ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 36 จิ้งอ๋อง
คน ๆ นี้เป็นใคร แน่นอนว่าทุกคนรู้โดยไม่ต้องบอกกล่าว เพียงแต่ว่ายังไม่มีใครพูดออกมา หัวจิ้งเองอยู่ไม่นิ่งแล้ว เธอรีบเดินขึ้นไปแล้วคว้ามันมาอย่างรีบร้อน "ถุงหอมนี้เป็นของข้า แล้วไปอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร?"
"ห๊ะ? " โม่จิ้งหรานพึมพำด้วยสีหน้าที่มึนงงและขาวซีดเล็กน้อย "ไม่จริงสิ เป็นไปได้อย่างไร นี่เป็นขององค์หญิงหยุนชางมิใช่หรือ? "
หยุนชางนั่งอยู่บนที่นั่งและได้ยินพูดถึงชื่อของตน เธอจึงมองไปด้วยความประหลาดใจ " ของชางเอ๋อร์งั้นหรือ? ฮ่าฮ่า คุณชายโม่อย่าได้หยอกล้อกับชางเอ๋อรืเลยเพคะ ไม่ปิดบังทุกคน ชางเอ๋อร์นั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเย็บปักถักร้อยเลยแม้แต่น้อย มือของข้าสามารถจับพู่กันได้ แต่ไม่สามารถจับเข็มเย็บปักถักร้อยได้ ยิ่งไปกว่านั้นชางเอ๋อร์อยู่ที่วิหารแคว้นหนิงมานาน ไม่ชอบพกถุงหอมติดตัวเพคะ"
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น? " จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วและถามอย่างเสียงดัง
โม่จิ้งหรานและหัวจิ้งรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว หัวจิ้งก็รีบพูดว่า " เรียนเสด็จพ่อเพคะ ช่วงก่อนหน้านี้ถุงหอมของจิ้งเอ๋อร์ได้หายไปอย่างกะทันหันเพคะ จิ้งเอ๋อร์หาอยู่นานแต่ไม่เจอสักที แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดถุงหอมจึงไปอยู่ที่คุณชายโม่เพคะ"
โม่จิ้งหรานก้กราบอย่างเร่งรีบและกล่าวว่า "นี่ … นี่ … นี่ …ถุงหอมนี้มัน …"
"โม่จิ้งหราน เจ้าเอาถุงหอมนี้มาจากไหน?" จักรพรรดิหนิงดุอย่างโกรธเคือง
โม่จิ้งหรานรีบกราบไปสองสามทีกล่าวว่า "เรียนฮ่องเต้ กระหม่อมเก็บได้ขอรับ"
"เก็บได้งั้นหรือ? " จักรพรรดิหนิงเลิกคิ้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉยเมย " เก็บได้งั้นหรือ? ดีมาก ก่อนหน้านี้หัวจิ้งก็เอ่ยถึงเจ้าในงานเลี้ยงเลี้ยงฉลองชัยชนะแล้ว ตอนนั้นเจิ้นคิดว่าพกวเจ้ารู้จักกันเสียอีก แต่ข้าไม่ได้ครุ่นคิด และไม่คาดคิดว่าถุงหอมของเธอจะมาอยู่ในมือเจ้า ดีมาก! ดี! ดีเหลือเกิน!"
หัวจิ้งรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว "เสด็จพ่อเพคะ ถุงหอมของจิ้งเอ๋อร์หายไปเมื่อสองสามวันก่อนแล้วเพคะ หากเสด็จพ่อไม่เชื่อก็เรียกนางกำนัลมาซักถามได้แล้วจะทราบความจริงเพคะ"
"พอแล้ว คิดว่ายังขายหน้าไม่พออีกหรือ? ยังไม่รีบกลับตำหนักไปคิดทบทวนตัวเองอีก ทั้งวันเอาแต่จัดงานเลี้ยงต่างๆ นาๆ แต่ไปก็ไม่ต้องทำเรื่องไร้สาระพวกนี้อีกแล้ว ฝึกเล่นขิม หมากรุก หนังสือ แล้วก็วาดภาพอยู่ที่ตำหนักเสีย ไปฝึกฝนให้ความคิดของตนดีขึ้น ส่วนโม่จิ้งหราน ลากออกเฆี่ยนยี่สิบที" จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วและดุด้วยความโกรธ
"ฮ่องเต้เพคะ ตอนนี้ท่านไม่มีมูลไม่มีหลักฐาน แล้วลงโทษจิ้งเอ๋อร์เลย แบบนี้คงไม่ดีมั้งเพคะ" ฮองเฮาขมวดคิ้ว
เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็โกรธมากขึ้น " เจ้าเลี้ยงดูหัวจิ้งมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เจ้าเองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรกลับไปคิดทบทวนตัวเองเช่นกัน"
เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนี้ เธอรู้สึกว่าฮ่องเต้ทำให้เธออับอายต่อหน้านางสนมทั้งหลาย มันทำให้เธอนั้นรับมือได้ยาก ในใจเธอจึงมีไฟโกรธชั่วร้ายลุกขึ้นมา เธอลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า " หม่อมฉันรับทราบเพคะ" เธอสะบัดแขนเสื้อและลุกออกจากที่นั่งแล้วจากไป
หัวจิ้งรู้สึกเพียงว่าเหมือนมีฟ้าผ่าลงมา จนทำให้เธอไม่สามารถขยับตัวได้ หลังจากนั้นอยู่นานเธอจึงกล่าวด้วยเสียงเบาว่า " รับทราบเพคะ" หลังจากพูดจบ เธอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไปและเดินออกจากประตูไป
ในขณะนั้น ทุกคนต่างรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงขิมที่แผ่วเบาดังขึ้นมา แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินไม่ค่อยชัด แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ว่า เสียงขิมนั้นเต็มไปด้วยความรักและความรู้สึกผิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นไหวไปตามเสียงนั้น ราวกับว่าทันใดนั้น ทุกคนต่างก็หลงใหลในเสียงขิมนี้ และนานที่ไม่มีใครส่งเสียงออกมา จนกระทั่งเสียงขิมค่อยๆ เงียบหายไป
"ไม่ทราบว่าใครกำลังเล่นขิม แต่ไม่รู้ว่าทำไมเสียงขิมนี้จึงทำให้ฟังแล้วรู้สึกอยากร้องไห้" หยุนชางพูดออกมาเบาๆ เธอเงยหน้าขึ้น อยากเห็นสีหน้าของจักรพรรดิหนิงในขณะนี้ แต่พบว่าเขาหายไปจากบนเก้าอี้มังกรนั้น ซึ่งไม่ทราบว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
"ช่างมันเถิด งานเลี้ยงวันนี้ก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้เถิด" หยุนชางถอนหายใจออก ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากหอหมิงเยว่ไปพร้อมกับฉินยี
หลังจากออกได้สักพัก หยุนชางก็ถามด้วยเสียงเบาๆ ว่า " เสด็จแม่ อยู่ที่ใด?"
ฉินยีได้ยินเช่นนี้แล้วชี้ไปที่ศาลาเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปไกล " ท่านอยู่ในศาลานั้น ตรงนั้นมีคนน้อย ท่านบอกว่าไม่มีคนมาพบอย่างแน่นอน"
หยุนชางพยักหน้าและเดินตรงไปที่ศาลานั้น
เมื่อเดินไปยังตำแหน่งที่ห่างจากศาลาประมาณสิบเมตร ก็ได้เห็นเงาร่างสองร่างยืนอยู่ในศาลา เงาร่างหนึ่งอันดูเล็ก และอีกหนึ่งอันดูมีสง่า ฉินยีอุทานแล้วปิดปากและพูดว่า "นั่นคือฮ่องเต้"
หยุนชางเองก็เห็นเช่นกัน เธอยืนอยู่กับที่และมองดูอยู่เงียบๆ เธอเห็นผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองไปที่จักรพรรดิหนิง นานมากทั้งสองไม่ขยับหรือส่งเสียงใด ๆ เลย เวลาผ่านไปอยู่นาน ก็เห็นจักรพรรดิหนิงยกมือขึ้น เช็ดไปที่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น มีความสงสารและเป็นห่วงอยู่ในน้ำเสียง "อย่าร้องไห้ เมื่อเจ้าร้องไห้ขึ้นมา ข้าเองก็ไม่ทราบว่าจะทำเช่นไร"
หลังจากพูดจบ เขาก็ดึงผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในอ้อมแขน
หยุนชางยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าดวงตาของเธอเหนื่อยล้าเล็กน้อย เธอกระซิบเบา ๆ ว่า "เมื่อพวกเขาได้พบกันในยามเช่นนี้ มันดียิ่งกว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้"
"องค์ …องค์หญิง" เสียงสั่นของฉินยีดังเข้ามาที่หูของเธอ หยุนชางขมวดคิ้ว เธอหันหน้าไป แต่สายตาของเธอไปพบกับดวงตาที่เย็นชาคู่หนึ่ง หยุนชางถึงกับผงะ
นานกว่าเธอจะกล่าวด้วยเสียงเบา "จิ้งอ๋อง … " เธอชะงักแล้วกล่าวอีกครั้งว่า "ข้าควรจะเรียกท่านว่า เสด็จอาใช่หรือไม่"
จิ้งอ๋องเหลือบมองไปที่หยุนชาง จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไป หยุนชางอ่านสายตานั้นออก สายตานั้นบอกว่า "ตามข้ามา"
หยุนชางตกตะลึง แต่เมื่อเห็นว่าเงาร่างนั้นหันกลับมามองเธออีกครั้ง หยุนชางจึงได้ยืนยันว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นไม่ผิด ร่างกายของเธอหยุดชะงักไปสักพัก แต่ก็เดินตามเขาไป "ฉินยี เจ้ากลับไปที่ตำหนักชิงซินก่อนเลย"
"แต่ … แต่องค์หญิง … " ฉินยีลังเลเล็กน้อย เธอมองไปที่จิ้งอ๋อง จากนั้นก็มองไปที่หยุนชาง
"ไม่เป็นไรหรอก กลับกันเถอะ" พูดจบ เธอก็ก้าวออกไป และตามฝีเท้าที่จิ้งอ๋องจงใจชะลอไป
จิ้งอ๋องพาหยุนชางไปที่หอจายซิงซึ่งอยู่ห่างจากหอหมิงเยว่ หอจายซิงนั้นมีชื่อเสียงในด้านความสูงและเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมดวงจันทร์ แต่ไม่รู้ว่าทำไม หอจายซิงนี้ถึงได้ร้างมากกว่าหอยหมิงเยว่ไปเยอะเลย
หยุนชางยืนอยู่บนยอดหอจายซิน จึงจะเริ่มรู้สึกได้ว่าคำกลอนที่ว่า จับดวงดาวด้วยมือของเรานั้น มันไม่ได้เป็นเพียงแค่บทกวี แต่ว่าลมบนหอจายซิงนั้นแรงกว่าข้างล่างไปเยอะมาก
"ไม่ทราบว่าเสด็จอาพาชางเอ๋อร์มาที่เพื่อ?" หยุนชางดึงสายตากลับไป และมองไปที่ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน
จิ้งอ๋องหันหน้ามามองหยุนชาง จากนั้นก็หันกลับไป โดยไม่ตอบเธอ เมื่อหยุนชางคิดว่าชายคนนี้คงไม่สามารถพูดได้ จู่ๆ เขาก็เอ่ยปาก " ข้าไม่ได้เจอใครที่น่าสนใจเท่าเจ้ามานานแล้ว "
หยุนชางตกตะลึง แต่เธอไม่รู้ว่าจิ้งอ๋องพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ผ่านไปอยู่นาน เธอจิ้งยิ้มออกมา "เสด็จอาชื่นชมมากเกินไปเพคะ"
จิ้งอ๋องนิ่งเงียบไปอยู่นาน "ในวันที่ข้ากลับมาที่พระราชวัง เพราะข้าทราบว่าจะมีคนซุ่มโจมตี เพราะเหตุนี้ ข้าจึงพาพวกพ้องของข้าเดินทางช้าไปสักพัก ช่วงเวลานั่นแหละ ทำให้ข้าได้เห็นบางอย่าง……" จิ้งอ๋องหันมามองหยุนชางด้วยสายตาที่มีอะไรบางอย่าง "สิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก"
หยุนชางหยุดชะงัก เธอหรี่ตาลง มีประกายของความโหดร้ายนั้นฉายอยู่ในดวงตาของเธอ แต่เธอกลับได้ยินจิ้งอ๋องหัวเราะขึ้นมา "ทำไมเหรอ อยากฆ่าข้างั้นหรือ? หึหึ ตอนนี้เจ้ายังไม่มีความสามารถนั้น"
หยุนชางกัดฟันและก้มหน้าลง และผ่านไปอยู่นาน เธอก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย "เสด็จอาคิดมากเกินไปเพคะ ชางเอ๋อร์จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ"
"เสด็จแม่ของเจ้าเป็นคนที่ฉลาด เธอรู้วิธีที่จะรักษาจุดมุ่งหมายเดิมของเธอไว้ยังไงเมื่ออยู่ในวังหลังนี้ แล้วเจ้าจะดึงเธอมาลงไปในน้ำโคลนนี้ทำไม? " จิ้งอ๋องไม่ได้พูดต่อ แต่กลับพูดเรื่องอื่นขึ้นมา
"เสด็จแม่?" หยุนชางผงะอีกครั้ง เธอรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยในใจ ไม่รู้ทำไม เธอรู้สึกว่าเธอดูทำอะไรไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จอาท่านนี้ ราวกับว่าเขารู้ความคิดทั้งหมดของเธอ แต่เธอนั้นกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย มันแย่มาก
หยุนชางสงบสติลงชั่วคราว จึงกล่าวว่า "ข้าไม่ทราบว่าเสด็จแม่นั้นเป็นคนที่ฉลาดหรือไม่ ข้ารู้เพียงว่านางเสียเวลาอยู่ในวังนี้มากว่าสิบปีแล้ว สตรีนั้นจะมีเวลาสักกี่สิบปีเชียว หากว่าต่อไปนี้เธอต้องใช้ชีวิตในวังเย็นนั่น สู้อยู่อย่างเต็มที่จะดีกว่า บางทีเรื่องต่างๆ มันก็ไม่ได้สำคัญเช่นนั้น สิ่งที่สำคัญคือ จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ข้าหวังว่าเสด็จแม่ของข้าจะได้เป็นที่รักของคนนับพันคนโดยไม่ต้องถูกละเลย จนกระทั่งที่สองแม่ลูกแท้ๆ อยากเจอกันยังเป็นเพียงแค่ความฝันที่เกิดขึ้นได้ยาก"
หยุนชางมองไปที่เงาร่างที่ปรากฏอยู่ในศาลาที่อยู่ห่างออกไป เธอยิ้มออกมาเล็กน้อย "อีกอย่าง ข้าเพียงแค่โอกาสให้เสด็จแม่ได้เลือก ส่วนจะเลือกอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับใจของเธอ"
จิ้งอ๋องเงียบอยู่นาน แล้วจึงจะหันกลับมาและพูดกับเธอว่า " ที่นี่ลมแรง กลับไปพักผ่อนเถอะ" หลังจากพูดจบเขาก็หันกลับไปและลงจากหอไป