ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 114 หลี่ฝูยี (ฝูเหม่ยเหริน)
หลี่ฝูยีได้ยินเช่นนั้น แสดงสีหน้าอย่างเก้อเขิน "ทูลองค์หญิง นายทุกองค์ในวังสบายดี เพียงแต่ว่า โดยปกติแล้วหม่อมฉันชอบใส่ชุดขาวก็เท่านั้น"
หยุนชางดูเหมือนจะผงะไป แล้วจึงตบหน้าอกแล้วพูดว่า "โอ้ เป็นเช่นนี้นี่เอง ทำเอาข้าตกใจหมด นึกว่าใครผู้ใดเป็นอะไรไป ท่านคือฝูเหม่ยเหรินใช่หรือไม่? หยุนชางเพิ่งกลับมาจากวิหารแคว้นหนิง เป็นครั้งแรกที่ได้พบฝูเหม่ยเหริน พอดูเช่นนี้แล้ว ช่างอ่อนโยนงดงามจริงๆ แม้แต่ชางเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากทะนุถนอม ไม่น่าแปลกใจที่เสด็จพ่อเอาอกเอาใจเจ้ามากขนาดนี้"
หลี่ฝูยีได้ยินก็ลดศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ข้างแก้มดูแดงระเรื่อเล็กน้อย "องค์หญิงชมเกินไปแล้ว หม่อมฉันได้ยินถึงความงามขององค์หญิงอยู่ตลอด วันนี้ได้พบ เพิ่งรู้ว่าในโลกนี้มีหญิงงามดุจนางฟ้ามาโปรดอยู่ด้วย อีกในสองปี พระพักตร์ขององค์หญิง ต้องดึงดูดชายหนุ่มจากทั่วหล้าเป็นแน่"
ยุนช้างยิ้ม แต่ไม่ตอบอะไร และดูเหมือนจะนึกขึ้นได้อย่างกระทันหัน ตบหัวและกล่าวว่า "ดูข้าสิ ลืมไปเลยว่าฝูเหม่ยเหรินยังคุกเข่าอยู่ ยังไม่รีบไปพยุงเหม่ยเหรินลุกขึ้น"
เฉี่ยนอินรีบแสร้งไปช่วยพยุง หลี่ฝูยีก็รีบกล่าวคำขอบคุณ ก่อนจะพูดว่า "ตอนที่หม่อมฉันยังอยู่ที่จวนก็ได้ฟังเรื่องขององค์หญิง โดยบอกว่าแม้องค์หญิงจะทรงพระเยาว์ แต่ยังห่วงใยผู้คนทั่วไป หลังจากเข้าวัง ฝ่าบาทก็ทรงตรัสอยู่ตลอดว่า ทำไมองค์หญิงยังไม่กลับมา ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบองค์หญิงแล้ว"
ยุนช้างยิ้มเล็กน้อย ทำอย่างไร้เดียงสา "จริงหรือ?"
ในขณที่กำลังจะพูด ก็เห็นฉินยีถือชามยาเข้ามา หยุนชางไม่สนใจที่จะพูดคุยกับหลี่ฝูยี รีบพูดกับฉินยีว่า "ข้าเพิ่งกินยาเม็ดไป วางยานี้ให้เย็นก่อน เฉี่ยนอินเจ้าช่วยข้าเติมน้ำผึ้งดอกหอมหมื่นลี้ลงในยาหน่อย"
เฉี่ยนอินตอบรับ แต่ฉินยีรีบคว้าเฉี่ยนอินและพูดกับหยุนชางว่า "องค์หญิงเพคะ ไม่ได้นะเพคะ หมอหลวงบอกแล้วว่า การใส่น้ำผึ้งดอกหอมหมื่นลี้ลงไปจะทำให้ตัวยาเจือจาง องค์หญิงท่านต้องทนหน่อย บีบพระนาสิกแล้วดื่มเข้าไปนะเพคะ"
สีหน้าหยุนชางแสดงความกลัว ส่ายหัวซ้ำๆ คว้าแขนเสื้อของฉินยีและพูดอย่างออดอ้อนว่า "ฉินยี ฉินยีคนดี ขอแค่ครั้งนี้ ข้าเพิ่งกินยาเม็ดไป ตอนนี้ในปากยังรู้สึกขมมาก ขอข้าเติมน้ำผึ้งดอกหอมหมื่นลี้เถอะ ครั้งนี้ครั้งเดียวจริงๆ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนทำผลไม้เชื่อมให้ข้า" "ผลไม้เชื่อมก็มิควรเสวยมากแล้วนะเพคะ" ฉินยีพูดอย่างท่วงที แล้วก็ถอนหายใจและปล่อยมือเฉี่ยนอินออก เฉี่ยนอินรีบออกจากห้องโถงชั้นใน หยุนชางกล่าวว่า "รู้ว่าฉินยีดีที่สุด ข้าไม่กินมาก ข้าฟังฉินยี"
"ฟังฉินยีอะไรรึ" ทันใดนั้นก็มีเสียงทีน่าเกรงขามมาจากข้างนอก หยุนชางยิ้มและมองไปทางประตู แต่ก็เหลือบมองไปที่ใบหน้าของหลี่ฝูยีที่จู่ๆ ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
"เสด็จพ่อมาแล้วหรือเพคะ" หยุนชางพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อจักรพรรดิหนิงเสด็จเข้ามา หยุนชางก็กล่าวขึ้นมาว่า "ในวังไม่มีผลไม้เชื่อมแล้ว ข้าบอกให้ฉินยีใส่น้ำผึ้งดอกหอมหมื่นลี้ลงในยา ฉินยีกล่าวว่า ข้ามิควรเสวยมากเกินไป"
จักรพรรดิหนิงขมวดพระขนง เดินไปหาหยุนชาง หยิบยาขึ้นมาดม "ชางเอ๋อร์ไม่สบาย ทำไมยังทานยาอยู่"
หยุนชางยิ้มแล้วกล่าวว่า "ไม่มีอะไรเพคะ แค่รีบร้อนส่งหอยสังข์ขาวกลับวัง กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเดินทาง จึงรีบเดินทาง ร่างกายก็เลยอ่อนหล้าไปบ้างเพคะ แต่ต้มยาแล้ว เสวยยาไปสักสองสามวันก็คงจะดีขึ้นเพคะ"
จักรพรรดิหนิงส่ายหัว "เจ้านี่นะ และไม่บอกข้า ข้าจะได้ส่งคนไปรับเจ้าได้"
ขณะที่กำลังพูดกัน หลี่ฝูยีที่อยู่ข้างๆกล่าวขึ้นว่า "หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท"
จักรพรรดิหนิงหันมาทอดพระเนตร ดูเหมือนว่าเพิ่งเห็นหลี่ฝูยี ยิ้มเล็กน้อย "สนมรัก ก็อยู่รึ"
หลี่ฝูยีกล่าวอย่างรวดเร็วว่า "เพคะ หม่อมฉันได้ยินฝ่าบาทเอ่ยถึงองค์หญิงหยุนชางอยู่บ่อยๆ ทันทีที่ได้ยินว่าองค์หญิงกลับวังแล้ว ก็รีบมาขอเข้าเฝ้าเพคะ"
หยุนชางยิ้มและกล่าวว่า "ชางเอ๋อร์ยังมิได้แสดงความยินดีกับเสด็จพ่อเลยที่มีเหม่ยเหรินอีกท่าน ฝูเหม่ยเหรินงามมากเพคะ"
จักรพรรดิหนิงยิ้มอย่างเก้อเขิน เมื่อได้ยินหยุนชางไอเล็กน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะไม่ขมวดพระขนง และใช้พระเนตรมองไปที่ฝูเหม่ยเหริน รู้สึกเพียงว่าหยุนชางเดินทางมาอย่างไม่หยุดเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน และไม่สบาย แต่ฝูเหม่ยเหรินกลับมารบกวนโดยไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมจริงๆ จึงหันไปตรัสกับฝูเหม่ยเหรินว่า "เจ้าไปที่วังของไท่เฟยก่อน เมื่อครู่นางเพิ่งถามถึงเจ้า"
เมื่อฝูเหม่ยเหรินได้ยิน นางก็รีบตอบว่า "หม่อมฉันจะรีบไปเพคะ" หลังจากพูด นางก็คำนับจักรพรรดิหนิงและหยุนชางอีกครั้งก่อนจะถอยออกไป
หลังจากที่ฝูเหม่ยเหรินจากไป หยุนชางยิ้มและพูด "ฝูเหม่ยเหรินเป็นหญิงที่งามยิ่งนัก เพียงแต่ว่านางกลับโปรดปรานสีขาวทั้งที่ยังไม่แก่ เมื่อครู่ทำเอาชางเอ๋อร์ตกใจ คิดว่าเกิดอะไรขึ้นในวังแล้วเพคะ"
จักรพรรดิหนิงได้ฟัง นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ฝูเหม่ยเหรินสวมชุดขาวจริงๆ ปกติก็มิได้รู้สึกแปลกพระทัยอะไร ในทางกลับกัน ก็ทรงรู้สึกว่าทำให้ผิวของนางขาวราวกับหิมะ เพิ่มความสง่างามเล็กน้อย แต่วันนี้ พอฟังหยุนชางพูดเช่นนี้ มีความอัปมงคลจริงๆ และใกล้วันเฉลิมฉลองปีใหม่ แต่นางใส่ชุดแบบนี้
เมื่อเห็นว่าการแสดงออกของจักรพรรดิหนิงไม่พอใจเล็กน้อย หยุนชางก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก เปลี่ยนเรื่องพูดว่า "เมื่อครู่ชางเอ๋อร์ได้ยินว่า ในวังยังมีหมิงไท่เฟยเหนียงเหนียงคอยดูแล ไท่เฟยเหนียงเหนียงก็อายุมากแล้ว ยังต้องกังวลเรื่องในวังหลังอยู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพคะ นี่ก็จวนจะปีใหม่แล้ว เกรงว่าคงจะเริ่มยุ่งกันแล้ว"
จักรพรรดิหนิงหันไปทอดพระเนตรหยุนชางและตรัสว่า "ทำไม เจ้าก็ยังอยากให้ข้าปล่อยฮองเฮาออกมารึ?"
ยัง?
หยุนชางยิ้มและกล่าวว่า "ชางเอ๋อร์ยังมิได้พูดออกมา เสด็จพ่อก็ทรงเดาได้แล้ว ฟังน้ำเสียงของเสด็จพ่อ ดูเหมือนว่าไม่ใช่มีเพียงชางเอ๋อร์เท่านั้นที่เอ่ยถึง แต่มีใครเอ่ยถึงอีกหรือเพคะ?" จักรพรรดิหนิงสบพระเนตรกับใบหน้าของหยุนชาง ยิ้มและตรัสว่า "หลี่ฝูยี และเสด็จแม่ของเจ้า…"
เสด็จแม่? หยุนชางหรี่ตาและยิ้มครู่หนึ่ง "เสด็จแม่ไม่ง่ายเลยที่จะดูแลวังหลังในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยขาดตกบกพร่องอะไร ครั้งนี้เป็นเพียงวู่วามไปชั่วขณะ ไม่ใครไม่เคยผิดพลาด หรือเสด็จพ่ออยากกักขังเสด็จแม่ไปตลอดชีวิต?" หลังจากนั้น นางก็แสร้งพูดโดยไม่ตั้งใจ "ท้องของเสด็จแม่จิ่นเฟยก็คงจะใหญ่ขึ้นแล้วด้วยใช่ไหมเพคะ อีกไม่นาน วังจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง"
จักรพรรดิหนิงยิ้มเล็กน้อย "ใช่ ท้องเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆแล้ว ในอีกไม่กี่เดือน ชางเอ๋อร์ก็จะเป็นพี่หญิงแล้ว เสด็จแม่ของเจ้า ข้าบอกนางไปแล้วว่าให้นางดูแลเด็กในท้องของสนมจิ่นให้ดี ถ้าสนมจิ่นคลอดลูกอย่างปลอดภัย ข้าจะปล่อยนางออกมา แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับสนมจิ่นหรือลูกในท้องของนาง ข้าจะปลดตำแหน่งฮองเฮาของนาง"
หยุนชางอดไม่ได้ที่จะตกใจตัวสั่นเมื่อได้ยินเช่นนี้ จักรพรรดิหนิงทรงพระปรีชา พระองค์รู้ว่าตอนนี้คนที่เป็นจุดสนใจที่สุดในวังแห่งนี้คือเสด็จแม่ เด็กที่อยู่ในท้อง ล้วนถูกทุกคนคอยจับจ้อง ไม่รู้ว่าขวางตาผู้คนมากน้อยแค่ไหน เมื่อจักรพรรดิหนิงทรงดำเนินการในลักษณะนี้เช่นนี้ ฮองเฮาจะทรงเก็บเด็กในท้องของเสด็จแม่อย่างสุดความสามารถเพื่อตำแหน่งของตน แต่ว่า ด้วยวิธีนี้ ฮองเฮาจะทรงเกลียดชังเสด็จแม่อย่างแน่นอน ทันทีที่เด็กเกิด เกรงว่าฮองเฮาคงจะเริ่มลงมือ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเสด็จพ่อจะไม่ทรงตรัสเช่นนั้น เสด็จแม่ทั้งสองก็มิอาจอยู่ร่วมกันได้
จักรพรรดิหนิงทรงสนทนากับหยุนชางสักครู่ก่อนจะเสด็จไป หลังจากที่จักรพรรดิหนิงเสด็จไปไม่นาน นางกำนัลก็มารายงานว่า เมิ่งเจี๋ยยวี๋ขอเข้าเฝ้า เมิ่งเจี๋ยยวี๋? หยุนชางมองไปที่ฉินยีด้วยความสงสัย ฉินยีจึงแบะปากและกล่าวว่า "คือฉินเมิ่ง พักหลังฉินเมิ่งก็เป็นที่โปรดปรานอย่างมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นเจี๋ยยวี๋"
เมิ่งเจี๋ยยวี๋… หยุนชางพูดชื่อซ้ำๆอย่างลับๆ และเห็นว่าประตูถูกเปิด ฉินเมิ่งเดินเข้ามาและโค้งคำนับหยุนชาง "หม่อมฉันถวายพระพรองค์หญิงฮุ่ยกั๋ว"
ไม่แทนตนว่าหม่อมฉัน(นางกำนัล)แล้ว…หยุนชางเผยความประชดที่มุมปากของนาง "เมิ่งเจี๋ยยวี๋มิต้องมากพิธี ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เมิ่งเจี๋ยยวี๋ดูดีขึ้นกว่าก่อนที่ข้าจะออกจากวังมาก"
ฉินเมิ่งคุกเข่าลง และกล่าวว่า "หม่อมฉันสามารถมีวันนี้ได้ ล้วนเป็นองค์หญิงประทานให้ทั้งหมดเพคะ ไม่ว่าหม่อมฉันจะอยู่ในตำแหน่งใด องค์หญิงก็จะเป็นเจ้านายของหม่อมฉันเสมอ"
"นาย?" หยุนชางยิ้มเล็กน้อย "ข้าไม่ต้องการคนใช้ที่ไร้ประโยชน์" สายตาของหยุนชางดูเย็นชาเล็กน้อย "คิดว่าเจ้าก็คงรู้แล้วว่า หลี่ฝูยีเพิ่งมา ได้ยินมาว่าพักนี้หลี่ฝูยีเป็นที่โปรดปรานมาก เจ้ากับนางต่างรับความโปรดปรานเช่นกัน ก็ควรสร้างมิตรภาพกับนางให้ดีๆ ต้องรู้ว่า นางเป็นคู่แข่งของเจ้า ถ้าเจ้าเอาชนะนางได้ ค่อยมาพูดกับข้า ข้าเป็นนายของเจ้าตลอดไปสินะ"
ดวงตาของฉินเมิ่งมืดลงเล็กน้อย สักพักจึงตอบรับด้วยเสียงต่ำ แต่พูดด้วยความลังเลเล็กน้อย "แต่ฝูเหม่ยเหรินเป็นน้องสาวของฮองเฮา และเป็นหลานของหมิงไท่เฟยด้วย หม่อมฉันจะ…"
หยุนชางก้มศีรษะลงและเอนตัว เข้าไปพูดข้างหูของฉินเมิ่ง "เจ้ารู้หรือไม่ว่า หลี่ฝูยีเป็นบุตรสาวของนางสนม และนางถูกรังแกในจวนตระกูลหลี่ไม่น้อย ในบรรดาผู้ที่รังแกนางต้องมีฮองเฮา เจ้าเคยช่วยฮองเฮาทำงาน เจ้ารู้นิสัยของฮองเฮาดีที่สุด กับหลี่ฝูยีควรจะมีอะไรพูดสนทนาด้วยถึงจะถูก"
ฉินเมิ่งกัดริมฝีปากของนาง ในสายตาของนางมีความลังเลเล็กน้อย หยุนชางกล่าวอีกว่า "ถ้าข้าคนนี้เป็นเจ้า คงวิ่งไปหาหลี่ฝูยีด้วยน้ำตาที่ขมขื่นและกล่าวขอโทษ โดยบอกว่าเมื่อก่อนเจ้าได้ทำผิดต่อฮองเฮา แต่ตอนนี้จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่า อยากที่จะทูลขอความเมตตาจากฮองเฮา ฮองเฮาทรงพักฟื้นอยู่ ได้ยินมาว่าฝูเหม่ยเหรินและฮองเฮาเป็นพี่น้องกัน ต้องสนิทสนมกันอย่างมากแน่นอน ขอฝูเหม่ย้หรินโปรดช่วยพูดคำชื่นชมสักสองสามคำกับฮองเฮาด้วย แน่นอน เจ้าไม่ควรไปทันทีที่ออกจากตำหนักชิงซิน เจ้าควรไปวนเวียนที่ประตูพระราชวังชีอู๋สักสองสามวันก่อน แล้วบังเอิญพบฝูเหม่ยเหรินที่ไหนสักที…"
ฉินเมิ่งได้ฟังเช่นนี้ ดวงตาของนางเป็นประกาย คุกเข่าคำนับหยุนชางอย่างรวดเร็ว "ฉินเมิ่งเข้าใจดีแล้วว่าต้องทำอย่างไร ฉินเมิ่งจะทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ"
หยุนชางยิ้ม เอนหลังพิงบนฟูกนุ่ม และหรี่มองฉินเมิ่ง "หน้าที่? ข้ามอบหน้าที่ให้เจ้าตั้งแต่เมื่อใดหรือ?"
ฉินเมิ่งพยักหน้าซ้ำๆ "องค์หญิงมิเคยให้เลย…" หลังจากพูด ก็คำนับและถอยออกไป
หยุนชางหรี่ตาของนาง ดูเหมือนว่าหัวจิ้งยังไม่ได้กลับมาเมืองหลวง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวจิ้ง…ในวังแห่งนี้ จะมีชีวิตชีวาขึ้นในไม่ช้า…