ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 104 เกิดเหตุเพลิงไหม้ในกระโจม
จิ้งอ๋องคร่ำครวญครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า "ข้าว่านางเข้ามาที่กระโจมของข้าบ่อยเช่นนี้ คงเป็นเพราะกระโจมของข้ามีบางอย่างที่นางต้องการ ข้ากำลังคิดว่า ในเมื่อชางเจียชิงซูสั่งให้นางมาที่นี่ เขาก็คงต้องอดทนรออย่างแน่นอน หรือว่าเรา…"
หยุนชางกะพริบตา จากนั้นแม่ทัพก็ยิ้มและกล่าวว่า "ฉวยโอกาสโจมตีหรือ?"
จิ้งอ๋องส่ายหน้า "ชายที่มากับหัวจิ้งดูแปลก ๆ วันนี้หมอทหารบอกว่า ตอนที่หัวจิ้งไปพบชายคนนั้น สีหน้าของนางดูเกรงกลัวเล็กน้อย ข้าอยากรู้จริงๆว่าชายคนนั้นเป็นใครกันแน่?นอกจากนี้ หลังกองทัพแย่หลางเป็นเมืองชางหลานของพวกเขา การโจมตีไม่ใช่วิธีที่ดี เอาอย่างนี้ดีกว่า คืนนี้พวกเราไปลอบโจมตีฐานค่ายของแคว้นแย่หลางกันเถิด"
แม่ทัพทั้งหลายต่างก็พยักหน้า จากนั้นจึงวางแผนตามนี้ไป หยุนชางเองก็กระตือรือร้นอยากจะไปเช่นกัน เมื่อจิ้งอ๋องเห็นเช่นนี้จึงยิ้มและหันไปบอกกับหยุนชางว่า "เจ้าต้องอยู่ที่ค่าย และจับตาดูองค์หญิงหัวจิ้งให้ดีๆ…."
หยุนชางยิ้มเล็กน้อยไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาของนางกลับจ้องมองไปบนแผนที่อย่างเงียบๆ
ตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา หัวจิ้งพักอยู่ในกระโจมที่จิ้งอ๋องเตรียมไว้ให้นาง ไม่ได้ออกไปไหนเลย
ตกเย็น จิ้งอ๋องพาทหารออกไปฝึกด้านนอก หยุนชางอยู่ในกระโจมเพียงลำพัง แล้วอ่านหนังสือการทหารที่จิ้งอ๋องวางไว้บนโต๊ะ ยังไม่ทันได้อ่านอะไร ก็ได้ยินเสียงของลั่วติงดังขึ้นจากด้านนอน "องค์หญิงขอรับ ท่านอ๋องมิได้อยู่ในกระโจมขอรับ องค์หญิงโปรดกลับเถอะขอรับ"
"แล้วคุณชายเซียวอยู่หรือไม่? เมื่อวานนี้ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากคุณชายเซียว ข้าจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ วันนี้ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อพบจิ้งอ๋อง แต่มาที่นี่เพื่อขอบคุณคุณชายเซียว" ขณะที่พูด ลั่วติงยังไม่ทันได้พูดอะไร นางก็เปิดประตูกระโจม ทันทีที่เปิดประตูมา ก็เห็นหยุนชางนั่งอยู่ที่โต๊ะและกำลังอ่านหนังสือ สีหน้าของหัวจิ้งดูประหลาดใจเล็กน้อย นางยิ้มและหันไปบอกกับลั่วติงว่า "เจ้าดูสิ คุณชายเซียวอยู่"
ลั่วติงมองไปที่หยุนชางราวกับว่ากำลังขอความช่วยเหลือจากหยุนชาง หยุนชางยิ้มเล็กน้อย "ลั่วติงเจ้าเข้ามารินชาให้ข้าสักถ้วยเถิด"
ลั่วติงพยักหน้า เดินไปหน้าหยุนชางและรินชาให้นาง หยุนชางยิ้มและมองหัวจิ้งที่เดินเข้ามาอย่างเป็นกันเอง นางนั่งบนเก้าอี้แล้วมองดูรอบ ๆกระโจม " ข้าเห็นว่าด้านนอกนั้นมีป้ายแม่ทัพห้อยอยู่ ที่นี่น่าจะเป็นกระโจมของเสด็จลุงใช่หรือไม่ เสด็จลุงบอกว่าเจ้าเป็นที่ปรึกษาทางการทหารของท่าน แล้วเหตุใดเจ้าจึงอาศัยอยู่ในนี้ได้"
หยุนชางเลิกคิ้ว ยกแก้วน้ำชาขึ้นเป่าฟองออก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ท่านจิ้งอ๋องสั่งให้กระหม่อมอาศัยอยู่ที่นี่ กระหม่อมมิสามารถขัดคำสั่งได้ขอรับ ดังนั้นจึงต้องอาศัยอยู่ที่นี่ขอรับ"
หัวจิ้งมองไปที่หยุนชาง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า "คุณชายเซียวดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเสด็จลุงนะ"
หยุนชางไม่ได้พูดอะไร ทิ้งเพียงรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งให้กับหัวจิ้ง
หัวจิ้งขมวดคิ้วและยืนขึ้น "เลิกพูดถึงเรื่องนี้กันเถอะ เจ้ากำลังอ่านอะไรอยู่?" นางพูดพร้อมเดินตรงไปหาหยุนชาง แต่ดวงตาของนางไม่ได้จับจ้องไปที่หนังสือบนมือของหยุนชาง แต่กลับจ้องไปบนกระดาษหนังแพะที่วางซ้อนกันอยู่ข้างๆ
หยุนชางยิ้มมุมปากและเอาหนังสือการทหารในมือวางทับบนกระดาษหนังแพะ " หนังสือทางการทหารเท่านั้นขอรับ ท่านอ๋องไปฝึกทหารแล้ว ข้าว่างจนเบื่อจึงอ่านไปเรื่อยเปื่อยขอรับ"
ดวงตาของหัวจิ้งเป็นประกาย "ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเจ้าเลย หากเมื่อวานนี้ไม่มีเจ้าอยู่ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ คนลอบสังหารที่ชายแดนนี้ช่างใจกล้าเสียจริง"
หยุนชางยิ้มแล้วกล่าวว่า "เป็นหน้าที่ของกระหม่อมขอรับ แต่วันนี้กระโจมนี้มีเพียงกระหม่อมผู้เดียว การที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังนั้นไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ กระหม่อมเกรงว่าหากข่าวนี้ถูกแพร่ออกไป อาจจะกระทบต่อชื่อเสียงขององค์หญิงขอรับ"
หยุนชางเห็นว่าสีหน้าของหัวจิ้งดูหงุดหงิด แต่นางก็ยังยิ้มและพูดกับหยุนชางว่า "คุณชายเซียวพูดถูกเจ้าค่ะ" พูดจบนางก็หันหลังและเดินออกจากประตูกระโจมไป หยุนชางเห็นว่านางเดินไปไกลแล้ว จึงหยิบกระดาษหนังแพะขึ้นมาแล้วคลี่ออก บนกระดาษมีแผนที่ แต่ว่ามันละเอียดมากกว่าแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ บนกระดาษนั้นมีอักขระเขียนไว้ นั่นก็คือคำว่า แผนยุทธศาสตร์
หยุนชางยิ้มเล็กน้อยและวางกระดาษหนังแพะกลับเข้าที่เดิม
ค่ำคืนเริ่มมืดมน จิ้งอ๋องไม่ได้กลับมาที่ค่ายสักที หยุนชางจำได้ว่าพวกเขาวางแผนกันตอนบ่ายก่อนหน้านี้ว่า พวกเขาจะโจมตีค่ายศัตรูในค่ำคืนนี้ นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยและนอนไม่ค่อยหลับ ก็เลยนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ . .
"คุณชาย ท่านจะอาบน้ำหรือไม่เจ้าคะ" หลังฉากกั้นมีคนแปลกหน้าตัวเล็กๆที่แต่งกายเป็นชายเดินออกมา ตั้งแต่ที่หัวจิ้งมา เฉี่ยนอินก็ถูกส่งออกจากค่ายไปเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกค้นพบ และเปลี่ยนเอานางกำนัลที่ชื่อเฉี่ยนเมิ่งมาแทน
หยุนชางพยักหน้าและลุกขึ้นยืน แล้วได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากข้างนอก " ทหาร ทหาร ไฟไหม้!"
หยุนชางยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง ขมวดคิ้ว และเดินออกจากกระโจมไป " เกิดอะไรขึ้น?" ลั่วติงรีบพูดเมื่อเห็นหยุนชางออกมา " เหตุเกิดที่กระโจมรองแม่ทัพขอรับ กระโจนของรองแม่ทัพถูกไฟเผาขอรับ"
หยุนชางมองไปไกลๆ ก็เห็นแสงไฟจาง ๆ นางจึงรีบเดินไปยังที่ที่มีแสงไฟ ก่อนจะไปถึงที่นั่น ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่อ่อนน้อมดังมากจากข้างหลัง "คุณชายเซียว เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?ไฟไหม้ที่ใดเจ้าคะ"
หยุนชางเมินเฉย แล้วเดินไปยืนนึ่งที่หน้ากระโจมที่เกิดเหตุไฟไหม้ มีทหารจำนวนมากรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ แล้วยกน้ำและสาดเข้าที่กระโจมที่กำลังลุกไหม้
"คุณชายเซียว เสด็จลุงล่ะเจ้าคะ?เหตุใดจึงไม่พบเสด็จลุงเลยเจ้าคะ?" หัวจิ้งมองไปรอบๆ และถามซ้ำๆ
หยุนชางขมวดคิ้ว "ท่านอ๋องกำลังหารือกับเหล่าแม่ทัพอยู่ในกระโจม คงมาไม่ได้ในเวลาอันสั้นนี้ขอรับ" หลังจากพูดจบ นางตะโกนถามทหารที่อยู่ข้างๆอย่างเสียงดังว่า "มีใครอยู่ในนั้นหรือไม่?"
ทหารคนหนึ่งนายรีบวิ่งเข้ามาแล้วพูดว่า " ข้าน้อยเป็นผู้ติดตามใกล้ชิดของรองแม่ทัพขอรับ เดิมทีข้าน้อยอยู่ในกระโจม แต่เมื่อเกิดเพลิงไหม้ขึ้นมาจึงรีบวิ่งออกมาขอรับ"
หยุนชางพยักหน้า "เจ้าได้ยินอะไรที่ผิดปกติหรือไม่?ต้นตอเพลิงไฟอยู่ที่ใด?"
ทหารผู้นั้นรีบกล่าวตอบ " ข้าน้อยมิได้ยินอะไรที่ผิดปกติขอรับ ข้าน้อยได้กลิ่นควันก่อน แล้วจึงเห็นเพลิงไฟลุกขึ้นที่หลังโต๊ะทำงานของรองแม่ทัพขอรับ"
โต๊ะทำงาน?หยุนชางนึกขึ้นได้ว่าวันนี้หัวจิ้งพยายามเข้าใกล้โต๊ะในกระโจม นางจึงรีบเปิดประตูกระโจมและอยากจะเข้าไป แต่ด้านในนั้นมีควันเต็มไปหมด ทำให้หยุนชางสำลักควันจนหายใจไม่ออก
"คุณชายเซียว…" ชายผู้ที่บอกว่าตนเป็นผู้ติดตามของรองแม่ทัพก็ห้ามนางไว้ "คุณชายเซียวจะทำอะไรขอรับ?"
หยุนชางขมวดคิ้วและพูดกับทหารที่อยู่รอบๆ ตัวเขาว่า "รีบยกน้ำไปดับไฟโดยเร็วที่สุด เปิดประตูกระโจม ปล่อยให้อากาศถ่ายเทออกไป"
ทหารที่อยู่ข้างๆก็รีบทำตาม ไม่นานไฟก็ดับลง หยุนชางก้าวเข้าไปในกระโจม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปหาผู้ติดตามของรองแม่ทัพแล้วพูดว่า "เจ้ามากับข้า และคนอื่นๆ รออยู่ข้างนอก"
ผู้ติดตามผู้นั้นก็รีบเดินตามเข้าไป หยุนชางหันกลับมามอง แล้วพบว่าหัวจิ้งตามหลังมาเช่นกัน หยุนชางจึงขมวดคิ้ว "องค์หญิงหัวจิ้งรออยู่ข้างนอกเถอะขอรับ ในนั้นอาจจะยังมีประกายไฟอยู่"
หัวจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ถอยออกไป
หยุนชางเดินเข้าไปในกระโจม และเดินตรงไปที่โต๊ะกลับพบว่าหนังสือบนโต๊ะถูกรื้อทิ้ง และมีหนังสือหลายเล่มร่วงอยู่ที่พื้น หยุนชางหยิบหนังสือบนพื้นขึ้นมาแล้วอ้อมไปหลังโต๊ะ และพบว่ากระโจมถูกเผาเป็นรูขนาดใหญ่ อาจเป็นเพราะดับไฟทัน โต๊ะและหนังสือบนนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไร
"ก่อนหน้านี้หนังสือที่อยู่บนโต๊ะนี้ไม่ได้วางเช่นนี้ใช่หรือไม่?" หยุนชางหันกลับไปถาม
ทหารผู้นั้นก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบและกล่าวว่า "ไม่ใช่ขอรับ คงทำล้มตอนดับไฟกระมั้ง และอาจล้มลงเพราะน้ำก็ได้ขอรับ คุณชายเซียวดูนี่สิขอรับ หนังสือเปียกน้ำไปจนหมดเลยขอรับ"
"จริงหรือ?" หยุนชางหรี่ตาลง
"หืม?" ทหารที่อยู่ข้างๆส่งเสียงเบาๆออกมา
หยุนชางหันไป เห็นว่าเขาถือหนังสือสองเล่มในมือ จึงถามเขาว่า "มีอะไรผิดปกติหรือไม่? ของอะไรขาดหายไปหรือ?"
ทหารผู้นั้นส่ายหัว "ไม่มีอะไรขาดหายไปหรือผิดปกติขอรับ เพียงแค่ว่าหนังสือสองเล่มนี้วางไว้บนโต๊ะ และดูเหมือนไม่ได้เปียกน้ำ แต่ข้าน้อยจำได้อย่างชัดเจนว่า เย็นวันนี้ตอนที่ข้าน้อยเก็บกวาดโต๊ะ ตอนนั้นข้าน้อยเก็บเอาหนังสือพิชัยสงครามเหยียนซือไว้ด้านล่างสุด และตอนนี้มันกลับขึ้นมาอยู่เล่มที่สอง ทั้งๆที่หนังสือที่วางอยู่ด้านล่างนั้นกระจัดกระจายไปหมด แต่ตำนานกองทัพอันเกรียงไกรปาฏิหาริย์ที่อยู่ด้านบนอยู่แล้ว กลับยังอยู่ที่เดิมและอยู่ด้านบนสุดอีกด้วย…."
หยุนชางขมวดคิ้ว "เจ้าแน่ใจหรือ?"
ทหารผู้นั้นพยักหน้า"อันที่จริงรองแม่ทัพไม่ชอบอ่านหนังขอรับ ท่านอ่านหนังสือหนึ่งเล่มต้องใช้เวลานาน แต่ท่านชอบหนังสือเล่มตำนานกองทัพอันเกรียงไกรปาฏิหาริย์อย่างมาก ข้าน้อยจึงวางมันไว้บนสุดเสมอ เพื่อให้ท่านหยิบไปอ่านได้ง่าย และรองแม่ทัพก็มีนิสัยที่ต้องวางของทุกชิ้นไว้ที่เดิมด้วยขอรับ….."
หยุนชางพยักหน้า มีแสงประกายแสงวาววับผ่านดวงตาของนาง "เพราะฉะนั้น เจ้าหมายความว่า หนังสือเหล่านี้น่าจะถูกรื้อค้นแล้ว…"