ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 30 กลยุทธ์
หัวจิ้งเลือกไปที่วิหารแคว้นหนิงในอีกครึ่งเดือนหน้า หยุนชางก็ให้ความร่วมมืออย่างมาก นางให้ฉินยีและฉินเมิ่งช่วยเก็บข้าวของ แต่นางกลับพาฉินยีไปเพียงคนเดียว
ระหว่างทางนั้นเป็นจริงอย่างที่หัวจิ้งพูด พวกนางไม่รีบร้อนเลย พวกนางเดินเล่นไปพักผ่อนไป ระยะทางที่ใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งวัน พวกนางกลับใช้ไปหนึ่งวันเต็มๆ ตอนที่ไปถึงวิหารแคว้นหนิงท้องฟ้าก็มืดแล้ว
ขณะที่เพิ่งเข้าพักที่วิหารแคว้นหนิง และกำลังรับเสวยพระกระยาหารค่ำ ก็ได้ยินพระเณรน้อยในวัดเข้ามารายงานว่ามีคนมีเรื่องด่วนจะขอพบองค์หญิงหัวจิ้ง
หัวจิ้งขมวดคิ้วและให้ชายผู้นั้นเข้ามา ทันทีผู้นั้นเห็นหัวจิ้ง เขารีบถวายบังคมและกล่าวว่า "องค์หญิงขอรับ วันนี้ขณะท่านหญิงที่เดินเล่นในสวนยามบ่ายท่านล้มขาหัก ตอนนี้ที่ตำหนักกำลังวุ่นวาย ท่านพ่อบ้านสั่งให้บ่าวมาทูลองค์หญิง และเชิญองค์หญิงกลับไปที่ตำหนักขอรับ"
"อะไรนะ ท่านแม่ขาหักงั้นหรือ?" หัวจิ้งยืนขึ้นอย่างกะทันหัน หลังจากได้รับคำตอบที่แน่ใจจากบ่าวรับใช้แล้ว หัวจิ้งรีบหันกลับไปและกล่าวขอโทษหยุนชาง " น้องสาว พี่ขอโทษจริงๆ เดิมทีที่พาน้องที่มาวิหารแคว้นหนิงนี้ก็เพื่ออธิษฐานขอพรให้กับพระสวามีของพี่ แต่หารู้ไม่ว่าตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นที่ตำหนักอย่างกะทันหัน พี่จำเป็นต้องเร่งกลับโดยเร็วที่สุด เจ้าสุขภาพไม่ค่อยดี เจ้ารอพักที่วิหารแห่งนี้สักสองสามวันดีหรือไม่ เกวียนม้าและคนบังคับเกวียนม้าพี่จะเหลือไว้ให้เจ้า หากเจ้าต้องการกลับไปที่พระราชวังเมื่อใดเจ้าก็ออกคำสั่งได้ในทันที "
หยุนชางพยักหน้าและพูดเบา ๆ "อืม เสด็จพี่โปรดวางใจได้เลยเพคะ วิหารนี้ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก เสด็จพี่กลับไปได้เลยเจ้าค่ะ เสด็จพี่เดินทางฟ้ามืดเช่นนี้ ต้องระวังด้วยนะเพคะ"
หัวจิ้งกล่าว " ขอบคุณนะ" และนางก็รีบออกไป
หยุนชางเฝ้าดูแผ่นหลังของหัวจิ้งหายไปในความมืดมนนี้ นางจึงยิ้มและนั่งลง และยกชามขึ้นเสวยพระกระยาหารค่ำต่อ
"องค์หญิงเจ้าคะ ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ท่านแม่พระสวามีประสบอุบัติเหตุในเพลานี้ บ่าวรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป เป็นไปได้หรือไม่ที่องค์หญิงหัวจิ้งหวังทำร้ายองค์หญิงในวิหารนี้?" สายตาของฉินยีมองออกไปด้านนอกประตู และกล่าวด้วยความกังวล
หยุนชางไม่ได้ตอบกลับ นางเสวยพระกระยาหารค่ำอย่างเงียบ ๆ จนฉินยียื่นผ้ามานางเอาไปเช็ดมือแล้วจึงกล่าวว่า "นางรู้ดีว่าข้าอาศัยอยู่ในวิหารมาหลายปี หากคิดจะลงมือที่นี่ นั่นไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเสียเลย นางคงไม่มีทางโง่เขลาเช่นนี้หรอก ข้าคิดว่า เพียงแค่ข้าบอกกับคนบังคับเกวียนม้าว่าข้าต้องการกลับวังเมื่อใด เมื่อนั้นก็คงมีมือลอบสังหารคอยอยู่ระหว่างทางกลับวังแล้วล่ะ"
ฉินยีตกใจ และกล่าวพร้อมขมวดคิ้วว่า "ตอนนี้พวกหนิงเชียนอยู่ที่พระราชวัง องค์หญิงมีหม่อมฉันเพียงคนเดียว หากมีการลอบปลงพระชนม์ระหว่างทาง ก็คงอันตรายมากเลยมิใช่หรือเจ้าคะ องค์หญิงเจ้าคะ หรือว่าให้หม่อมฉันแยกทางไปกับองค์หญิง หม่อมฉันออกเดินทางก่อน ไปล่อพวกนั้นออกไป"
หยุนชางยิ้มออกมา "ยัยโง่ พวกเรายังมีเวลาอีกเยอะ ในเมื่อหัวจิ้งบอกแล้วว่าข้าสามารถอาศัยที่วิหารต่อได้อีกหลายวัน ถ้าเช่นนั้นเราก็อยู่ต่ออีกสักสองสามวัน ในสองสามวันนี้ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกนับไม่ถ้วน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้เจ้าเห็น ว่าองค์หญิงของเจ้านั้นได้ฝึกวิชาอะไรมาบ้าง" เจตนาสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาของหยุนชาง ทันใดนั้นมันก็หายวับไป
"องค์หญิงเจ้าคะ เราจะกลับวังกันเมื่อใดเจ้าคะ?"
หยุนชางคิดคำนวณอยู่ในใจ วันนี้เป็นวันที่เจ็ดเดือนกันยายนของปฏิทินจันทรคติ ชาติที่แล้ว เดือนกันยายนของปีนี้มีเรื่องใหญ่อยู่เรื่องหนึ่ง…….
หยุนชางยิ้มมุมปาก "อีกสี่วัน เราจะกลับวังกัน"
หยุนชางอาศัยอยู่ที่วิหารอย่างสงบเป็นเวลาสี่วัน เช้าวันที่ 12 กันยายน หยุนชางก็ให้ฉินยีแจ้งคนบังคับเกวียนม้า เตรียมออกเดินทางกันได้เลย
หัวจิ้งทิ้งทหารสองคนและคนบังคับเกวียนม้าไว้ พวกเขาค่อยๆ ออกเดินทางไปที่พระราชวัง เมื่อออกเดินทางได้กว่าหนึ่งชั่วโมง เกวียนม้าก็เข้าสู่ป่าทึบ ทันใดนั้นเกวียนม้าก็หยุดลง ฉินยีรู้สึกสงสัยจึงเปิดม่านออก และสีหน้าของนางก็ขาวซีดเล็กน้อย " องค์หญิงเจ้าคะ คนบังคับเกวียนม้าและทหารหายไปแล้วเจ้าค่ะ……."
ทันทีพูดจบ นางก็เห็นชายสวมหน้ากากมากกว่าสิบคนขี่ม้าแล้วพุ่งเข้ามา ฉินยีกรีดร้องออกมา " องค์หญิงเจ้าคะ มีมือสังหารเจ้าค่ะ! "
ใบหน้าของหยุนชางสงบนิ่งและกล่าวเบาๆ ว่า "ฉินยี หลับตาลง"
ฉินยีหลับตาลงตามที่นางบอก และนางก็ได้ยินเสียงต่อสู้กันดังมาจากด้านนอก นางใจหวิวอย่างมากแม้ว่าจะรู้สึกสงสัย แต่นางก็ไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมา นางยื่นมือออกไปและคว้าหยุนชางไว้ เพื่อให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไร
จากนั้นเสียงข้างนอกก็ค่อยๆ เงียบลง ฉินยีจึงได้ลืมตาขึ้นมา นางเปิดม่านของเกวียนม้าออกแล้วมองไปด้านนอก นางเห็นซากศพเต็มพื้น ฉินยีสั่นไปทั้งตัว จากนั้นอยู่นาน นางจึงค่อยๆ สงบลงเล็กน้อย แล้วนางก็ตะโกนขึ้นมาอีกว่า "อ๊า…….. " แล้วนางก็รีบลดม่านเกวียนม้าลง หันไปบอกกับหยุนชางว่า
"องค์ … องค์หญิงเจ้าคะ … ด้านนอกนั้นยังมีคน …… อีกเยอะเลยเจ้าค่ะ"
"นายหญิงขอรับ จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ ทหารและคนบังคับเกวียนม้าที่หนีไปก็จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ "ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำก็ดังมาจากข้างนอก
ฉินยียังไม่ทันได้รู้สึกตัว นางก็ได้ยินหยุนชางเอ่ยปาก "ทำได้ดีมาก"
หยุนชางยื่นมือออกไปและผลักประตูเกวียนม้าออก และได้เห็นชายชุดดำคุกเข่าอยู่ข้างนอก
"เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และทำตามที่ข้าได้สั่งในวันนั้น"
"ขอรับ" เหล่าชายชุดดำที่คุกเข่าอยู่ข้างหน้าสุดก็เข้าไปในป่าทึบ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนหลายคนเดินออกจากป่าทึบ ฉินยีจ้องมองอย่างตั้งใจ และพบว่าพวกเขาสวมชุดชุดเดียวกับทหารและคนบังคับเกวียนม้า และอีกคนก็สวมชุดของชายที่ตายไปแล้ว
หยุนชางพยักหน้า "สองสามวันนี้สืบได้หรือยังว่าพวกเขานัดพบกันที่ใด? "
ผู้นำขบวนที่สวมชุดของชายชุดดำที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสักครู่นี้ได้พยักหน้า " ข้าน้อยสืบมาเรียบร้อยแล้วขอรับ"
"อืม ขบวนของจิ้งอ๋องผ่านไปนานหรือยัง?" หยุนชางถามอีกครั้ง
"ครึ่งชั่วโมงแล้วขอรับ" ชายชุดดำกล่าวอีกครั้ง " ขบวนของจิ้งอ๋องก็ถูกซุ่มโจมตีที่นี่เช่นกันขอรับ ด้านหน้านี้เลยขอรับ นายหญิงช่างคาดเดาได้แม่นยำเสียจริงขอรับ"
หยุนชางยิ้มและกล่าวว่า " คาดเดาได้แม่นยำอะไรกัน จิ้งอ๋องมีศัตรูอยู่มากมายในราชสำนัก พวกเขาไม่มีโอกาสได้ลงมือที่ด่านชายแดน ครั้งนี้จิ้งอ๋องกลับมาพร้อมชัยชนะ เขาคงไม่สามารถนำขบวนทหารกลับมาได้ทั้งหมด ดังนั้นเขาคงนำองครักษ์ส่วนตัวมาเพียงเท่านั้น หากว่าอยากลงมือ ป่าทึบที่ต้นไม้หนาแน่นนี้จึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุด รู้ใช่ไหมว่าหากพบนางแล้วควรพูดว่าอย่างไร?"
ชายชุดดำพยักหน้า "ข้าน้อยจะรายงานว่า เราตั้งจุดซุ่มโจมตีที่ตำแหน่งเดิม แต่ไม่คาดคิดว่าเราพบมือสังหารที่ซุ่มโจมตีจิ้งอ๋องอยู่เช่นกัน และจิ้งอ๋องพบเรา ขณะที่วุ่นวายอยู่นั้น เหล่าพี่น้องก็ถูกองครักษ์ของจิ้งอ๋องสังหารจนหมด ข้าน้อยจึงต้องแสร้งเสียชีวิต จึงได้รอดชีวิตมาได้ และกลับมารายงานท่านได้ขอรับ"
"อืม" หยุนชางยิ้มเล็กน้อย "ทำได้ดีมาก ไปได้แล้ว กลับมาข้ามีรางวัลมาให้"
"ขอรับ ข้าน้อยรับทราบ" เมื่อพูดจบ พวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หยุนชางปิดประตูเกวียนม้า "ไปกันเถอะ"
ฉินยีจึงจะรู้สึกตัวกลับมาได้ นางอ้าปากค้าง ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ " องค์… องค์หญิงเจ้าคะ …ชายชุดดำด้านนอกนั้นเป็นคนขององค์หญิงหรือเจ้าคะ?"
หยุนชางหันหน้าไปมองนางแล้วยิ้ม "เป็นอย่างไรบ้าง หลายปีที่ผ่านมานี้องค์หญิงของเจ้ามิได้อยู่อย่างไร้ประโยชน์จริงหรือไม่?"
"ไม่ … ไม่เจ้าค่ะ … " สีหน้าของฉินยียังคงเหลือเชื่อ นางถอนหายใจและคิดในใจว่า ไม่ใช่แค่อยู่อย่างมัประโยชน์ แต่มันยอดไปเลย
เกวียนม้าค่อยๆ ออกจากป่าทึบ แล้วมีคนสองคนค่อยๆ เดินออกจากป่าข้างๆ อย่างช้าๆ ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้านั้นสวมชุดสีเทาเข้ม จมูกสูงๆ ริมฝีปากบางๆ และคิ้วแหลมคมราวกับดาบยาวทแยงจอน รูปลักษณ์ที่หล่อเหลา และรูปหน้าที่หล่ออย่างไร้ที่ตินั้นช่างสมบูรณ์แบบเหลือเกิน
ในขณะนี้เขากำลังก้มหน้าอยู่ มีแสงเปล่งประกายผ่านดวงตาของเขา ไม่รู้ว่าเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่
ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นมีหนวดเคราเต็มหน้า ใบหน้านั้นทั้งกว้างและหยาบ และกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า " หญิงสาวตัวเล็กผู้นี้ช่างกล้าจริง ๆ นางกล้าดึงเอาท่านอ๋องไปเป็นเกราะป้องกันงั้นหรือ ท่านอ๋องขอรับ ให้ข้าน้อยไปจัดการนางดีหรือไม่ขอรับ"