ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 19 เจ้าอาวาสอู๋น่าเข้าวัง
เช้าของวันต่อมา ฉินเมิ่งก็ทำตามอย่างที่นางพูดไว้จริงๆ นางมาตั้งแต่เช้า "ฉิงยี องค์หญิงตื่นหรือยัง?"
ฉิงยีหันหน้าไปมองเห็นดวงตาของฉินเมิ่งมองอยู่ชามใส่ยาที่เย็นชืดแล้วบนเก้าอี้ข้างเตียง แววแห่งความเกลียดชังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของฉิงยี ใบหน้าของนางไม่แสดงความผิดปกติใดๆ "เมื่อคืนนางตื่นขึ้นมา แต่ไม่ได้มีไข้สูงนัก พอข้าเอายามาให้นาง นางกลับไม่ยอมกิน บอกว่ายาขมเกินไป กลางดึกข้าไม่รู้จะไปหาผลไม้หวานมาจากไหน จึงหมดปัญญาจริงๆ… "
ฉินเมิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มและพูดว่า "องค์หญิงยังหลับอยู่ใช่ไหม? เจ้าอยู่เฝ้ามาทั้งคืนแล้วคงเหนื่อยมาก เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ ตอนนี้องค์หญิงก็ยังไม่ตื่นบรรทม ข้าจะเอายาไปต้มก่อนและหาผลไม้หวานมาเตรียมไว้ เมื่อองค์หญิงตื่นแล้ว ข้าจะได้ให้นางกินยา"
ฉิงยีหันกลับมามองดูหยุนชางบนเตียงอยู่นานก่อนจะพยักหน้าและยืนขึ้น "เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าแล้ว ข้าจะไปพักผ่อนก่อน" นางพูดพลางหมุนตัวออกไปจากตำหนักด้านใน ฉินเมิ่งเฝ้ามองฉิงยีจากไป หลังจากรอให้ฉิงยีออกไปแล้วจึงรีบช่วยประคองหยุนชางขึ้น หยิบชามยาและต้องการป้อนยาหยุนชาง แต่ดูเหมือนหยุนชางจะฝันถึงอะไรบางอย่าง นางละเมออย่างรุนแรง ฉินเมิ่งพยายามหลายครั้งก็ไม่สามารถป้อนยาเข้าไปในปากของหยุนชางได้
ฉินเมิ่งขมวดคิ้ว วางยากลับไปที่เดิมและจ้องหยุนชางอยู่สักพักแล้ววางร่างของหยุนชางลง นางลุกขึ้นและเดินออกไปพร้อมกับยา เมื่อเธอเดินออกไปแล้ว หยุนชางที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้น นัยย์ตาของนางแผ่ซ่านความเย็นชาออกมา…
หลังจากนั้นไม่นานฉินเมิ่งก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อเห็นหยุนชางยังไม่ตื่น นางก็ยืนรออยู่นาน เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันจึงได้ยินเสียงเล็กๆจากคนบนเตียงที่ตื่นขึ้นมา
ฉินเมิ่งตกใจและรีบก้มลงถามว่า "องค์หญิงตื่นแล้วหรือเพคะ? ข้าจะไปนำยามาให้เดี๋ยวนี้… " พูดแล้วนางก็รีบออกจากตำหนักไป
หยุนชางลืมตาขึ้น รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปาก ฉินเมิ่ง นางสงสัยมาหลายคน แต่นางมักจะรู้สึกว่าฉินเมิ่งมีนิสัยตรงไปตรงมาไม่เหมือนคนที่จะสามารถซ่อนความในใจเอาไว้ได้ ดังนั้นตั้งแต่แรกจนจบนางจึงไม่เต็มใจที่จะสงสัยฉินเมิ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…
ตอนนี้อดไม่ได้ที่จะโผล่หางจิ้งจอกออกมาแล้วสินะ?
"องค์หญิง องค์หญิง ยามาแล้วเพคะ วันนี้ข้ากังวลมาตลอดว่าตอนองค์หญิงตื่นมาแล้วยาจะเย็น ข้าจึงอุ่นไว้บนเตา ตอนนี้ก็ดื่มได้พอดี" เสียงแหวกม่านดังขึ้นและเสียงของฉินเมิ่งก็ดังแว่วมา
"ขม ข้าไม่ดื่มหรอก" หยุนชางขมวดคิ้วและหันไปมองด้วยความขยะแขยงเล็กน้อย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม
ฉินเมิ่งยิ้มและนั่งลงข้างเตียงพลางเกลี้ยกล่อม "ขมถึงจะเป็นยานะเพคะ ข้ารู้ว่าองค์หญิงกลัวยาขม ตอนข้าเดินผ่านห้องเครื่องจึงหยิบผลไม้หวานติดมาด้วย ดื่มยาแล้วทานผลไม้หวานตามก็จะไม่ขมแล้ว"
หยุนชางทำเสียงฮึกฮัด "โกหก แต่ก่อนยามข้าป่วย นางกำนัลก็พูดอย่างนี้ แต่ข้าเคยลองแล้ว มันไม่ได้ผลเลยสักนิด!"
ฉินเมิ่งยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกหยุนชางขัดจังหวะ "ข้าเป็นองค์หญิง บอกว่าไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม ฉิงยี… เสี่ยวหลินจื่อ… " หยุนชางขึ้นเสียงตะโกนอย่างกะทันหัน
"ข้าอยู่นี่!" ม่านถูกเปิดออก เสี่ยวหลินจื่อเดินเข้ามาที่เตียง ก้มศีรษะทำความเคารพและพูดว่า "องค์หญิง ต้องการสั่งอะไรข้าหรือ?"
หยุนชางเอียงศีรษะคิดเล็กน้อย "ข้าอยากกินกุ้งชบา เจ้าให้พ่อครัวทำให้หน่อย ขอกุ้งตัวใหญ่ๆ"
เสี่ยวหลินจื่อได้ยินดังนั้นก็กล่าวอย่างรวดเร็ว "ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้องค์หญิงยังป่วยอยู่ ไม่สามารถกินเนื้อและอาหารที่มีน้ำมันไม่เช่นนั้นให้คนทำโจ๊กถั่วแดงมาสักชามดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"
หยุนชางเบ้ปาก "ไม่เอา โจ๊กอะไรพวกนั้นไม่มีรสชาติเลย ถ้ากินกุ้งชบาไม่ได้งั้นก็เอาปูห่อใบบัวก็แล้วกัน"
เสี่ยวหลินจื่อส่ายหัวติดกันหลายครั้ง "องค์หญิง หรือว่าท่านอยากนอนอยู่บนเตียงไปตลอดเหรอ?"
หยุนชางส่ายหัว เสี่ยวหลินจื่อจึงพูดต่อ "หากองค์หญิงไม่อยากเป็นเช่นนั้น ก็ฟังคำของข้าเถอะ พวกกุ้งพวกปูเหล่านี้กินไม่ได้ ไม่เพียงแต่กินไม่ได้ เพียงแค่มีเนื้อสัตว์ก็กินไม่ได้ ข้าคิดว่าดื่มโจ๊กดีที่สุด"
ก่อนที่หยุนชางจะตอบ ฉินเมิ่งที่อยู่ข้างๆก็พูดแทรกขึ้น "ใช่แล้วเพคะ เสี่ยวหลินจื่อพูดถูก หากองค์หญิงต้องการที่จะหายเร็วๆก็ต้องดื่มยาให้ตรงเวลาด้วย… "
ดวงตาของหยุนชางฉายแววเยาะเย้ย นางไม่พลาดโอกาสเลยจริงๆ เมื่อกำลังจะตอบกลับก็ได้ยินเสียงข้างนอกดังแว่วมา "ฮ่องเต้เสด็จ… "
"เสด็จพ่อ!" หยุนชางดีใจมาก นางมองไปทางม่านประตู เมื่อเห็นว่าม่านถูกเปิดออกจึงกล่าวขึ้นว่า "เสด็จพ่อ ท่านได้นำอะไรอร่อยๆมาให้ชางเอ๋อร์หรือไม่?"
ร่างสีม่วงออกมาจากม่าน ก็คือฮ่องเต้ในชุดลำลองนั่นเอง ด้านหลังเขายังชายศีรษะล้านคนหนึ่งสวมจีวรมีเครายาวสีขาวและมีกลิ่นอายของการละทางโลก
หยุนชางตะลึง หากนางจำไม่ผิด บุคคลนี้น่าจะเป็นเจ้าอาวาสอู๋น่าแห่งวัดหนิงกั๋ว นางเคยเห็นเขาสองครั้งที่วัด ในชาติที่แล้ว เพียงแต่… ทำไมเขาถึงมาที่นี่และยังถูกเสด็จพ่อของนางพามาที่นี่อีก?
"เจิ้นเห็นว่าอาการป่วยของเจ้าน่าจะไม่เป็นอะไรมากแล้ว แม้ว่าหน้าตาจะยังซีดเซียวอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อถามเรื่องของกินกับเจิ้นได้แล้ว จะต้องสบายดีแน่ เจ้าอาวาสอู๋น่าอยู่ที่นี่ ดูเจ้าสิ อย่าให้เจ้าอาวาสอู๋น่าเห็นเรื่องขายหน้า… " ฮ่องเต้หนิงหัวเราะเสียงดังและเดินไปนั่งลงข้างกายหยุนชาง ฉินเมิ่งและเสี่ยวหลินจื่อคุกเข่าลงกับพื้นถวายบังคมเมื่อองค์ฮ่องเต้เดินเข้ามา
หยุนชางยิ้มบางๆ "ชางเอ๋อร์จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าอาวาสอู๋น่าจะมาด้วย ข้าคิดว่ามีเพียงเสด็จพ่อคนเดียวเท่านั้น ฮิๆ ชางเอ๋อร์พบเจ้าอาวาส ครั้งสุดท้ายที่เจ้าอาวาสบอกว่าฝนจะตกตอนวันที่สิบเจ็ด หลังจากนั้นฝนก็ตกลงจริงๆด้วย เจ้าอาวาสอู๋นาน่าทึ่งจริงๆ"
เจ้าอาวาสอู๋น่าประสานมือกันและทำท่าเคารพตามแบบพุทธศาสนา "อมิตตาพุทธ องค์หญิงมีวาสนากับทางพุทธ จึงได้รับการสนับสนุนจากพระพุทธเจ้า เมื่อท่านเห็นองค์หญิงอธิษฐานด้วยความจริงใจจึงได้บันดาลปาฏิหารย์"
ฮ่องเต้หนิงได้ยินดังนั้นก็มองไปที่หยุนชางด้วยความรักและสงสาร เข้ายิ้มและหันหน้าไปพูดกับอู๋น่า "เจ้าอาวาสได้พบชางเอ๋อร์แล้ว ตอนนี้บอกข้าได้หรือยังว่าเหตุใดท่านจึงเข้าวังมาอย่างกะทันหัน? เจ้าอาวาสทำให้ข้าตกใจ จู่ๆก็เข้าวังและบอกว่าอยากพบชางเอ๋อร์โดยไม่บอกอะไรอีก… "
"หือ?" หยุนชางแปลกใจเล็กน้อย นางไม่เคยมีเรื่องอะไรกับเจ้าอาวาสอู๋น่า ไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาตินี้ ชาติที่แล้วนางได้พบเขาสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือเขาทำนายให้นาง เหล่าชายหญิงที่เป็นราชนิกูลเมื่ออายุบรรลุนิติภาวะแล้วก็จะเชิญคนมาทำนายชะตาชีวิต ในชาติก่อนก็เป็นเจ้าอาวาสอู๋น่านั่นเองที่เป็นผู้ทำนายให้นาย จำได้ว่าสิ่งที่เขาทำนายออกมาตอนนั้นก็คือ "หลังจากผ่านความยากลำบากทั้งเจ็ดแล้ว จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง"
หยุนชางตกใจอย่างกะทันหัน ในชาติก่อนนางเพียงรู้สึกว่าคำทำนายนี้ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย นางจึงลืมมันไปอย่างรวดเร็ว เมื่อในตอนนี้มาคิดดูแล้วเขากลับพูดได้ถูกต้อง คนผูนี้ไม่ควรประเมินต่ำเลย
อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของการเข้าวังอย่างกะทันหันของเจ้าอาวาสอู๋น่าในตอนนี้คืออะไร?