ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 35 แสดงความสามารถพิเศษในพิธีบรรลุนิติภาวะ
คนที่พูดนั้นคือจิ้งอ๋อง
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้า "วิธีการของพระอนุชานั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก ชางเอ๋อร์ เจ้าก็วาดภาพมาอีกหนึ่งภาพต่อหน้าเหล่าขุนนางแล้วกันนะ"
หยุนชางคร่ำครวญสักครู่ ยังไม่ทันได้ตอบ ก็ได้ยินเสียงของหลี่ลั่วอีกครั้ง "หรือว่าองค์หญิงฮุ่ยกั๋วทรงกลัวที่จะวาดภาพ? ของปลอมก็ยังเป็นของปลอม ไม่มีทางเป็นจริงได้หรอก องค์หญิงคิดว่าอย่างไรขอรับ?"
หยุนชางยิ้มออกมาเล็กน้อย นางไม่ได้ตอบ เพียงแต่เงยหน้าขึ้นและมองไปที่จักรพรรดิหนิง "เสด็จพ่อเพคะ ผู้ที่บริสุทธิ์ย่อมรู้ตนเอง แต่ทว่ามักจะมีผู้คนที่ต้องการสร้างความวุ่นวาย หากเป็นเช่นนั้นชางเอ๋อร์ก็อยากจะเดิมพันกับพวกเขาเพคะ หากว่าอยากเล่นจริงๆ ก็เล่นอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้ ถ้าหากชางเอ๋อร์สามารถวาดภาพนั้นออกมาได้ คุณชายท่านนี้จะต้องทำอะไรบางอย่างให้ชางเอ๋อร์ หากว่าช่างเอ๋อร์แพ้ เช่นนั้นชางเอ๋อร์จะทำอะไรบางอย่างเพื่อคุณชายผู้นี้ ไม่คืนคำอย่างแน่นอนเพคะ คุณชายคิดว่าอย่างไรเพคะ?"
หลี่ลั่วยิ้มเยาะเย้ย "ตกลงขอรับ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้านั้นสามารถวาดภาพฝีมือเช่นนี้ออกมาได้"
ทันทีที่หลี่ลั่วพูดจบ ก็มีเสียงดังขึ้น "พวกเรายินดีที่จะเดิมพันกับองค์หญิงขอรับ และเราขอพนันว่าหลี่ลั่วจะชนะ"
หยุนชางพยักหน้า และสั่งหัวหน้าเจิ้งว่า " รบกวนท่านหัวหน้าช่วยข้าจนบันทึกไว้ด้วยเพคะ"
และก็มีผู้คนอีกมากมายเข้าร่วมการเดิมพันครั้งนี้ด้วย แต่พวกเขาทั้งหมดเป็นทีมของหลี่ลั่ว เมื่อหัวหน้าเจิ้งลงบันทึกได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็มีเสียงที่เย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง " ข้าเองก็ร่วมด้วยแล้วกัน ข้าพนันว่าองค์หญิงฮุ่ยกั๋วชนะ"
การเข้าร่วมของจิ้งอ๋องทำให้สถานการณ์นั้นดุเดือดขึ้นมาทันที หลังจากที่หัวหน้าเจิ้งจนบันทึกเรียบร้อยแล้ว หยุชางก็รับกระดาษจากหัวหน้าเจิ้งและส่งให้จักรพรรดิหนิง กล่าวว่า "หม่อมฉันขอให้เสด็จพ่อทรงเป็นพยานแก่ชางเอ๋อร์ด้วยเพคะ"
"ได้" จักรพรรดิหนิงเห็นด้วยทันที เขากลับไปนั่งที่เก้าอี้มังกรของตน " นำหมึก หินบดหมึก พู่กัน และกระดาษ มาให้องค์หญิง"
มีนางกำนัลนำหมึก หินบดหมึก พู่กัน และกระดาษขึ้นมา หยุนชางหยิบพู่กันขึ้นมาและยิ้ม "ดอกบัวข้าเคยวาดแล้ว นอกจากดอกบัวแล้ว ชางเอ๋อร์ยังชอบดอกไอริสอีกด้วย นั่นเป็นดอกไม้ในตำนานที่บานบนหน้าผ่าข้างแม่น้ำ วันนี้ก็วาดดอกไอริสแล้วกัน "
หลังจากพูดจบ นางก็เริ่มลงมือ แววตาของทุกคนจับจ้องไปที่มือของหยุนชาง นางลงมือวาดภาพอย่างแน่วแน่เฉียบขาด โดยไม่มีการลังเลใดๆ แทบไม่ต้องคิดใด ๆ เลย ราวกับว่ารูปร่างของดอกไอริสนั้นได้พิมพ์ลงในสมองของนางแล้ว ราวกับว่าวาดมานับครั้งไม่ถ้วน หยิบจับมันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เวลาผ่านไปไม่นาน หยุนชางก็วางพู่กันลง และมีนางกำนัลเข้ามานำภาพที่หยุนชางวาดแสดงให้ทุกคนได้เห็น
บนใบหน้าของจักรพรรดิหนิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ขุนนางหนวดขาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าผู้คนอย่างเงียบๆ มาตลอดก็เอ่ยปากว่า " ไท่ฟู่ เจ้าเป็นผู้ที่มีความรู้มากที่สุดในพระราชวังนี้ และเจ้ายังช่ำชองเรื่อง ขิม หมากรุก การเขียน และการวาดภาพอีกด้วย เจ้าลองมาพิสูจน์ว่าภาพวาดดอกบัวชิ้นก่อนกับภาพดอกไอริสนี้เป็นภาพที่วาดจากคนคนเดียวกันหรือไม่ "
ไทฟู่ตอบอย่างรวดเร็ว " หม่อมรับทราบขอรับ" หลังจากพูดจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าและเปรียบเทียบอย่างละเอียด
เวลาผ่านไปอยู่นาน เขาจึงหันไปกล่าวต่อจักรพรรดิหนิงว่า " ทูลฝ่าบาทพะยะค่ะ แม้ว่าภาพดอกไอริสนี้จะวาดออกมาอย่างเร่งรีบ และรายละเอียดของจังหวะการลงแปรงนั้นจัดการได้ไม่ดีนัก แต่รูปแบบนั้นเป็นเหมือนกับภาพดอกบัวชิ้นนี้พะยะค่ะ อีกทั้ง ทั้งสองภาพวาดนี้มีจุดเด่นที่เหมือนกัน นั่นก็คือการลงพู่กันอย่างหนัก และเก็บปลายพู่กันได้อย่างธรรมชาติ เป็นผลงานจากคนคนเดียวกันพะยะค่ะ"
"เป็นไปได้อย่างไร? " สีหน้าของหลี่ลั่วดูแย่ลง เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปที่ภาพวาดทั้งสองและมองดูอยู่นาน ก่อนจะขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่เต็มใจว่า "ข้าแพ้แล้ว" เมื่อพูดจบ เขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ช่างเอาแต่ใจเสียจริง …
หยุนชางจ้องมองไปที่จักรพรรดิหนิงที่นั่งบนเก้าอี้มังกร พบว่ามีความไม่พอใจอยู่ในแววตาของเขา หยุนชางก้มหน้าลงและยิ้มมุมปากเล็กน้อย คนที่เอาตัวเองเป็นใหญ่เช่นนี้ คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
"ขอบคุณสำหรับความเชื่อมั่นของทุกท่านเพคะ ต้องขออภัยจริงๆ เพคะทีชนะทุกคนไป แต่ทว่า การเดิมพันที่ข้าได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้ก็เป็นเพียงคำพูดหยอกล้อ คนที่แพ้ให้กับชางเอ๋อร์ ชางเอ๋อร์ถือว่าเป็นโมฆะ แต่ว่าเมื่อสักครู่นี้จิ้งอ๋องก็เข้าร่วมด้วย หนี้ที่ทุกคนติดจิ้งอ๋อง ชางเอ๋อร์ไม่กล้าตัดสินใจแทนเพคะ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทุกคนชมการแสดงเสียดีกว่า เสด็จแม่เพคะ ให้นางรำขึ้นมาเต้นรำเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศเถิดเพคะ " หยุนชางยิ้มและพูดด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ทุกคนนั้นไม่กล้าดูถูกนางอีกต่อไป
"อืม" แววตาของหยวนเจินฮองเฮากวาดไปทั่วใบหน้าของหยุนชางอย่างแผ่วเบา ไม่มีการแสดงออกใด ๆ บนใบหน้าของนาง นางเพียงแค่ยิ้มและปรบมือ จากนั้นนางรำก็เข้ามาและเริ่มเต้นรำ
หยุนชางค่อยๆ เดินกลับไปที่ที่นั่งของตน ทันทีที่นั่งลงนางก็ได้ยินหัวจิ้งที่อยู่ข้างๆ ดังขึ้น "ไม่คาดคิดว่าน้องสาวจะมีฝีมือเช่นนี้ ช่างทำให้พี่ตื่นเต้นเสียจริง"
หยุนชางหันหน้าไปและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า " มันเป็นเพียงความชอบยามว่างเพคะ เจ้าอาวาสอู๋น่ามักจะบอกว่าสิ่งที่ข้าวาดนั้นไม่มีชีวิตชีวา ข้าจึงไม่กล้าที่จะเอามาแสดง เมื่อสักครู่นั้นเป็นเพราะว่าจิ้งอ๋องพูดขึ้นมา เสด็จพ่อทรงออกพระราชโอการด้วย ไม่มีทางเลือกจึงได้ … "
"ไม่มีทางเลือก" หัวจิ้งพึมพำซ้ำ มีประกายแห่งเจตนาฆ่าปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่หยุนชางรับรู้ได้พอดี
หลังจากร้องเพลงและเต้นรำจบไป นางรำเพิ่งออกจากห้องโถงไป ก็มีเสียงก็ดังขึ้นมาว่า " วันนี้เป็นวันบรรลุนิติภาวะขององค์หญิงฮุ่ยกั๋ว กระหม่อมไม่มีความสามารถ แต่กระหม่อมยินดีที่จะบรรเลงเพลงหนึ่งเพลงให้กับองค์หญิง หวังว่าองค์หญิงจะชอบขอรับ"
หยุนชางชะงัก นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผ่านเข้ามาในหัวใจของนาง มันเจ็บมาก สิ่งที่ต้องเผชิญก็มาจนได้ ชาติที่แล้ว เพราะเพลงหนึ่งเพลงที่บรรเลงของเขา ดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยความเสน่หา ทำให้นางหลง จนนำไปสู้ก้นบึ้งที่มิอาจดึงตัวเองขึ้นมาได้ ชาตินี้ เดิมคิดว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แต่ไม่คาดคิด สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น ก็เกิดขึ้นจนได้…..
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หยุนชางอีกครั้ง หยุนชางยังไม่ตอบ ก็ได้ยินหัวจิ้งยิ้มและพูดว่า " ชางเอ๋อร์นั้นช่างมีวาสนาเสียจริง ลูกชายของตระกูลโม่นั้นถือเป็นยอดชายอันดับต้น ๆ ในพระราชวังนี้เชียวนะ หญิงสาวที่ดีงามนั้นถือเป็นหญิงสาวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสุภาพบุรุษ และคุณชายเองก็มีวิสัยทัศน์ที่ดีจริงๆ ชางเอ๋อร์อย่าได้ทำให้ความหวังดีของคุณชายโม่เสียเปล่านะ"
หยุนชางยิ้ม "ชางเอ๋อร์ขอขอบพระคุณเพคะ ข้าเคยได้ยินเสด็จพี่พูดถึงคุณชายท่านนี้อยู่บ่อยครั้ง วันนี้ได้มีโอกาสพบเจอ ช่างสมกับที่เขาเลื่องลือกันเสียจริง เชิญได้เลยเพคะ……"
โม่จิ้งหรานพยักหน้า และนั่งลงตรงเครื่องขิม แววตาของเขาจ้องมองไปที่หยุนชางตลอดเวลา มือของเขาเริ่มขยับ และเสียงขิมก็ดังขึ้น " มีผู้หญิงสวยในอดีตที่เคยพบ และเมื่อพบก็ไม่มีวันลืม … "
หยุนชางก้มหน้าลง คิดถึงเรื่องราวในชาติที่แล้วของตนและโม่จิ้งหราน ตั้งแต่รู้จักกันจนแต่งงาน และหักหลังกัน ภาพเหล่านั้นมันวิ่งผ่านดวงตาของนาง หยุนชางกัดฟันไว้แน่น เสียงขิมที่ดังเข้ามาในหูก็ซึ้งใจมากขึ้น แต่ความเกลียดชังในใจกลับเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเพลงจบลง ทุกคนไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร หยุนชางเองก็ไม่ได้พูดเช่นกัน เวลาผ่านไปนาน นางจึงเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มว่า " ไพเราะอย่างมาก แต่เสียดายที่ชางเอ๋อร์ไม่มีความรู้ด้านนี้ เสียดายความหวังดีของคุณชายเลยเพคะ"
โม่จิ้งหรานได้ยินเช่นนี้ แววตาของเขาก็มืดมนลงเล็กน้อย เขาลุกขึ้นยืน และกำลังจะถอยออกไป แต่ดันมีถุงหอมร่วงลงมาจากแขนเสื้อและตกลงไปที่พื้น โม่จิ้งหรานดูเหมือนจะไม่รู้สึกตัว คนที่อยู่ใกล้ๆ จึงหยิบมันขึ้นมา "คุณชายโม่ ถุงหอมของท่านร่วงลงมาเพคะ"
โม่จิ้งหรานหยุดเดิน แล้วหันกลับไป "หือ? จริงหรือ? "
คนที่เก็บถุงหอมขึ้นมาคือหญิงวัยกลางคน ขณะที่กำลังจะยื่นให้เขา แต่จู่ๆ นางก็พบบางสิ่งบางอย่าง จึงขมวดคิ้วและพูดว่า "เอะ ทำไมรู้สึกว่างานเย็บปักบนถุงหอมนี้เหมือนกับชิ้นงานเมื่อสักครู่จัง?"
ทันทีที่พูดจบ ทุกคนก็มองไปทางนั้น "ใช่จริงด้วย เป็นงานปักหูหนาน ทักษะการเย็บนี้ ฝีมือการเย็บนี้ คงมีคนเดียวเท่านั้นที่….."