ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3638
เย่เฉินได้นามบัตรมา มองผ่านๆ แวบหนึ่ง พบว่าบนนามบัตรมีเพียงชื่อกับตัวเลขยาวๆ
ชื่อว่าจานเฟยเอ๋อร์ เบอร์โทรศัพท์ขึ้นต้นด้วย 159 เป็นหมายเลขภายในประเทศ
อีกทั้งนามบัตรนี้ยังมีกลิ่นหมึกพิมพ์โชยออกมาบางๆ เหมือนเพิ่งพิมพ์ออกมา
แต่เย่เฉินไม่ได้คิดอะไรมาก หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปนามบัตร และส่งคืนเซียวฉางควน
เขากะว่าจะติดต่อจานเฟยเอ๋อร์พรุ่งนี้ ไปดูฮวงจุ้ยให้เธอสักรอบ จัดการเรื่องนี้ให้ผ่านไป
วันต่อมา เย่เฉินทานข้าวเช้า เซียวฉางควนเตือนเย่เฉินว่า “เย่เฉิน นายอย่าลืมโทรหาคุณจานนะ”
เย่เฉินพยักหน้า พูดว่า “อีกเดี๋ยวผมไปส่งชูหรันที่บริษัท แล้วจะติดต่อคุณจานครับ”
เซียวฉางควนรีบพูดว่า “นายไม่ต้องไปส่งชูหรันแล้ว เดี๋ยวฉันขับรถไปส่งชูหรันที่บริษัทเอง ฉันต้องไปสมาคมเร็วหน่อยพอดี ให้ชูหรันทิ้งรถให้นาย เกิดคุณจานรีบขึ้นมา นายจะได้ขับรถไปได้เลย”
เซียวชูหรันพยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่รัก คุณจานลงทุนเงินให้สมาคมการเขียนพู่กันจีนและภาพวาดของพวกพ่อเยอะมาก ถือว่าเป็นผู้สูงส่งของสมาคมการเขียนพู่กันจีนและภาพวาด ครั้งนี้รบกวนนายใส่ใจสักหน่อยนะ”
พูดพลาง เธอพูดอีก “นายดูว่าถ้างานนี้ไม่หนักมาก ก็ไม่ต้องเก็บเงินเขา”
เมื่อหม่าหลันได้ยิน เธอโพล่งออกมาทันที “ชูหรัน พูดอะไรน่ะ ขนาดพี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดเงินเลย นับประสาอะไรกับคนแปลกหน้าล่ะ”
พูดจบ เธอรีบพูดกับเย่เฉินว่า “ลูกเขย นายไม่ต้องไปฟังชูหรัน เงินที่ควรเก็บต้องเก็บมา เราไม่ทำเรื่องโง่ๆ ที่ไม่ต้องการเงิน เพราะหน้าตาหรอกนะ”
เย่เฉินมองเซียวชูหรัน ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่รักไม่ต้องกังวล ผมรู้ดีอยู่แก่ใจ”
หม่าหลันรีบพูดว่า “ลูกเขย นายอย่าโง่นะ! เราจะลำบากกับใครก็ได้ แต่ห้ามลำบากกับเงินนะ! อีกอย่างนี่ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ ไม่ได้ทำอะไรก็เป็นล้านแล้วนะ!”
เย่เฉินยิ้มแล้วพูดว่า “โอเคแม่ ผมรู้แล้ว วางใจเถอะ”
พูดพลาง เย่เฉินแอบส่งสายตาบอกให้เซียวชูหรันวางใจ
ก็แค่เงิน 1-2 ล้านเท่านั้น เย่เฉินไม่สนใจอยู่แล้ว พายเรือตามน้ำมอบน้ำใจให้ ไม่เห็นเป็นอะไร
เมื่อทานข้าวเสร็จ เซียวชูหรันกำลังจะนั่งรถเซียวฉางควนออกไป เย่เฉินนึกได้ว่าทำยันต์ขลังเอาไว้ก่อนหน้านี้ จึงยื่นให้สองพ่อลูกสองอัน พูดว่า “พ่อ ชูหรัน นี่เป็นยันต์ขลัง เดินทางไปไหนมาไหนปลอดภัย เอาติดตัวไว้คนละอัน”
เซียวฉางควนถามอย่างสงสัย “ยันต์ขลังงั้นเหรอ เอามาจากไหน ทำไมดูเหมือนทำจากเปลือกหอย”
เย่เฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ทำมาจากพวกเปลือก ใช่ว่าจะมีประสิทธิภาพเสมอไป เพื่อความมงคลน่ะ”
เซียวชูหรันรับยันต์ขลังอันประณีตมา พูดอย่างตกใจว่า “เงางามสวยมากเลย! เปลือกหอยทั่วไป คงไม่มีพื้นผิวดีขนาดนี้!”
เย่เฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ อาจเป็นเปลือกหอยหายากบางชนิดก็ได้มั้ง”
พูดพลาง เขารีบพูดว่า “พวกคุณขับรถออกไปบ่อยๆ เอาติดตัวไว้ ถือว่ากันไว้ดีกว่าแก้”
เซียวชูหรันพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันเอามันร้อยเชือก ห้อยไว้ที่มือถือดีกว่า! เป็นของตกแต่งได้ด้วย!”
“ได้” เย่เฉินยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้ารู้แต่แรก ผมจะร้อยเชือกให้พวกคุณแล้ว”
หม่าหลันที่อยู่ด้านหลัง พูดอย่างไม่พอใจว่า “ลูกเขย ทำไมไม่ให้ยันต์ขลังแม่สักอันล่ะ!”
เย่เฉินยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ นี่คุ้มครองให้ไปไหนมาไหนปลอดภัย ช่วงนี้คุณไม่ได้ออกไปไหน ติดตัวไว้ก็เป็นภาระเปล่าๆ ผมว่าเดี๋ยวเอาทองให้แม่สองแท่งดีกว่า ทำเป็นดัมเบลออกกำลังกายได้ด้วย”
หม่าหลันไม่ได้สนใจเรื่องยันต์ขลังอะไรอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเซียวฉางควนกับเซียวชูหรันสองพ่อลูกได้ แต่ตัวเองไม่ได้ ก็เลยรู้สึกไม่เท่าเทียม และกลัวว่าเย่เฉินจะปฏิบัติกับตัวเองแตกต่างออกไป จึงตำหนิออกมา
เมื่อได้ยินว่าเย่เฉินจะมอบทองแท่งให้ตัวเอง ความไม่เท่าเทียมในใจเธอหายวับไปทันที
อีกทั้งเธอยังรู้สึกว่า ยันต์ขลังอะไรนั่น ต้องเป็นสินค้าที่ตลาดขายส่งแน่นอน แค่ไม่กี่สิบหยวนเท่านั้น จะเทียบกับมูลค่าของทองสองแท่งได้อย่างไร