ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 26 คิดปองร้าย
"ตายเพราะยาพิษงั้นหรือ? " ผู้คนที่ยืนอยู่ภายในตำหนักต่างก็มองหน้ากันไปมา ล้วนไม่อยากจะเชื่อทั้งนั้น นางกำนัลคุกเข่าลงกับพื้นอย่างกะทันหันและรีบพูดว่า " องค์หญิงเพคะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบหม่อมฉันนะเพคะ เมื่อสักครู่นั้นท่านพี่ฉินยีให้หม่อมฉันเอาเบาะมาวาง แต่พอหม่อมฉันเดินเข้าตำหนักบรรทมมาก็เห็นแมวตัวนี้ล้มอยู่กับพื้นและไม่มีลมหายใจเพคะ หม่อมฉันตกใจอย่างมาก จึงตะโกนออกมา แต่หม่อมฉันก็นึกขึ้นได้ว่า แมวตัวนี้เป็นแมวที่หม่อมฉันและนางกำนัลคนอื่นๆ เก็บมาเลี้ยงเพคะ หม่อมฉันเกรงว่าองค์หญิงจะโกรธเคือง จึงคิดจะโยนมันออกนอกหน้าต่างไป ค่อยไปจัดการทีหลังเพคะ แตหม่อมฉันไม่คาดคิดว่าแมวตัวนี้จะตายเพราะยาพิษเพคะ….."
หยุนชางเหลือบมองนางอย่างเย็นชา "ที่เจ้าว่ามาเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงนั้น ข้ามั่นใจว่าท่านหัวหน้าผู้นี้จะสามารถให้คำตอบข้าได้อย่างแน่นอน….."
หัวหน้าสำนักตรวจการรีบพยักหน้าตอบกลับ " ขอรับ นี่เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันขอรับ แต่การลอบสังหารองค์หญิงนั้นถือเป็นโทษหนัก หม่อมฉันต้องทูลฝ่าพระบาททรงทราบขอรับ ท่านองค์หญิงคิดว่า?"
หยุนชางพยักหน้า " แน่นอนอยู่แล้ว แต่คนของท่านหัวหน้าคงมีกิจติดตัวกันทุกคน ให้นางกำนัลคนสนิทของข้าไปทูลต่อเสด็จพ่อก็ได้" หัวหน้ากำลังจะพูดบางสิ่ง
หยุนชางก็เอามือกุมขมับและเอ่ยปากกล่าวว่า "เพิ่งกลับมาก็เจอเรื่องเช่นนี้ ช่างน่าเป็นห่วงเสียจริง ท่านจะต้องหาตัวฆาตกรให้เจอโดยเร็วนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นข้าอยู่คงไม่สบายใจ ฉินยี ไปเถิด……"
ฉินยีพยักหน้าและรีบออกไป หยุนชางกล่าวอีกครั้งว่า "แม้ว่าคราวนี้จะไม่มีใครเสียชีวิต แต่ยาพิษนี้มันอยู่ในชามพระโอสถของข้า หากว่าข้าเผลอเสวยเข้าไปโดยมิได้ระวัง ข้าคงไม่มีโอกาสมานั่งพูดอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครที่วางยาพิษนี้ คงเป็นคนของตำหนักชิงซินนี้อย่างแน่นนอน ท่านหัวหน้าสั่งให้คนมาปิดตำหนักชิงซินนี้เสีย อย่าให้ผู้ร้ายได้โอกาสหนีออกไปเด็ดขาด"
หัวหน้าสำนักตรวจการพยักหน้าตอบรับ " สิ่งที่องค์หญิงตรัสนั้นทรงมีเหตุผล หม่อมฉันจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้ขอรับ"
หยุนชางพยักหน้า ไอสองไปครั้ง จากนั้นก็เอนตัวพิงเสาบนพระแท่นบรรทมและแสร้งหลับตาลง สีหน้าของนางขาวซีด ร่างกายนางดูอ่อนแอเหลือเกิน
"พระโอสถขององค์หญิงได้หกไปหมดแล้ว ให้กระหม่อมไปต้มให้อีกหนึ่งถ้วยดีหรือไม่เจ้าคะ?" หยุนชางหลับตา ได้ยินเสียงของฉินเมิ่งดังมาเบาๆ หยุนชางไม่ได้ลืมตาขึ้น นางโบกมือ "ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะร่างกายของข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ อย่าไปเสียเวลาเลย ตอนนี้ข้ายังสามารถหายใจได้ หากว่าโดนวางยาพิษจริง ข้าคงไม่มีโอกาสได้หายใจแล้ว ยานี้จะเสวยหรือไม่นั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว"
ฉินเมิ่งได้ยินเช่นนี้ จึงถอยกลับมาอย่างกลัวๆ แววตาของนางกวาดมองไปที่หยุนชาง จากนั้นก็ก้มหน้าลง แล้วจ้องมองไปที่นิ้วเท้าที่โผล่ออกมานอกกระโปรงเล็กน้อย มือที่อยู่ในแขนเสื้อนั้นก็กำไว้อย่างแน่น
"ฝ่าบาทพะยะค่ะ ฝ่าบาทพะยะค่ะ เสด็จอย่างช้าๆนะพะยะค่ะ อย่าได้รีบรนเลยพะยะค่ะ……." มีเสียงตะโกนอย่างเร่งรีบดังมาจากด้านนอกประตู นั้นเป็นเสียงของขันทีเจิ้ง เสด็จพ่อเสด็จหรือ? หยุนชางคิดในใจ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาหนึ่งข้างและเห็นแสงสีเหลืองนั้นสว่างวาบผ่านตาไป เมื่อนางจ้องมองเข้าไปอย่างตั้งใจ นางก็เห็นใบหน้าของจักรพรรดิหนิงนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าตน ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล " ชางเอ๋อร์ ไม่เป็นไรใช่หรือไม่"
หยุนชางส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว "เสด็จพ่อมิต้องกังวลไปเพคะ ชางเอ๋อร์ไม่เป็นไรเพคะ แต่สงสารเจ้าแมวตัวนี้ได้รับเคาะแทนชางเอ๋อร์ ช่างบาปกรรมเสียจริง"
จักรพรรดิหนิงเดินทางมาอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นว่าหยุนชางไม่เป็นไร อารมณ์ของท่านก็สงบลงเล็กน้อย ท่านนั่งอยู่ข้างๆ และมองไปที่หัวหน้าสำหนักตรวจการที่คุกเข่าอยู่บนพื้น "ตรวจสอบและต้องหามือลอบสังหารออกมาให้ได้ "
หัวหน้าสำนักตรวจการตอบกลับไปว่า " พะยะค่ะ หม่อมฉันจะตรวจสอบประเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ" ขณะที่เขาพูดเขาก็ลุกขึ้นยืน และพูดกับขันทีที่อยู่ข้างหลังเขาว่า "ไปนำคนทั้งหมดที่อยู่ในตำหนักนี้มาที่ห้องตำหนักใหญ่"
หลังจากสั่งการเสร็จเขาก็หันกลับไปถามจักรพรรดิหนิงว่า " ทูลฝ่าบาทพะยะค่ะ ฝ่าบาทและองค์หญิงจะ…."
จักรพรรดิหนิงหันกลับมาและพูดเบา ๆ กับหยุนชางว่า " ชางเอ๋อร์ร่างกายไม่แข็งแรง เจ้ามิต้องออกไป เจิ้นไปเอง"
หยุนชางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง "ถึงยังไงเรื่องนี้ก็เกิดจากชางเอ๋อเอง หากหม่อมฉันไม่ไปพบด้วยตนเองว่าจับตัวผู้ลอบสังหารได้ ชางเอ๋อร์ก็ยากที่จะสบายใจเพคะ หม่อมฉันขอไปด้วยคนเถิดเพคะ อีกอย่าง คนในตำหนักชิงซินนี้ต่างก็น่าสงสัยเช่นกัน รวมถึงลูกด้วยเพคะ"
จักรพรรดิหนิงเงียบอยู่นาน ก่อนที่จะถอนหายใจออกเบา ๆ "หากเป็นเช่นนั้นก็ไปพร้อมกันเถิด" เขาลุกขึ้นยืนและเดินออกไปข้างนอก
ฉินยีรีบพยุงหยุนชางเดินตามไป จักรพรรดิหนิงและหยุนชางนั่งอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ของตำหนัก ขันทีที่นามว่าหัวหน้าชุยนั้นได้นำทุกคนในตำหนักมารวมกันที่ห้องโถงใหญ่แล้ว
" ใครเป็นคนไปรับพระโอสภนี้จากหมอหลวง? แล้วใครเป็นคนต้มพระโอสถนี้? แล้วหม้อต้มนั้นใครเป็นคนดูแล? ใครเป็นคนนำพระโอสถมาส่งที่ตำหนักบรรทมขององค์หญิง? ระหว่างนี้มีใครได้จับต้องพระโอสถนี้บ้าง? บอกมาอย่างละเอียดครบถ้วน"
เมื่อหยุนชางได้ยินเช่นนี้ นางก็หยิบผ้าไหมออกมาจากแขนเสื้อแล้วเช็ดเหงื่อบนหน้าผากออก จึงยิ้มและพูดเบา ๆ ว่า "หากด้านการพิจารณาคดีนั้นท่านหัวหน้าจำต้องช่ำชองกว่าข้าอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้ที่ข้าอยู่ในวิหารแคว้นหนิง ได้มีโอกาสเห็นทางวิหารสืบสวนคดี ข้ารู้สึกว่าวิธีการของเจ้าอาวาสอู๋น่านั้นก็ดีเช่นกัน หรือว่าเราเอาคนพวกนี้ไปขังไว้ในตำหนักเดี่ยว และให้คนแต่ละคนไปสืบสวนพร้อมๆ กัน และจดคำสืบสวนนั้นไว้ จากนั้นหากมีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเราจะทราบทันทีเลย"
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ขันทีชุยก็เห็นด้วยอย่างมาก " เจ้าอาวาสอู่น่านั้นเป็นคนที่มีสติปัญญาเสียจริง หม่อมฉันได้รับความรู้ใหม่แล้วขอรับ รีบไปทำตามที่องค์หญิงตรัสประเดี๋ยวนี้"
จึงมีขันทีสอบถามคนทีละคน และนำเอาคนที่สัมผัสกับพระโอสถนั้นไปทั้งหมด หลังจากที่นำคนพวกนั้นไปแล้ว ขันทีชุยก็มอบหมายคำถามที่จะถามให้ทีละคน และปล่อยให้พวกเขาไปสอบสวน
ผ่านไปไม่นาน ก็ได้ผลลัพธ์ออกมา
"ในช่วงเวลาบ่ายสามสิบนาที ฉินเมิ่งและเซียงเอ๋อร์ได้ไปรับพระโอสถจากสำนักหมอหลวง และจิ้งซีกับชิวเหวินเป็นคนต้มพระโอสถ ระหว่างนั้นจิ้งซีได้ออกไปเข้าห้องสรงหนึ่งครั้ง และเวลาเย็นหกโมง ฉินเมิ่งได้นำพระโอสถที่ต้มเรียบร้อยไปให้องค์หญิง องค์หญิงตรัสว่ายานั้นร้อนเกินไป จึงรอให้เย็นลงแล้วค่อยเสวย จากนั้นก็ออกไปเดินเล่นกับฉินยี ระหว่างทางที่กำลังเดินเล่นนั้น นางกำนัลเยียนเอ๋อร์ได้เข้าไปปูเบาะให้องค์หญิง …….. ทั้งหมดนี้ ชิวเหวินที่ต้มพระโอสถ ฉินเมิ่งที่นำพระโอสถไปให้องค์หญิง เยียนเอ๋อร์ที่ทำความสะอาดห้องบรรทม และชิงซินที่ดูแลเครื่องใช้บนโต๊ะขององค์หญิงล้วนน่าสงสัยทั้งสิ้น " ขันทีชุยกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็โค้งคำนับจักรพรรดิหนิง “ ทูลฝ่าบาทพะยะค่ะ บ่าวขออนุญาตตรวจสอบห้องพักและค้นร่างกายของคนพวกนี้พะยะค่ะ"
จักรพรรดิหนิงพยักหน้า " อนุญาต"
"อย่างไรก็ตามพวกนางล้วนเป็นนางกำนัล หากต้องค้นร่างกาย ให้มามาค้นจะดีกว่า" หยุนชางเตือนเบา ๆ
"ขอรับ หม่อมฉันรับทราบขอรับ" ขันทีชุยตอบกลับ จากนั้นก็พาคนพวกนั้นออกไป ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษสองใบ "ทูลฝ่าบาท องค์หญิง พะยะค่ะ หม่อมฉันเจอถุงกระดาษที่ห่อยาไว้อยู่ใต้หมอนของชิงซินและเยียนเอ๋อร์พะยะค่ะ"
จักรพรรดิหนิงวางแก้วชาในมือลงบนโต๊ะอย่างแรงดัง "ปั๊ง" "ไปเอาตัวพวกมันมา! "
ขันทีชุยโบกมือ จากนั้นก็มีคนออกไป ผ่านไปสักพักเขาก็นำตัวนางกำนัลทั้งหมดเข้ามาให้ตำหนัก จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเคร่งเครียดเสียงดังว่า "ไม่จำเป็นต้องสืบสวนคดีอีกต่อไปแล้ว พวกเจ้าคอยปรนนิบัติเจ้าหญิงอยู่ข้างๆ แต่กลับเก็บของสกปรกเหล่านี้ไว้กับตัว เอาออกไปประหารให้หมด"
ทันทีที่สิ้นเสียงลง ทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่ตรงกลางตำหนักก็กรีดร้องขึ้นมา และนางกำนัลที่สวมชุดสีชมพูไว้รีบพูดขึ้นมาว่า " ทูลฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมิได้ทำเพคะ ข้างในถุงกระดาษนี้เป็นเพียงผงชะเอมธรรมดาเพคะ ช่วงนี้หม่อมฉันไอบ่อย จึงได้ไปขอชะเอนที่สำหนักหมอหลวงมา เดิมทีต้องต้มแล้วกิน แต่ว่าหม่อมฉันคิดว่าที่ห้องครัวนั้นงานยุ่งเกินไปไม่มีเวลามากพอ หม่อมฉันจึงขอให้คนของสำนักหมอหลวงเอาไปบดเป็นผงแล้วชงกินกับน้ำเจ้าค่ะ"