ตอนที่ 337 :เพชรจะคงอยู่ตลอดไป
หลินเจียอินเปิดออกตามคำของเจียงเสี่ยวไป๋ ก่อนที่เธอจะเห็นแหวนวงหนึ่งอยู่ข้างในนั้น
มันคือแหวนเพชรชูเม็ดเดี่ยว ตัวเพชรที่ฝังอยู่ส่องแสงระยิบระยับเปล่งประกายมีเสน่ห์ ดูหรูหรา เจิดจรัส
ดวงตาที่สวยงามของหลินเจียอินเป็นประกาย เธออุทานออกมาว่า “แหวน ! ”
“นี่คือแหวนเพชร ผมไม่ได้ให้คุณตอนแต่งงาน แต่ตอนนี้ผมสามารถซื้อให้คุณได้แล้วนะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยความเสน่หา
ในช่วงปี 1980 มีการมอบแหวนแต่งงานในพื้นที่ชนบทของประเทศจีน แต่มักจะทำจากทองและเงิน ในเวลานั้นผู้คนยังไม่ค่อยรู้จักเพชร
หลินเจียอินไม่รู้เกี่ยวกับเพชรหรือแหวนเพชรอะไรพวกนี้มาก่อน เธอแค่คิดว่าแหวนวงนี้สวยมาก
เจียงเสี่ยวไป๋สวมแหวนบนนิ้วนางของหลินเจียอินอย่างเสน่หาและพูดว่า “เมียจ๋า เพชรจะคงอยู่ตลอดไป รักของเราจะอยู่อย่างนิรันดร์ เมื่อสวมแหวนเพชรวงนี้แล้ว เราทั้งสองจะมีความสุขด้วยกันตลอดไป”
แม้ว่าในเวลานี้สโลแกนโฆษณาคลาสสิก “เพชรจะคงอยู่ตลอดไป รักของเราจะอยู่อย่างนิรันดร์” ยังไม่ได้เข้าสู่มุมมองโลกความรักของชาวจีน แต่ความคลาสสิกก็คือความคลาสสิก ยิ่งเจียงเสี่ยวไป๋พูดในตอนนี้ มันก็ยิ่งตราตรึงใจหลินเจียอินเป็นอย่างมาก
เธอหลงใหลมันเข้าเต็มใจแล้ว !
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเจียอินก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เธอยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณนะสามี ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม
ในขณะนี้ พวกเขาดูเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่กำลังรักกันอย่างหวานซึ้ง ที่พร้อมจะแบ่งบันเรื่องราวที่ดีที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
อาจเป็นเพราะของขวัญทั้งสองนี้ หลินเจียอินจึงไม่ได้ตรวจสอบบัญชีของเจียงเสี่ยวไป๋หรือถามเขาเกี่ยวกับเงินที่เขาเอาไปถลุงในเจียงเฉิง
ทว่าเจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้เล่าให้เธอฟังทีละเรื่อง
เมื่อเธอได้ยินว่าเจียงเสี่ยวไป๋ตั้งใจเอาของไปให้หลินเจียลี่ แต่ถูกหลินเจียลี่เอาไม้กวาดไล่ตีจนต้องวิ่งหนีออกมา หลินเจียอินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“เธอตีคุณหรือเปล่า ? ”
“ไม่ ต้องขอบคุณที่เสี่ยวชิงมาหยุดไว้ได้ทัน ผมเลยวิ่งหนีออกมาได้ ! ”
ในเวลานี้ หลิวอี้ถิงกำลังถือจานออกมา บังเอิญได้ยินประโยคนี้เข้า เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “ตอนที่ปิดเทอมฤดูร้อน เด็กคนนั้นไม่ได้กลับมาบ้าน เธอจึงไม่รู้จักลูก ไว้ถ้าเธอโทรมาครั้งหน้า แม่จะสั่งสอนให้ก็แล้วกัน ! ”
ลูกสาวคนเล็กของเธอเอาไม้กวาดไล่ตีลูกเขย ทำให้เธอซึ่งเป็นแม่ยายรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก
ฮึ ก็เป็นเพราะหลินต้าเหว่ยที่ชอบตามใจลูกสาวนั่นแหละ !
เจียงเสี่ยวไป๋รีบพูดว่า “แม่ เจียลี่เป็นคนตรงไปตรงมา เธอตีผมก็เพราะโกรธที่ผมเคยพาพี่สาวของเธอหนีออกจากบ้านไป นอกจากนี้เธอก็ไม่ได้ตีโดนผมด้วย ไม่ต้องไปตำหนิเธอหรอกครับ ! ”
หลิวอี้ถิงกล่าวว่า “เธอปฏิบัติต่อลูกแบบนี้ ลูกยังจะปกป้องเธออีกหรือ ไม่ หากว่าแม่ไม่อบรมเธอบ้าง ไม่นานเธอคงกลายเป็นคนหัวดื้อเข้าสักวัน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “แม่ครับ คนหนุ่มสาวทุกวันนี้ต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง เสี่ยวชิงน้องสาวของผมเมื่อไปอยู่เจียงเฉิง เธอบอกว่าไม่อยากกลับมาที่ชิงโจวเลย เจียลี่เองก็เหมือนกัน เธอเพิ่งได้เห็นโลกภายนอก จึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะไม่อยากกลับบ้าน”
หลิวอี้ถิงถอนหายใจ เธอไม่พูดอะไรอีกและเดินเข้าไปในห้องครัวทันที
หลินเจียอินได้ยินแบบนั้นก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า “เสี่ยวชิงไม่อยากกลับมาหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า และบอกความคิดของเจียงเสี่ยวชิงให้ฟัง หลินเจียอินถอนหายใจและพูดว่า “ถ้าเธอต้องการออกไปหาเลี้ยงชีพก็ปล่อยเธอไป เพราะอย่างไรก็มีเราอยู่ดูแลพ่อแม่ยามแก่ชราอยู่ดี”
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน หลินต้าเหว่ยก็กลับมาจากที่ทำงานถึงบ้านพอดี
“พ่อ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยืนขึ้นและทักทายพ่อตาของเขา
หลินต้าเหว่ยพยักหน้าและพูดว่า “คราวนี้ลูกจะอยู่ที่นี่ได้นานแค่ไหน ? ”
ปกติเขาจะไม่กลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้าน แต่วันนี้เขากลับมาเป็นพิเศษ เพราะรู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋กลับมา
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมยังไม่ได้คิดไว้ครับ รอดูสถานการณ์ไปก่อน”
หลินต้าเหว่ยกล่าวว่า “เครื่องบดและเครื่องอัดที่ลูกขอมาได้แล้วนะ พ่อรอให้ลูกไปลองแยกเมล็ดฟักทองอยู่”
ก่อนที่เจียงเสี่ยวไป๋จะพูดอะไร หลิวอี้ถิงที่กำลังยกอาหารมาวางที่โต๊ะก็พูดด้วยความไม่พอใจว่า “นี่คุณ ทันทีที่กลับมาก็เอาแต่พูดถึงเรื่องงาน อย่าทำให้ที่บ้านเหมือนที่ทำงานสิ หยุดพูดแล้วมากินข้าว อาหารเย็นหมดแล้ว”
หลินต้าเหว่ยยิ้ม เขาโบกมือให้เจียงเสี่ยวไป๋แล้วเดินไปที่โต๊ะอาหาร ขณะที่เขาเดิน เขาก็พูดว่า “เราได้มีการรับซื้อฟักทองในแต่ละเมืองไว้พอดีแล้ว ในปีนี้ฟักทองมีจำนวนมากและสุกเร็ว ถ้ารอจนกว่าลูกจะกลับมาอีกครั้ง พ่อกลัวว่ามันจะเน่าซะก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมจะบอกให้เสี่ยวเฟิงพาคนไปเก็บพรุ่งนี้ครับ”
ขณะที่พูดคุยกัน ทุกคนก็นั่งลงที่โต๊ะและเริ่มกินอาหาร
หลิวอี้ถิงกังวลว่าเจียงเสี่ยวไป๋อาจไม่คุ้นเคยกับอาหารในเจียงเฉิง ดังนั้นเธอจึงเตรียมหม้อไฟคากิให้เขาเป็นพิเศษ เธอตักอาหารให้เจียงเสี่ยวไป๋ แต่หลินต้าเหว่ยกลับกินและพูดคุยกับเจียงเสี่ยวไป๋เกี่ยวกับเรื่องงาน ซึ่งทำให้เธอรู้สึกรำคาญมาก
“เสี่ยวไป๋อย่าฟังเขา รีบกินซะ ! ”
เพราะทั้งสองไม่ได้ดื่มเหล้าไปด้วย การทานอาหารมื้อนี้จึงเสร็จอย่างรวดเร็ว
ยังไม่ถึงบ่าย หลินต้าเหว่ยจึงไม่รีบกลับไปที่ทำงาน ทั้งครอบครัวกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
จากนั้น หลิวอี้ถิงก็เห็นกระเป๋าทั้งใบเล็กและใหญ่ของเจียงเสี่ยวไป๋ เธอก็พูดว่า “ทำไมลูกถึงใช้เงินสิ้นเปลืองซื้อของมากมายขนาดนี้ พ่อกับแม่ไม่ต้องการอะไรเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “แม่ครับ มันไม่ได้แพงอะไรมากหรอก”
หลินเจียอินกล่าวว่า “แม่คะ เสื้อผ้าที่เขาซื้อให้เม่กับพ่อครั้งนี้สวยมาก ลองใส่ดูก่อนก็ได้ค่ะ”
เดิมทีหลิวอี้ถิงไม่ต้องการที่จะรับของพวกนี้ แต่หลังจากที่หลินเจียอินพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอก็เริ่มเปลี่ยนใจ
ทันทีที่เสื้อผ้าอยู่บนตัวของเธอ เธอก็ชอบมันอย่างบอกไม่ถูก
แต่เมื่อเห็นราคา เธอก็ตกตะลึง เสื้อผ้าตัวเดียวราคาตั้ง 100 กว่าหยวน นี่มันแพงเกินไป !
มันคือเงินเดือนของเธอสองเดือนรวมกันเลย
และที่มากไปกว่านั้นคือเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ซื้อเพียงหนึ่งหรือสองตัวเท่านั้น แต่เขาซื้อมาให้เธอและหลินต้าเหว่ยหลายตัว
เฮ้อ… ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลูกสาวของฉันจะบอกว่าเจียงเสี่ยวไป๋ใช้เงินมือเติบ !
เป็นแบบนี้เองสินะ !
ทั้งสองลองเสื้อผ้าใหม่ เจียงชานเห็นแบบนั้นก็ได้พูดว่า “คุณตา คุณยาย ใส่ชุดนี้แล้วดูดีมากเลยค่ะ ! ”
ได้ยินหลานสาวชม ทั้งสองมีความสุขมากจนหัวเราะออกมาเสียงดัง
หลินเจียอินยังประหลาดใจที่สามีของเธอเลือกเสื้อผ้าได้ดีและเข้ากับทุกคน ! ไม่รู้ว่าเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้เธอนั้นจะเป็นอย่างไร ?
เธออดไม่ได้ที่จะตั้งตารอ
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ค่อนข้างพอใจกับการเลือกเสื้อผ้าให้พ่อตาแม่ยายของเขา จากนั้นเขาก็หยิบนาฬิกาโอเมก้าออกมาอีกสองเรือน ยื่นให้หลินต้าเหว่ยหนึ่งเรือน และให้กับหลิวอี้ถิงอีกหนึ่งเรือน
ทั้งสองประหลาดใจมากเมื่อเห็นนาฬิกาที่เขาให้ เพราะมันดูหรูหรามาก
“นาฬิกาเรือนนี้น่าจะมีราคาแพงมากใช่ไหม ? ” หลินต้าเหว่ยถามขึ้นมา
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “พ่อครับ เดิมทีผมอยากซื้อที่แพงกว่านี้ให้พ่อ” เขายกข้อมือขึ้น “เหมือนของผม ! ”
เขาเปลี่ยนน้ำเสียงและพูดต่อ “แต่เมื่อพิจารณาจากสถานะของพ่อแล้ว พ่อเป็นคนสาธารณะ ที่จะต้องได้ติดต่อส่อสารกับสื่อและประชาชน ดังนั้นผมจึงซื้อเรือนที่ราคาถูกกว่าให้พ่อกับแม่”
หลินต้าเหว่ยมองไปที่ข้อมือของเจียงเสี่ยวไป๋และเห็นว่านาฬิกาดูมีระดับกว่าเรือนที่มอบให้เขา เขาพอใจกับการตัดสินใจของลูกเขยมาก
ลูกเขยคนนี้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับกิจการราชการตั้งแต่อายุยังน้อย และรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่ต้องพยายามติดดินเพื่อให้เข้ากับประชาชนมากที่สุด การวิเคราะห์ของเจียงเสี่ยวไป๋นั้นล้ำลึกมาก
เฮ้อ น่าเสียดายที่ลูกเขยคนนี้ไม่เล่นการเมือง ไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถและการสนับสนุนจากครอบครัวของพวกเธอ ไม่แน่ว่าผู้ชายคนนี้อาจจะได้ตำแหน่งที่สูงกว่าพี่ชายคนโตของเขาเสียอีกในอนาคต !
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หลินต้าเหว่ยก็มองเจียงเสี่ยวไป๋ ในใจรู้สึกเสียดายมาก
เขาพูดว่า “ถึงลูกจะบอกว่าไม่แพง แต่มันก็ไม่ใช่ราคาถูก ๆ แน่นอน ดูเหมือนจะเป็นแบรนด์จากต่างประเทศด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดตามความเป็นจริง “แบรนด์โอเมก้าครับ เรือนของพ่อราคา 1,300 หยวน ส่วนอีกเรือนนั่น 1,100 หยวน ! ”
หลินต้าเหว่ยเงียบไปครู่หนึ่ง
“โอเค พ่อรับมันก็ได้ ! ”
นาฬิกาที่มีราคามากกว่าหนึ่งพันหยวนนั้นแพงมากจริง ๆ แต่ด้วยสถานะของเขาและหลิวอี้ถิงแล้ว ราคานี้จึงไม่คิดว่าแพงเท่าไหร่
ไม่โหดเกินไป !
แต่หลิวอี้ถิงตกใจและโพล่งออกมา “ยังบอกอีกว่าเรือนนี้ราคาถูกอีกหรือ มากกว่าหนึ่งพันนี่ไม่เรียกว่าถูกแล้ว เงินเดือนของแม่ทั้งปียังไม่ถึงหนึ่งพันหยวนด้วยซ้ำ ! ”
เธอคงไม่กล้าสวมนาฬิกาที่มีราคาแพงเช่นนี้
หลินเจียอินยกนาฬิกาบนข้อมือของเธอขึ้นมา พยายามพูดเกลี่ยกล่อมว่า “แม่ เสี่ยวไป๋ซื้อให้หนูเหมือนกัน เรือนนี้ราคามากกว่า 10,000 หยวน ที่แม่ใส่แค่เรือนละ 1,000 กว่าหยวนเองไม่ใช่หรือคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยังกล่าวอีกว่า “ครับแม่ เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งของพ่อแล้ว ผมซื้ออันราคาถูกที่สุดมาให้แล้ว เพื่อที่จะได้ใส่อย่างมั่นใจ ! ”
หลังจากที่ลูกเขยและลูกสาวของเธอพยายามพูดเกลี่ยกล่อมสักพัก เธอจึงยอมสวมโอเมก้าบนข้อมือของเธอ
แม้ว่าลูกเขยคนนี้จะชอบใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่เขาก็ใจดีกับลูกสาวของเธอมาก !
นาฬิกามูลค่ากว่า 10,000 หยวน ก็ยอมซื้อให้เธอใส่ !
เมื่อก่อนเธอคิดว่าลูกสาวดื้อมากที่ไปแต่งงานกับเขา แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าลูกสาวฉลาดจริง ๆ !
เมื่อคิดได้แบบนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเธอ
เมื่อเห็นหลินต้าเหว่ยเปลี่ยนจากนาฬิกาเรือนเก่าและสวมโอเมก้าที่เขาซื้อให้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “พ่อครับ ไปสูบบุหรี่กันเถอะ ผมมีเรื่องบางอย่างจะเล่าให้ฟัง”
หลินต้าเหว่ยเหลือบมองเขาด้วยความประหลาดใจ พยักหน้าแล้วเดินออกประตูไป
เมื่อมองตามหลังของทั้งสอง หลินเจียอินก็ทำหน้ามุ่ย เจียงเสี่ยวไป๋มีอะไรปิดบัง ทำไมถึงไม่พูดมันตรงนี้ต่อหน้าเธอและแม่ ทำไมต้องพาพ่อออกไปพูดกันข้างนอกด้วย !
MANGA DISCUSSION