหอเหมยอิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับถูกปลุกขึ้นมาโดยเสียงๆ หนึ่ง หม่อมฉันได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งสั่งให้คนป้ายยาพิษไว้บนฉิน แล้วยังบอกอีกว่าจะหาวิธีให้นางกำนัลข้างกายองค์หญิงหยุนชางมาที่หอพระราชสมบัติ พอถึงเวลาก็จะบอกว่านางกำนัลขององค์หญิงหยุนชางเป็นคนวางยา แล้วเสียงก็เงียบหายไป หม่อมฉันกำลังคิดหาทางจากไปเงียบๆ แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอีกครั้ง หม่อมฉันกลัวจึงไม่กล้าไปไหน จากนั้นก็ได้ยินคำสั่งของหญิงสาวคนนั้นสั่งอีกครั้งว่าตอนที่เตรียมฉลากให้คุณหนูหลี่ให้เปลี่ยนฉลากทั้งหมดเป็นผี หากมีใครซักถามขึ้นก็ให้บอกว่าองค์หญิงหยุนชางส่งนางกำนัลมาสั่ง หม่อมฉันได้ยินมาเพียงเท่านี้…" ขันทีรีบโขกหัวคำนับหลายครั้ง "หม่อมฉันได้ยินเรื่องเช่นนี้ ในใจก็กลัวว่าจะมีคนมาปองร้ายหม่อมฉัน ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่กล้าพูด"
ฮ่องเต้ตบโต๊ะเสียงอย่างโกรธจัด "เลวทราม เจ้าเห็นหน้าตาคนๆ นั้นหรือไม่?"
ขันทีส่ายหัวซ้ำๆ "หม่อมฉันไม่เห็น แต่คลับคล้ายคลับคลาเห็นหญิงสาวคนนั้นสวมชุดกระโปรงสีน้ำเงินปักดอกสาลี่สีขาว… หม่อมฉันได้ยินว่ามีนางกำนัลเรียกบุคคลนั้นว่าองค์หญิง…"
องค์หญิง… ในแคว้นหนิงแห่งนี้ มีองค์หญิงเพียงสองคนคือหัวจิ้งและหยุนชาง หยุนชางย่อมไม่ให้ร้ายตนเองอย่างแน่นอน เช่นนั้นจึงมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว…
สายตาของทุกคนตกลงบนร่างหัวจิ้งที่หน้าซีดเผือด ชุดสีน้ำเงิน… เมื่อมองไปที่กระโปรงก็เห็นว่ามีดอกสาลี่สีขาว "เฮอะๆ…" ผู้ที่กล้าหัวเราะออกมาในเวลาเช่นนี้ นอกจากจิ้งอ๋องแล้วก็ไม่มีใครอีก "ท่านมหาเสนาบดีหลี่ คนที่ทำร้ายหลานสาวของท่านตอนนี้ชัดเจนแล้ว องค์หญิงหัวจิ้งช่างใจกล้าบ้าบิ่นนัก ใช้ลูกพี่ลูกน้องเป็นเหยื่อล่อใส่ร้ายน้องสาวตนเอง สมแล้วที่เป็นธิดาของฮองเฮา"
คำพูดนี้ความหมายค่อนข้างเจาะจงเป็นอย่างยิ่ง แต่ ณ เวลานี้กลับไม่มีใครสนใจ ในใจของคนหลายคนอดไม่ได้ที่จะตกใจ องค์หญิงหัวจิ้งเป็นผู้มีความสามารถเลิศล้ำ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีเมตตาและได้รับความเคารพนับถือจากปวงชนมาโดยตลอดมิใช่หรือ? ไม่มีใครคิดว่าภายใต้ใบหน้าที่สวยงามและอ่อนโยนนั้นจะมีจิตใจอำมหิตซ่อนเร้นอยู่
"นี่เป็นการปรักปรำชัดๆ ข้าไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้มาก่อนเลย ข้าไม่รู้ว่าทำไมขวดยานี้ถึงมาอยู่ในแขนเสื้อของข้า จริงสิ ต้องเป็นเพราะขันทีคนเมื่อครู่แน่ ต้องเป็นขันทีนั่นที่ใส่ขวดนี้เข้ามาในแขนเสื้อของข้า" หัวจิ้งโวยวายเสียงดัง ใบหน้าของนางโมโหจนบิดเบี้ยวน่าเกลียด
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว "ฉาวโฉ่อะไรเช่นนี้! ทหาร คุมตัวองค์หญิงไปให้ศาลต้าหลี่*" (*หน่วยงานราชการ หนึ่งในเก้าสำนักใหญ่แห่งราชสำนัก ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับคดีอาญา)
หัวจิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก "เสด็จพ่อ ลูกถูกปรักปรำนะเพคะ เสด็จแม่พูดอะไรบ้างสิเพคะ…"
หยุนชางเห็นว่ามือของฮองเฮาที่อยู่บนโต๊ะกำแน่นเล็กน้อย เล็บยาวของนางแทงลึกเข้าไปในเนื้อ หยุนชางก็กระตุกมุมปากยิ้มเล็กน้อย เช่นนี้ปวดใจหรือไม่? นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น…
"กราบทูลฝ่าบาท พบตราประทับของฮองเฮาแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ผู้ที่มาเป็นขันทีจากวังของหมิงไท่เฟย ฮ่องเต้ยิ้มเย็น "หาเจอแล้วก็ดี"
เมื่อพูดเสร็จพระองค์ก็กลอกตาอีกครั้งหลัง เขาเหลือบมองกลับไปกลับมาระหว่างอัครมหาเสนาบดีกับฝูงชน แล้วจึงถามหมอหลวงที่ยืนอยู่ด้านข้างเสียงเบา "คุณหนูหลี่ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?"
หมอหลวงรีบตอบ "หม่อมฉันให้ยาแก้พิษแก่คุณหนูหลี่ไปแล้ว ดูจากสถานการณ์ของคุณหนูแล้วก็น่าจะไม่เป็นอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้พยักหน้า "วันนี้ทุกคนต่างก็พอเจอเรื่องน่าตกใจ เช่นนั้นเราก็แยกย้ายกันเถอะ" หลังจากพูดแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินลงจากเก้าอี้มังกรแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจิ่นเฟย "เจ้าร่างกายไม่ดีนัก ข้าจะพาเจ้ากลับไปส่งที่วัง"
จิ่นเฟยพยักหน้าอย่างนุ่มนวล ลุกขึ้นและเดินไปข้างกายของฮ่องเต้ เขายื่นมือออกมาประคองนางและออกจากตำหนักจินหลวนไปพร้อมกับนาง
ฮองเฮาที่นั่งบนที่สูงใบหน้าก็ยิ่งซีดลงไปอีก นางรีบลุกขึ้นยืนและรีบออกจากตำหนักจินหลวนไปเช่นกัน
"น้อมส่งฝ่าบาท น้อมส่งฮองเฮา… " ผู้คนรีบคุกเข่าคำนับ
หลังจากที่คนที่สำคัญที่สุดจากไป จิ้งอ๋องก็เดินไปที่ข้างกายของหยุนชางและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า "วันนี้ชางเอ๋อร์ตกใจมาก ให้ข้าส่งเจ้ากลับเถอะ"
สายตาของทุกคนในตำหนักจึงตกลงยังร่างของจิ้งอ๋องและหยุนชางอีกครั้ง จิ้งอ๋องยิ้มหรือ? ทุกคนต่างตกใจและคิดในใจว่าหรือว่าจิ้งอ๋องชอบเจ้าหญิงหยุนชางเข้าจริงๆ? หากองค์หญิงหยุนชางได้รับการหนุนหลังจากจิ้งอ๋อง เมื่อครู่จิ่นเฟยก็ได้รับความโปรดปรานอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นจิ่นเฟยก็ตั้งครรภ์อยู่ เช่นนั้นมีบางเรื่องที่ต้องชั่งน้ำหนักอีกครั้ง…
หยุนชางขี้เกียจเกินกว่าจะเดาใจคนอื่นต่อ ในใจของนางยังมีเรื่องที่ต้องการถามจิ้งอ๋องอยู่ นางจึงไม่ปฏิเสธและเดินออกไปจากตำหนักจินหลวน ฉินยีรีบหยิบเสื้อคลุมตามไป ขณะที่กำลังจะใส่ให้หยุนชางก็ถูกจิ้งอ๋องหยิบไป เขาคลี่เสื้อคลุมออกแล้วคลุมให้หยุนชางอย่างอ่อนโยน "ข้างนอกหนาว ผูกเสื้อคลุมให้ดีก่อนเถอะ เจ้าร่างกายอ่อนแอ เดี๋ยวจะเป็นหวัดไปเสียได้"
หยุนชางหยุดฝีเท้าลง ยกมือขึ้นผูกเสื้อคลุมตัวใหญ่อย่างลวกๆ แล้วหันหลังเดินออกจากตำหนักจินหลวนไป
หิมะหยุดตกแล้ว เดินไปไม่ไกลจากตำหนักจินหลวนทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างเงียบๆ หยุนชางคิดออกแล้วจึงเปิดปากพูด "เสด็จอาลงมือเร็วจริงนะเพคะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเสด็จอาใช้วิธีการใดจึงทำให้เสด็จพ่อยอมตกลงพระราชทานงานสมรสให้?"
เสียงหัวเราะของจิ้งอ๋องดังแว่วมา "พระราชทานงานสมรสให้ข้า? สำหรับเราต่างหาก… ชางเอ๋อร์ช่างฉลาดจริงๆ สำหรับราชโองการนี้แล้ว ข้าถึงกับต้องแลกมาด้วยตราอาสิทธิ์"
ตราอาญาสิทธิ์? หยุนชางชะงักฝีเท้าลงชั่วคราว นางรู้ว่าตราอาญาสิทธิ์นี้สามารถระดมกองทัพของแคว้นหนิงได้กว่าห้าแสนคน จักรพรรดิองค์ก่อนแบ่งตราอาญาสิทธิ์ออกเป็นสองส่วนโดยครึ่งหนึ่งมอบให้เสด็จพ่อและอีกครึ่งหนึ่งมอบให้จิ้งอ๋อง
ในเมื่อจิ้งอ๋องทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเด็กในท้องของนางสนมของเสด็จพ่อก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีใจคิดอยากได้ราชบัลลังก์ บุคคลที่มีจิตใจเช่นนั้นกลับเต็มใจมอบสิ่งสำคัญเช่นตราอาญาสิทธิ์ได้อย่างไร?
หยุนชางหรี่ตาลง "เสด็จอาทำเช่นนี้เพราะเหตุใดหรือเพคะ?"
จิ้งอ๋องกระตุกยิ้มมุมปาก "ข้าคิดว่าตอนที่ข้าอยู่ในค่ายทหาร ข้าได้พูดไปพอแล้ว ข้าชอบเจ้า เพื่อเจ้าแล้ว แม้ชาติบ้านเมืองข้าก็สละได้ ไม่รู้ว่าชางเอ๋อร์เคยหวั่นไหวบ้างหรือไม่?"
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้นมาและเสียงหัวเราะก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ และใช้เวลานานกว่าจะหยุดลงได้ "เสด็จอา นี่เป็นมุกตลกที่ตลกที่สุดที่ชางเอ๋อร์เคยได้ยินมา"
หยุนชางหันกลับมามองคนข้างกาย "ตอนที่ข้าอยู่ในค่าย เมื่อเสด็จอาพูดสิ่งเหล่านั้นกับข้า ข้าก็ยังเชื่ออยู่บ้าง เพียงแต่เมื่อพระราชโองการสมรสนี้ออกมาแล้ว ข้ากลับไม่เชื่อแล้ว"
"หือ? ทำไมล่ะ?" จิ้งอ๋องชะงักและหันไปมองผู้หญิงที่อยู่ใกล้เขามากขึ้น
"แม้ว่าชางเอ๋อร์จะมั่นใจมากแค่ไหน แต่ข้าก็รู้ว่าน้ำหนักของข้านั้นไม่มีทางเกินตราอาญาสิทธิ์อย่างแน่นอน เสด็จอาได้วางแผนสำหรับตำแหน่งนั้นมานานกว่าสิบปีแล้ว แต่เสด็จอากับชางเอ๋อร์เพิ่งพบกันแค่เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนเท่านั้น ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนนี้ เสด็จอากลับรักและอยากดูแลชางเอ๋อร์เป็นที่สุดและถึงกับยอมสละตำแหน่งที่สูงส่งนั้นเพื่อชางเอ๋อร์ คำพูดเช่นนี้เสด็จอาใช้มันไปเกลี้ยกล่อมผู้อื่นเสียจะดีกว่า" หยุนชางพูดจบก็ยิ้มขำเล็กน้อยแล้วหมุนตัวเดินไปทางตำหนักชิงซิน จิ้งอ๋องหรี่ตาลงเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตามนางไป ฉินยีและเฉี่ยนอินก็รีบตามนางไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จิ้งอ๋องจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง
"ตามคาด ถูกสงสัยเสียแล้ว"
หวังซุ่นยืดคอมองอยู่นาน เมื่อไม่เห็นร่างนั้นแล้ว เขาก็กระซิบเสียงเบา "ท่านอ๋อง องค์หญิงหยุนชางผู้นี้ดูเหมือนไม้อ่อนไม้แข็งต่างก็ไม่ได้ผล เอาใจยากจริงๆ ทำไมท่านอ๋องจึงอยากแต่งงานกันนางหรือ? ตราอาญาสิทธิ์นั้น หากองค์ชายไม่มีมันแล้วก็จะไม่เหลืออะไรอีก ท่านอ๋อง ท่านเลอะเทอะไปแล้วจริงๆ…"
"ตราอาญาสิทธิ์หรือ?" จิ้งอ๋องกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย "ข้ามอบออกไปได้ก็ย่อมต้องเอากลับคืนมาได้"
"แต่ว่า…" หวังซุ่นถอนหายใจ "ทำไมท่านอ๋องถึงต้องเป็นองค์หญิงหยุนชางเท่านั้นเล่า? ในราชสำนักมีคนจำนวนมากที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของมหาเสนาบดี เช่นฉินไท่เว่ย* คุณหนูของเขาก็เพิ่งจะอายุครบเกณฑ์แต่งงาน หากสามารถนำไท่เว่ยเข้ามาเป็นพวกได้ ระยะทางของท่านอ๋องก็คงจะสั้นลงอีกมาก… " (*ไท่เว่ย คือ ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด)
จิ้งอ๋องยิ้มอย่างเย็นชา "สั้นลงมากๆ? หากข้าแต่งงานเชื่อมดองกับฉินไท่เว่ย เช่นนั้นฝ่าบาทก็จะมุ่งเป้าความสนใจมาที่ข้า อิจฉาและหวาดระแวงข้าอย่างแน่นอน เดิมทีข้าก็ถูกระแวงอยู่แล้ว หากทำเช่นนั้นก็ยิ่งจะเคลื่อนไหวยากขึ้นไปอีก หลังเสด็จพี่ขึ้นครองราชย์แล้ว ในยี่สิบปีมานี้ ข้าต้องนำทหารออกรบเสียสิบแปดปี แม้ว่าเมืองหลวงจะจัดวางกำลังอย่างระมัดระวัง แต่ข้าก็ไม่สามารถแม้แต่จะเข้ามาในเมืองหลวงได้ แล้วยังจะทำการใหญ่อะไรได้อีก? ตราอาญาสิทธิ์อยู่ในมือข้าจะไปมือประโยชน์อันใด ตราอาญาสิทธิ์เพียงครึ่งเดียวจะไปทำอะไรได้ ไม่สู้ถวายให้ฝ่าบาทดีกว่า ให้เขาสบายใจเสียแล้วแต่งงานกับธิดาของเขา เมื่อไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์จากการแต่งงานได้แล้ว เขาก็จะวางใจมากขึ้นและข้าก็จะสามารถฉวยโอกาสอยู่ในเมืองหลวงได้… "
"แต่เช่นนั้นทำไมไม่เลือกองค์หญิงหัวจิ้งเล่า นางก็ควบคุมง่ายกว่าองค์หญิงหยุนชางมาก…" เมื่อหวังซุ่นได้ยินแผนการของจิ้งอ๋อง เขาก็เต็มไปด้วยความชื่นชม เพียงแต่ยังมีข้อสงสัยบางอย่าง
จิ้งอ๋องกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา "หัวจิ้งโง่กว่าหยุนชางจริงๆ แต่ว่านางเป็นธิดาของฮองเฮาและหลานสาวของมหาเสนาบดีหลี่…"