ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 32 งานเข้าอีกแล้ว
สิ่งที่ต้องเผชิญนั้นก็เกิดขึ้นจนได้ หยุนชางหรี่ตาลง มีแสงประกายแวบผ่านดวงตาของนาง
หยุนชางจิบชาผลไม้และพูดพร้อมยิ้ม "เสด็จพี่ช่างทราบเกี่ยวกับองค์ชายของแต่ตระกูลในพระราชวังนี้อย่างมากเลยนะเพคะ " นางหยุดชั่วขณะแล้วก็ก้มหน้าลงและกระซิบเบาๆ ว่า " ก่อนหน้านี้ชางเอ๋อร์ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วิหารแคว้นหนิงมาตลอด ตอนนี้เพิ่งกลับเข้าพระราชวังมา น้องไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนเหล่านี้สักเท่าไหร่ เรื่องอภิเษกสมรสนี้ ให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทรงตัดสินใจจะดีกว่า น้องคิดว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่คงไม่ปล่อยให้ชางเอ๋อร์ต้องทุกข์ใจหรอกเพคะ"
ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดแรกของหยุนชาง สีหน้าของจักรพรรดิหนิงก็เปลี่ยนทันที ใครๆ ก็ทราบดีว่าองค์หญิงหัวจิ้งนั้นทรงอภิเษกมีพระสวามีแล้ว แต่นางก็ยังรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับบุตรชายของตระกูลอื่นๆ เห็นได้ชัดว่านางมีแววที่จะเป็นหญิงไม่รักนวลสงวนตัว
หัวจิ้งยังไม่รู้สึกตัว นางกล่าวพร้อมยิ้ม " น้องสาวลองดูก่อนดีกว่านะจ้ะ"
หยุนชางไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่นางรู้สึกว่ามีสายตากำลังจ้องมองมาที่นาง สายตานั้นแพรวพราวเกินไป จะไม่ให้นางรู้สึกตัวก็คงยาก หยุนชางหันหน้าไป แล้วเห็นจิ้งอ๋องจ้องมาที่ตนอย่างไม่ละสายตา หยุนชางตกตะลึงเล็กน้อยกับสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความเย็นชา
โชคดีที่ฮองเฮาทรงเอ่ยปากได้ทันเวลาพอดี เบี่ยงเบนหัวข้อการสนทนาไป " ข้าได้ยินมาว่าจิ้งอ๋องถูกลอบสังหารระหว่างเดินทางกลับวังในวันนี้หรือ โชคดีที่ท่านอ๋องปลอดภัยไม่ได้เป็นกระไรไป เดี๋ยวนี้เหล่าผู้ร้ายนั้นใจกล้าเกินไป"
"พระอนุชาถูกลอบสังหารงั้นหรือ? เกิดขึ้นที่ใดหรือ?" จักรพรรดิหนิงถามอย่างรีบร้อนเมื่อได้ยินเช่นนี้
จิ้งอ๋องละสายตาออกจากนาง ยิ้มและตรัสว่า "ที่ชิงเฟิงหลิงพะยะค่ะ"
"ชิงเฟิงหลิง? " หัวจิ้งร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ " วันนี้ที่ชางเอ๋อร์กลับมาจากวิหารแคว้นหนิงก็ต้องผ่านชิงเฟิงหลิงเช่นกันใช่หรือไม่? ชางเอ๋อร์ไม่เป็นใช่ไหม?"
หยุนชางยิ้มเล็กน้อย " อาจจะเป็นเพราะชางเอ๋อร์เดินทางผ่านในเวลาที่ไม่ตรงกันกระมั้ง ไม่ได้พบเรื่องกระไรเลยเพคะ การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นเพคะ"
"หากเป็นเช่นนั้นก็ดี" หัวจิ้งเอามือทาบอก
"อย่าพูดถึงเรื่องที่กดดันเช่นนี้อีกเลย เพลงและการแสดงเต้นรำนี้หยุดไว้ไม่ได้นะเพคะ" ฮองเฮายิ้มและปรบมือ และเสียงของซือจู่ก็ดังขึ้น ทุกๆ คนก็เริ่มดื่มด่ำกับงานเลี้ยงค่ำคืนนี้
หยุนชางนิ่งไปสักพัก เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังดื่มอย่างเพลิดเพลิน นางจึงลุกขึ้นและพาฉินยีออกจากห้องโถงในตำหนักใหญ่ไป
"องค์หญิงเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ท่านจิ้งอ๋องมองมาที่ท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ? " ฉินยีเดินตามหลังหยุนชางไปและเอ่ยปากถามอย่างกะทันหัน
หยุนชางชะงักและขมวดคิ้ว "เจ้าเองก็รู้สึกเช่นกันใช่หรือไม่?"
ฉินยีได้ยินเช่นนี้ ก็กังวลใจขึ้นมา "องค์หญิง หรืออาจะจะเป็นเพราะท่านจิ้งอ๋องรู้เรื่องเมื่อเย็นแล้ว?"
"ไม่หรอก" หยุนชางส่ายหัวและขมวดคิ้วเล็กน้อย " พวกเราเดินทางอยู่หลังขบวนของจิ้งอ๋อง ข้าถามมาอย่างดีแล้ว ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่กลับไปตรวจสอบหรอก อีกอย่างแม้ว่าพวกเขาจะกลับไปตรวจสอบแล้วเจอบางอย่าง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าข้าใช้นามของจิ้งอ๋องทำเช่นนี้?"
ฉินยีคิดสักพักแล้วพยักหน้าพร้อมพูด " บางทีเราอาจจะกังวลมากเกินไป"
ทั้งสองเดินตามถนนแล้วตรงไปที่ตำหนักชิงซิน ในค่ำคืนที่มืดสลัว หยุนชางก็เห็นคนสองคนในศาลาเล็ก ๆ ริมทะเลสาบ คนหนึ่งนั่งอยู่และอีกคนยืนอยู่ เงาร่างของคนนั่งอยู่นั้นค่อนข้างคุ้นตา หยุนชางหยุดเดิน ฉินยีกำลังจะถาม แต่หยุนชางหันกลับมาปิดปากของนาง หยุนชางลากฉินยีไปซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ และกระซิบกับฉินยีว่า "งานเลี้ยงฉลองชัยชนะก่อนหน้านี้ ซู่เฟยไปเข้าร่วมหรือไม่? "
ฉินยีครุ่นคิดสักครู่ จึงจะส่ายหัวแล้วตอบว่า " หม่อมฉันไม่เห็นซู่เฟยเหนียงเหนียงนะเจ้าคะ"
"นางกำลังทำอะไรอยู่ที่นั่นในเวลานี้" หยุนชางพึมพำเสียงต่ำ แต่ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังมา หยุนชางหูตั้งขึ้นมาและตั้งใจฟัง แต่นางได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้น ฟังน้ำเสียงแล้วคงจะเป็นนางกำนัลในวัง ได้ยินนางพูดว่า " เหนียงเหนียง กลับไปเถอะเจ้าค่ะ วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะของจิ้งอ๋อง ฮ่องเต้และฮองเฮาอยู่ที่นั่นทั้งคู่ เขามาไม่ได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ"
"เขา? " มีแสงประกายฉายขึ้นในดวงตาของหยุนชาง หรือว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังคอยช่วยนางตัดสินเรื่องต่างๆ?
"ข้าไม่ได้เจอเขามานานแล้ว ข้าแค่อยากพบเขาเท่านั้นเอง " เสียงของซู่เฟยเสียดายและเศร้าโศกเล็กน้อย ผ่านไปอยู่นานนางถอนหายใจออกอย่างแผ่วเบา "ช่างมันเถอะ ในที่สุดครั้งนี้ก็กลับมาที่พระราชวังแล้ว และคงจะยังไม่จากไปในเวลาโดยเร็วนี้ ยังไงก็คงมีโอกาส กลับไปเถอะ หากมีคนมาพบเห็นเข้า ก็จะเกิดเรื่องกวนใจอีกมากมาย"
ทันทีที่พูดจบ ซู่เฟยก็ยืนขึ้น รวบเสื้อคลุมของนางขึ้นมาและออกจากศาลาไป
หยุนชางมองไปที่เงาร่างที่ลอยหายไปในยามค่ำคืนนี้ นางหรี่ตาลง "ไม่ได้เจอมานานแล้ว กลับมาที่พระราชวังแล้ว?" หยุนชางพูดทวนเบาๆ มีกลิ่นอายของความครุ่นคิดเล็กน้อย "หรือว่า……จะเป็นเขา?"
"องค์หญิงกำลังพูดกระไรเจ้าคะ? " ฉินยีได้ยินเสียงพึมพำที่แผ่วเบาของหยุนชาง แต่ได้ยินไม่ชัดว่านางกำลังพูดอะไร นางจึงเอ่ยปากถาม
"ไม่เป็นไร พวกเราก็กลับกันเถอะ" หยุนชางยิ้มมุมปาก แล้วเดินออกมาจากหลังต้นไม้มา จากนั้นก็เดินตรงไปที่ตำหนักชิงซิน พลางคิดในใจว่าพระราชวังแห่งนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ หากไม่ใช่เพราะนางเกิดใหม่อีกครั้ง ตนก็ไม่รู้ว่า เมื่อชาติที่แล้วตนพลาดเรื่องสนุกๆ ไปเยอะมากเลย
ทันทีที่งานเลี้ยงฉลองชัยชนะสิ้นสุดลง พระราชวังก็เริ่มจัดเตรียมพิธีบรรลุนิติภาวะของหยุนชาง เนื่องจากที่หลายปีที่แล้วหยุนชางได้ขอฝนให้กับประชาชน ชื่อเสียงขององค์หญิงฮุ่ยกั๋วนั้นก็เป็นที่เคารพนับถือในหมู่ประชาชนอย่างมาก จักรพรรดิหนิงได้สั่งการไว้เป็นพิเศษว่าพิธีนี้ต้องยิ่งใหญ่ แม้ว่าเรื่องส่วนมากฮองเฮาจะเป็นคนจัดการ แต่หยุนชางซึ่งเป็นตัวหลักในงานนี้ก็ยุ่งมากเช่นกัน
ทั้งวัดตัว เลือกงานปักบนชุดในวันงาน และฝึกมารยาทพิธีของวันงานตามมามา ตลอดทั้งวันนั้นไม่ค่อยมีเวลาพักเลย
"มารยาทในวังนี้ซับซ้อนเกินไป ตอนที่ชางเอ๋อร์อยู่ในวิหารแคว้นหนิงนั้นไม่มีคนคอยจำกัด เคยชินกับมันแล้ว เมื่อได้กลับมาที่พระราชวังอย่างกะทันหันก็รู้สึกมึนงง ขออภัยที่ทำให้เสด็จแม่เป็นกังวลนะเพคะ" หยุนชางยิ้มและกล่าวต่อหยวนเจินฮองเฮา นางคิดในใจ ครั้งนี้หยวนเจินฮองเฮามาหานางอย่างกะทันหัน แน่นอนว่านางไม่ได้แค่มาถามไถ่แค่นั้น
หยวนเจินฮองเฮายิ้มออกมา "พิธีบรรลุนิติภาวะนั้นยิ่งซับซ้อนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น อีกเรื่องหนึ่งนะ ปกติแล้วหญิงสาวที่ทำพิธีบรรลุนิติภาวะนั้นจำเป็นต้องแสดงความสามารถพิเศษต่อแขกที่มาในงาน และงานเลี้ยงในวังหลังพิธีบรรลุนิติภาวะ มีผู้มีเกียรติอยู่มาก ข้าได้เชิญชายหนุ่มที่มีอายุเหมาะสมในเมืองนี้มาจนหมดแล้ว พอถึงตอนนั้นชางเอ๋อร์จะต้องแสดงความสามารถพิเศษออกมาให้เต็มที่เลยนะ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้พบคนที่รักได้ในบัดดล"
หยุนชางตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ และจากนั้นก็กล่าวอย่างลังเลว่า "แต่ทว่า เสด็จแม่เพคะ หลายปีนี้ชางเอ๋อร์อยู่ที่วิหารแคว้นหนิงตลอด นอกจากจะเรียนอักขระบ้างเล็กน้อยกับเจ้าอาวาสแล้ว ก็ทำได้แค่คัดพระคัมภีร์เท่านั้น นอกจากนี้ก็ทำอะไรไม่เป็นแล้วเพคะ……."
"ฉิน หมากล้อม หนังสือ วาดภาพ เย็บปักถักร้อย ฯลฯ ได้ทั้งนั้นเลย มิต้องเข้มงวดมากเกินไป" หยวนเจินฮองเฮายิ้มเล็กน้อย ใบหน้าของนางดูสง่างามและใจกว้าง
หยุนชางก้มศีรษะลงน้ำตาไหลวนอยู่ในลูกตา "แต่ว่า ชางเอ๋อร์ทำอะไรไม่เป็นเลยจริงๆ นะเพคะ ในวิหารนั้นไม่มีอาจารย์ที่สามารถสอนชางเอ๋อร์เล่นฉิน หมากล้อม การประดิษฐ์ตัวอักษรและวาดภาพได้เพคะ การเย็บปักถักร้อยนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยเพค่ะ"
หยวนเจินฮองเฮาได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจออกอย่างแผ่วเบา นางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า " หากเจ้าไม่แสดงความสามารถใดๆ ออกมา ข้าเกรงว่าชื่อเสียงของเจ้าจะได้รับผลเสีย เช่นนี้แล้วกัน เจ้าไปหาภาพวาดมากหนึ่งภาพ ข้าจะบอกกับจิ้งเอ๋อร์ ให้นางปักออกมาให้เจ้า และเมื่อตอนพิธีบรรลุนิติภาวะ เจ้าก็บอกว่าเจ้าเป็นคนปักเอง……"